บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 687
บทที่ 687 ทุกสิ่งประสานสัมพันธ์กัน
ในยามค่ำคืน ในป่ามีแต่เพียงความเงียบสงัด
ซ่านจินจื๋อทำให้คนไปจุดกองไฟ จูเซเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในจำนวนคนทั้งหมด แต่กลับได้รับบาดเจ็บมากที่สุด ในเวลานี้นางหลับไปในอ้อมแขนของจูเย่น คนที่จูเย่นพาติดตามมาด้วยจำนวนไม่มากยังคนช่วยกันเฝ้าระวัง แต่เขากับน้องสาวมีความแตกต่างกัน ที่ไม่สงสัยอะไรเลย แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรับมือกับคนอย่างซ่านจินจื๋อเลย
หากมีใครสักคนที่มีวรยุทธ์สามารถพิชิตทั่วหล้าได้ก็อาจมีศัตรูเป็นร้อย แต่อย่างมากที่สุดก็คงเป็นได้เพียงแม่ทัพคุมกำลังทหารเท่านั้น แต่ซ่านจืนจื๋อไม่เพียงแต่คุมกิจการทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นแม่ทัพในการศึกสงครามได้ และเขาสามารถจะเป็นผู้นำในการบุกโจมตี อย่างนั้นก็ยิ่งเป็นหลักยืนยันว่าเขาไม่มีความกรุณา
หงเซียวแบ่งปันเนื้อที่ย่างแล้วกับของแห้งที่เหลืออยู่ให้กับสองพี่น้อง แล้วนั่งลงทันที ด้านหนึ่งก็กัดชิ้นเนื้อไปคำหนึ่ง อีกด้านก็มองไปยังจูเย่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าวอย่างยั่วเย้า “ข้าจะบอกเจ้านะ เจ้าอยากพาใครมากินอะไรสักหน่อยไหม”
ข้าอยากรู้ว่าพวกเขาจะมาเมื่อไร” จูเย่นโอบกอดน้องสาวมาไว้ในอ้อมเเขน มองไปยังซ่านจินจื๋อด้วยใบหน้าที่เย็นชา “เจ้าช่วยพวกข้าไว้ก็เพียงเพราะกู้อ้าวเวยเท่านั้น เหตุผลนี้ฟังดูแล้วน่าตื้นตันเสียจริง” ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมหรือ”
หลังจากตกตะลึงกับคำพูดสั้นๆไม่กี่คำนี้ที่ตอบกลับมา จูเย่นก็เอามือปิดหูของจูเซ แล้วพูดต่อไป “ราชวงศ์แคว้นชางหลานของพวกเจ้าโลภอยากจะได้ความอมตะมานาน แต่ตอนนี้กลับมาเปลี่ยนท่าที และยังจะปล่อยตระกูลหยุนไปอีก ฟังแล้วเหมือนจะดูเป็นคนดี แต่หากพวกเจ้าจะอาศัยประโยชน์จากจุดนี้เพื่อให้ได้เคล็ดลับมาก็นับว่าไม่เลว”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า” หงเซียวคายกระดูกที่หักลงบนพื้นแล้วหัวเราะเยาะ “ม้วนหนังแกะที่อยู่ในมือเจ้าเป็นของดีไม่ใช่หรือ ถ้าพวกข้าต้องการล่ะ เจ้าก็ไม่ต้องไปพบกับตระกูลหยุนอะไรนั่น ซึ่งอาจจะฆ่าและฝังเจ้าได้โดยตรง แล้วให้คนปัดกวาดที่นี่ให้สะอาดเรียบร้อย ไม่เร็วกว่าหรือ!”
ถูกทำให้ถึงกับสำลักอีกครั้ง จูเย่นเพียงแค่ยกมือขึ้นทำท่าทางยอมจำนน และไม่พูดอะไรอีก
ซ่านจินจื๋อโยนท่อนไม้ที่อยู่ในมือเข้าสู่กองไฟ และพูดต่อไป “ข้าเพียงแค่ต้องการทำเรื่องที่เวยเอ๋อคิดว่าถูกต้องเท่านั้น”
หงเซียวสำลัก และไอออกมาขณะเอามือกุมหน้าอกไว้
องค์ชายของพวกเขาเพิ่งจะพูดอะไรออกมาหรือนี่
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ของสิ่งนี้ข้าก็ต้องทำลายให้ได้” ซ่านจินจื๋อค่อย ๆเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังจูเย่น “แน่นอน ถ้าพวกเจ้ายังหวงรักษาเอาไว้เหมือนเป็นสมบัติตกทอดจากบรรพชนละก็ ข้าเชื่อเวยเอ๋อก็คงจะฆ่าพวกเจ้าทิ้งอย่างไม่ลังเล”
“นางเป็นคนมีจิตใจโอบอ้อมอารี” พูดไปเพียงสั้นๆ เหมือนกับการบอกว่ากู้อ้าวเวยเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
ซ่านจินจื๋อกลับทำเพียงแค่การยิ้มเล็กน้อย “หากเจ้ารู้จักนางจริงเจ้าจะไม่พูดแบบนี้”
จูเย่นขมวดคิ้ว ในความประทับใจของเขา ตระกูลจูของพวกเขาทำเรื่องไม่ดีกับนางไว้มากมาย แต่กู้อ้าวเวยไม่เพียงแต่ยกโทษให้ แต่นางกลับช่วยวางแผนอนาคตให้พวกเขาด้วย หรือแม้แต่ส่งมอบใบสั่งยาให้ แต่กลับกันพ่อที่เคารพของพวกเขากลับต้องมาปกป้องของโง่เขลานี้จนวันตาย และก็สูญเสียชีวิตไป”
เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่ซ่านจินจื๋อกลับลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ฟังเสียงฝีเท้าของม้าที่ใกล้เข้ามา จึงได้ให้คนจุดไฟขึ้น ในขณะเดียวกันอีกมือก็คว้าดาบไว้
เสียงเท้าของม้าและใบไม้ที่ดังขึ้นมา ดูจะไม่เป็นระเบียบและวุ่นวาย
ซ่านจินจื๋อยังคงสั่นไหวเล็กน้อย ม้าสีดำตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากป่า หยุดลงต่อหน้าเขาแล้วส่งเสียงร้องดังยาวๆ คนที่อยู่บนม้ามิใช่นาง หากแต่เป็นหยุนหว่านในชุดสีดำทั้งร่าง มือทั้งสองข้างถูกบังเหียนจนถลอก
หัวใจของซ่านจินจื๋อก็หล่นไปด้านล่าง “เกิดอะไรขึ้นกับเวยเอ๋อ”
“นางถูกลักพาตัวไป” หยุนหว่านพลิกตัวลงจากม้า ด้านหลังมีทหารของแคว้นเอ่อตานและคนของทิงเฟิงเก๋อติดตามมาด้วย เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเขา มีเพียงหยุนหว่านและซ่านจินจื๋อที่เดินเข้าไปในความมืด ดึงผ้าคลุมสีดำบนใบหน้าออก แล้วพูดว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานแล้ว ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าก็ถูกกักล้อมด้วย เป็นพวกกองทัพดำหรือเปล่า”
“ใช่คือพวกเขา แล้วเวยเอ๋อ….”
“เจ้าฟังข้านะ” หยุนหว่านจับไหล่ของเขา และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาฟังทีละเรื่องอย่างละเอียด
รวมทั้งเรื่องที่พวกนางถูกกองทัพดำถ่วงเวลา และเรื่องที่เวยเอ๋อต้องทำตามไปอย่างเชื่อฟัง
ที่น่าแปลกใจก็คือ ซ่านจินจื๋อยังคงเฉยเมยกับเรื่องนี้ และหยุนหว่านก็กระแอมในลำคอ “เจ้ารู้หรือไม่ว่านางมีศัตรูอะไรที่ไหน….”
“ใครก็ได้มานี่หน่อย!” จู่ ๆซ่านจินจื๋อก็พูดขึ้นมา
หยุนหว่านสะดุ้งทันที รีบสวมผ้าคลุมหน้า เมื่อเห็นหงเซียวกระโดดลงมาอย่างมั่นคงข้างกายซ่านจินจื๋อ คุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่ง ใช้อีกมืออีกข้างหนึ่งค้ำพื้นไว้ แล้วก้มศีรษะ “พร้อมรับคำสั่ง”
“บอกพวกเขาว่าไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม ให้พวกเขาโจมตีเมืองชายแดนแคว้นชางหลานทั้งสิบสามเมือง ถ้าตีไม่ได้ ก็ก่อกบฏ หากตีลงได้ ก็ให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดเขียนหนังสือด้วยตัวเองส่งไปยังเมืองเทียนเหยียน” ซ่านจินจื๋อมองหน้าไปอย่างเย็นชา “นอกจากนี้ ส่งคนไปแจ้งกับล่ายเสวียน อ้ายหยินยังปล่อยทิ้งไว้ได้ กู้เฉิงจำเป็นต้อง…. จับกลับมาให้ได้ด้วยตัวเอง แคว้นซินจะถูกทำลาย”
“ท่านอ๋อง กำลังพลของเราอาจจะไม่เพียงพอ….”
“อำนาจสั่งการทหารของซ่านจวนฮ่าว ข้าได้ให้คนส่งไปให้กับคนของตำบลเหยสุ่ยเป็นคนเก็บรักษา ให้พวกเขานำอำนาจสั่งการนี้ไปสั่งการทหารแปดหมื่นคน อำนาจทางการทหารของหยวนเอ๋อยังคงอยู่ที่เมืองเทียนเหยียน หากมีผู้ใดกล้าบีบบังคับวังหลวง หรือหากทำเกินหน้าที่ในการจัดการบริหารราชการแผ่นดิน ให้ประหารให้หมดในนามของเสด็จพี่ ซ่านจินจื๋อโบกมือ หัวเราะอย่างเยือกเย็น “บอกพวกขุนนางเมืองเทียนเหยียน ตราราชลัญจกรหยก ไม่ได้อยู่ที่วังหลวงนานแล้ว ราชโองการอีกฉบับหนึ่งถูกซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย หากคิดกบฏ ไม่ต้องเหลือไว้แม้แต่คนเดียว”
ดวงตาของหงเซียวเปล่งประกายขึ้น ก้มหน้าลง “ครับ ข้าน้อยจะทำเดี๋ยวนี้”
“อย่างนั้นเวยเอ๋อ….” หยุนหว่านขมวดคิ้ว มองไปยังซ่านจินจื๋อผ่านเส้นสายสีดำ
“นางเพียงแค่ทำไปเพื่อปกป้องกุ่ยเม่ย ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ไม่มีร่องรอยของฝ่ายตรงข้าม ตื่นตระหนกไปก็ไม่มีประโยชน์” ซ่านจินจื๋อจับมือของหยุนหว่านออกจากไหล่ของเขา “วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ คือการรวบรวมแคว้นใหญ่ๆเหล่านี้เอาไว้ให้ได้ ก็จะสามารถรู้ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง”
“เจ้าสั่งการไปแบบนี้ ข้ากลัวว่าในอนาคตจะมีคนบอกว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือ มีความคิดปันใจ” หยุนหว่านมีสติกลับมา ได้แต่คว้ามือของซ่านจินจื๋อไว้ “ไม่ต้องพูดถึง เจ้าพูดมานี่คือ….”
“เสด็จพี่เชื่อเพียงไทเฮามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เรื่องราชลัญจกรหยกก็ดี หรือจะเรื่องที่ถูกวางยาพิษก็เถอะ เอาประเทศเป็นบ้าน เอาตนเองเป็นตัวหมาก จะรอจนกระทั่งให้ข้าจดจำเรื่องสกปรกพวกนี้จนขึ้นใจ จากนั้นก็ค่อยเค้นเอาคนมีความทะเยอทะยานทีละคน” ซ่านจินจื๋อส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “อีกอย่าง หากว่าจะให้พูดจริง ๆ ข้ารู้ว่ามีอยู่คนหนึ่งที่คิดไม่ดีกับเวยเอ๋อไม่เลิก”
“ใครหรือ” หยุนหว่านขมวดคิ้ว
“องค์ชายสาม ซ่านเซิ่งหาน” ดวงตาของซ่านจินจื๋อเป็นประกาย “กลัวแต่เพียงว่าเวยเอ๋อจะยังไม่รู้ความหมกมุ่นคลั่งไคล้ของคนผู้นี้ แต่ก็ไม่รู้จักแม่ของซ่านเซิ่งหานด้วย ขณะที่มีชีวิตอยู่ชื่นชอบดอกอู้หลานมากที่สุด และพระสนมคนนั้น ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของแม่ของเขา แต่น่าเสียดายคนต่ำต้อยคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก หลังจากคลอดเขานางก็เสียชีวิต พระสนมก็ไม่ช่วยเหลือเขาอีก”
หยุนหว่านในตอนนี้มีสีหน้าเศร้าหมอง “ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่ส่งกำลังไปที่ชายแดน เพียงเพื่อจับปลาตัวใหญ่อย่างซ่านเซิ่งหานอย่างนั้นหรือ”
“เพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ปลาตัวใหญ่ได้แตะต้องในสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง ข้ายิ่งต้องสั่งสอนเขาแทนเสด็จพี่ด้วย” ซ่านจินจื๋อพลิกมือไปจับข้อมือของหยุนหว่าน พูดอย่างจริงจัง “ขอเพียงแค่มีข้าอยู่ ไม่มีทางยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับเวยเอ๋อ”
หยุนหว่านอ้าปาก แต่ในที่สุดกลับถอนหายใจอย่างหนัก “แต่กลัวว่าครั้งนี้ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า