บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 705
บทที่ 705 ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน
ต่อหน้าญาติสหายจะมีพฤติกรรมเอาแต่ใจอย่างไร แต่ย่อมรักษามารยาทต่อหน้าคนนอก
คนที่ในยามปกติน้ำเสียงแหลมสูง มาบัดนี้มีท่าทางสง่างามและเคร่งขรึมทำให้ผู้คนรู้สึกว่าถูกคุมเหง แม้ว่าดวงตาสองข้างของนางจะยังไม่ทันเห็นแสงสว่าง แต่ปลายนิ้วไล้ผ่านโต๊ะอย่างมากสองครั้งก็สามารถยกถ้วยชาขึ้นได้อย่างมั่งคง จากนั้นรอจนกระทั่งพี่น้องตระกูลจูจะบอกเล่าเรื่องราวม้วนตำราหนังแกะให้ทราบทุกประการ นางจึงกระแอมไอในลำคอพลางปริปาก “สิ่งที่บรรพบุรุษพวกเจ้าพูดหาใช่ลวงหลอกไม่ แต่เพียงเท่านี้ วิธีแห่งความเป็นอมตะก็ยังยากจะหาพบอยู่ดี”
“ก่อนหน้านี้ดูคล้ายท่านจะเดาได้เก้าในสิบแน่นอนแล้ว เหตุใดกู้เฉิงถึงไม่เห็นท่านเป็นเป้าหมาย?” จูเซเป็นคนแรกที่ไม่พอใจ “ข้ากับพี่ชายพาคนในตระกูลมา ก็หวังว่าพวกท่านจะระวัง ตอนนี้ด้านนอกมีข่าวลือแพร่สะพัด ทั้งยังบอกว่าเลือดเนื้อตระกูลหยุนของพวกท่านก็เป็นกุญแจสำคัญของความเป็นอมตะด้วย”
“คนกินคนรังแต่จะโง่” กู้อ้าวเวยกล่าวอย่างเฉียบขาด แผ่นหลังเหยียดตรงกระทั่งไม่ได้พิงบนพนักเก้าอี้ด้วยซ้ำ ส่วนความเจ็บปวดของกายท่อนล่างก็ยังพอทนไหว ความเจ็บปวดเล็กน้อยทำให้นางขบคิดเรื่องราวได้มากขึ้น “ดูเหมือนพวกเจ้าก็จะสนใจว่าเรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จเช่นกัน?”
เวลานี้ซ่านจินจื๋อเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมา ปรายตามองพวกเขาสองพี่น้องอย่างเย็นชาคนละปราด
“พวกเราย่อมสนใจอยู่แล้ว ถ้าหากสิ่งที่กล่าวบนม้วนตำราหนังแกะเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นบิดาของพวกเราก็นับว่าไม่ได้ตายเปล่า” ขอบตาจูเซแดงก่ำ จูเย่นที่อยู่ข้างกายทำเพียงตบบ่าของนางเบาๆ มองสำรวจร่องรอยสีดำบนลำคอของกู้อ้าวเวย ก่อนกล่าวต่อ “ร่างกายของท่านดูเหมือนจะไม่ค่อยสู้ดีนัก”
“ผิงชวน” กู้อ้าวเวยเรียกเสียงทุ้มต่ำหนึ่งที
“คุณหนูมีบัญชาอันใด?” ผิงชวนเผยให้เห็นพัดกระดูก ดวงตาคู่นั้นกลับโปรยตกไปบนตัวของจูเย่น เจือแววเตือนภัยหลายขนัด
“ให้คนดูแลสองท่านนี้อย่างดี ก่อนหน้าที่เรื่องความเป็นอมตะยังไม่ทันคลี่คลาย ไม่จำเป็นต้องปล่อยพวกเขาออกไป” กู้อ้าวเวยวางถ้วยชาในมือลง แล้วปริปากตัดหน้าหนึ่งก้าวก่อนที่ทั้งสองคนจะโต้แย้ง “หากพวกเจ้าไม่ได้มาหาข้าเพราะเรื่องนี้ ข้าย่อมเชื่อใจพวกเจ้าอยู่แล้ว แต่สำหรับเรื่องนี้ ความปรารถนาของมนุษย์ไร้ขีดจำกัด เพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกเจ้าหลงทางและทำลายตระกูล นั่นก็เป็นการได้ไม่คุ้มเสียเลย”
“ในเมื่อพูดเช่นนี้ ท่านจะกักบริเวณพวกเรา เพราะหวังดีกับพวกเราหรือ?” จูเซตบโต๊ะหยัดตัวขึ้นมา
“ใครใช้ให้พี่ชายของเจ้าสนใจว่าร่างกายของเป็นข้าอย่างไร หากไม่ใช่เพราะละโมบในความงามของข้า ไม่เช่นนั้นคงเพราะกำลังคิดว่าเลือดเนื้อตระกูลหยุนอย่างคนไม่สะอาด เจ้าเลือกสักข้อ?” กู้อ้าวเวยปริปากเช่นเดียวกัน
ซ่านจินจื๋อที่อยู่ข้างกายเกือบจะสำลักชาตาย เงยหน้าขึ้นและมองเห็นจู่เย่นกระตุกเรียวแขนของจูเซด้วยสีหน้าซีดเผือดพอดี “พวกเราอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่ข้าเตือนพวกเจ้าว่าอย่าเห็นความหวังดีเป็นเจตนาร้าย”
“เพราะฉะนั้นเจ้าละโมบในความงามของเวยเอ๋อหรือว่า…”
น้ำคำของซ่านจินจื๋อยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกกู้อ้าวเวยกดมือที่ประคองอยู่อย่างเอาตาย กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือพลังยิ่งยวด “อย่าคิดว่าข้ามองไม่เห็นแล้วจะหาท่านไม่พบเชียว”
ซ่านจินจื๋อเลือกจะปิดปากเงียบไม่เอ่ยคำ พลิกมือกอบกุมมือของกู้อ้าวเวย กดฝ่ามือของนางด้วยหวังว่านางจะส่งบทสนทนาให้แก่ตนก่อนชั่วคราว คนหลังนั้นคลายหัวไหล่ลงเล็กน้อยอย่างรู้งาน ก่อนเอนพิงอย่างเกียจคร้าน รอจนกว่าซ่านจินจื๋อจะปริปาก
“เมื่อเทียบกันว่าพวกเราจะยอมรับความหวังดีของพวกเจ้าหรือไม่ เจ้ายิ่งควรจะรู้ ยามที่เจ้าเอ่ยถามประโยคนั้นออกมา จุดประสงค์ของเจ้าก็ไม่บริสุทธิ์พอ ก่อนหน้านี้ขอให้พวกเจ้าสงบลงก่อน และเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะผู้นำอย่างเวยเอ๋อด้วย” ซ่านจินจื๋อกล่าวเช่นนี้ มืออีกข้างกลับค่อยๆ รวบแขนเสื้อหลวมกว้างของกู้อ้าวเวยให้ดี แล้วดึงตัวนางขึ้น “พวกเราควรจะไปดูเขาแล้ว ท่านแม่น่าจะตั้งชื่อเพราะๆ ให้เขาเป็นที่เรียบร้อย”
กู้อ้าวเวยแทบจะไม่ได้ลุกจากเตียง ตอนนี้ถูกซ่านจินจื๋อกึ่งโอบอยู่ในอ้อมกอดกลับยังคงมองพื้นตามความเคยชิน ถึงแม้จะมองไม่เห็นอะไนเลย ปลายนิ้วของนางก็กำแน่นบนลำแขนของซ่านจินจื๋ออย่างเอาตาย “ไม่จำเป็นต้องเดินช้าขนาดนี้”
“เช่นนั้นข้าอุ้มเจ้าเข้าไป?” ซ่านจินจื๋อชะลอฝีเท้า ปริปากยามที่เดินมาถึงธรณีประตูแล้ว “ยกเท้า”
กู้อ้าวเวยยกเท้าขึ้นอย่างระวัง ตอนที่ก้าวข้ามธรณีประตูก็พลอยถอนหายใจหนึ่งเฮือกเต็มเหนี่ยว ท้ายที่สุดก็ออกจะอึดอัดกับความมืดมิดนี้อยู่
ยังไม่ทันได้สังเกตท่าทีในตอนนี้ของพี่น้องตระกูลจู ซ่านจินจื๋อก็พากู้อ้าวเวยออกมาโดยตรงทันที
ส่วนผิงชวนกลับส่งคนให้นำทั้งสองไปดูแลอย่างดีที่ในเรือนจวนทางการ จูเซขัดขืนตลอดทาง ส่วนจูเย่นกลับมีสีหน้าซีดเผือดอยู่เสมอ “ผู้หญิงคนนี้…”
“คุณหนูระวังทุกคน ท่านมีเหตุผลให้นางจะสงสัยพอดีก็เท่านั้น” ผิงชวนไม่สงสัยเลยสักนิดที่จูเย่นมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ แต่พัดกระดูกในมือของเขายังคงหับเข้าหากันดังสวบ เดินตามหลังของจูเย่นไปติดๆ “ตระกูลเล็กๆ อย่างพวกท่านนี้ยังสนใจของแบบนี้ได้ ด้านนอกไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่คอยจ้องอยู่ตาเป็นมัน”
สถานที่ชายแดน คนยุทธภพมารวมตัวกันเพราะของสิ่งนี้ และสำรวจไล่หาความจริง
ส่วนผู้ที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์ ก็ไม่ชอบใจในที่นาท้องไร่ ใช้สอยทรัพย์สมบัติเต็มที่ก็คิดจะแย่งชิงของสิ่งนี้มา
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้แต่ละแคว้นที่ต่างก็จดจ้องของสิ่งนี้จนตาวาว
แต่ทุกสิ่งนี้ยังไม่มีใครประสบความสำเร็จมาก่อน ก็แม้แต่สิ่งที่จำเป็น และวิธีที่ต้องใช้ล้วนหายากยิ่ง แต่กลับมีคนจำนวนไม่น้อยที่ทุบทำลายสติปัญญาเพื่อสิ่งนี้ มีแต่คนแร้นแค้นที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกโดยไร้ชื่อเสียงเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นดินเหลืองที่เหยียบย้ำใต้ฝ่าเท้า
ผิงชวนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้ กลับเห็นว่ากู้อ้าวเวยอุ้มเด็กทารกตัวเล็กๆ คนนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวังภายใต้การเร่งเร้าของซ่านจินจื๋อ ขยับเรียวแขนของข้างอย่างตกประหม่า กลัวเหลือเกินว่าจะกระแทกกระทั้นเด็กทารกตัวน้อยๆ คนนั้นเข้า
จูเย่นเองก็มองไปที่เด็กในอ้อมกอดของกู้อ้าวเวยที่อยู่บนทางเดินด้วยสีหน้าพรั่งพรึง “นั่นคือ…”
“ลูกของคุณหนู” ผิงชวนเดินมาหยุดที่ข้างกายของจูเย่น บดบังการมองเห็นของเขาอย่างไม่ทิ้งร่องรอย ก่อนปริปากเอ่ยต่อ “เมื่อเทียบกับยาแห่งความเป็นอมตะแล้ว ไม่สู้คิดถึงลูกกับคนรักในอนาคตของตนดีกว่า”
จูเย่นละสายตากลับมา ก้มหน้างุดนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ
และใต้ระเบียงทางเดินนั้น ในที่สุดกู้อ้าวเวยก็อุ้มเด็กในวัยทารกเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา เจ้าหนูน้อยพูดพึมพำอะไรบางอย่าง และกระเดาะปากเป็นระยะๆ มือน้อยโบกระบำจะแตะเข้าที่ปลายคางของกู้อ้าวเวย ขบขันเสียจนกู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “หากว่าชิงจือได้เห็นจะต้องมีความสุขมากเป็นแน่”
“อืม” ซ่านจินจื๋อเดินมาหยุดเบื้องหลังของกู้อ้าวเวย มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของนาง ส่วนอีกข้างกลับพยุงหลังมือของนางแล้วดึงเด็กน้อยไปเบาๆ “ท่านแม่บอกว่า อี้คำนี้ไม่เลวเลย”
“อี้จื๋อหรือ?” กู้อ้าวเวยโคลงเคลงเรียวแขนด้วยความประหลาดใจ “ช่างเป็นชื่อที่เพราะจริงๆ ที่แท้ท่านแม่ก็ความรู้คงแก่เรียนยิ่งนัก”
ดวงตาคู่หนึ่งของซ่านจินจื๋อกลับจับจ้องไปที่ร่างของกู้อ้าวเวยเสมอมา รวบเรียวแขนนั้นเอาไว้แล้วจึงปริปากเอ่ยคำ “รอจนกว่าฤดูใบไม้ร่วง พวกเราค่อยจากไป ดวงตาของเจ้าในตอนนั้นอาจจะมองเห็นอะไรได้บ้างแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราปล่อยให้อี้จื๋ออยู่เอ่อตานเถิด ที่นี่ปลอดภัยมาก อย่างไรเสียชิงจือก็ยังเล็กมาก ถึงตอนนั้นค่อยรับเข้ามาเล่นกันสักสองสามปี ค่อยกลับชางหลานก็ไม่เลว…” กู้อ้าวเวยเอ่ยถึงแผนการในอนาคตอย่างละเอียด
แต่ภายใต้ชีวิตที่มั่นคงเช่นนี้กลับมีกองกำลังมากมายของแต่ละที่เคลื่อนไหวอย่างโง่เขลา พยายามหาทางเอาวิธีแห่งความเป็นอมตะท่ามกลางสงครามวุ่นวายอยู่ภายนอก
กองไม้และใบไม้เหี่ยวเฉา ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นฉับพลัน ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกสู่พื้นโปรยปราย ทำให้ใบไม้ที่เจียนร่วงเหล่านั้นร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างแน่นหนา
กู้อ้าวเวยเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ยาวสีเหลืองห่านที่หนาขึ้นมาบ้าง ดวงตาสองข้างยังคงยากจะมองเห็นสิ่งของได้ชัดเจนตามเดิม ลายเส้นสีดำเหล่านั้นกลับยังคงซุกซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์อย่างเงียบเชียบ นางยืนอุ้มอี้จื๋ออยู่ใต้ชายคา จุมพิตบนหน้าผากของเขาอย่างรักใคร่ไม่ยอมหยุด กลับทำเพียงมองเห็นสีของผิวพรรณได้อย่างสลัวๆ พลางเสียงแผ่วว่า “อี้จื๋อ ต่อไปจะให้ท่านยายอยู่เป็นเพื่อนเจ้าทุกวันเลยดีหรือไม่?”
“ถ้าไม่อยากไป ก็อยู่ที่นี่เถิด” ซ่านจินจื๋อกอดนางเข้าสู่อ้อมอกพอดี และมัดเสื้อคลุมให้นางจากทางด้านหลัง
“แม้จะไม่ต้องการ แต่เรื่องนี้ก็ควรจะจบได้แล้ว”
จุดประสงค์ที่นางมายังโลกแห่งนี้ คิดดูแล้วก็คงจะเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นนั่นเอง