บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 709
บทที่ 709 ทำหน้าที่ของแต่ละคน
“ใบไม้แห้งเหี่ยวนอกหน้าต่างนั้นร่วงโรยเต็มไปหมด ไม่ได้สวยงามอะไรเลย”
กล่าวเช่นนี้ไปพลาง ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นเพื่อดึงม่านรถม้าลงมา กุมมือของกู้อ้าวเวยเอาไว้กลางมือ
คนหลังปราดมองอย่างไม่พอใจ “ทางน้ำระหกระเหิน ออกไปด้านนอกก็กลัวลมพัดกรีดกระดูก ตอนนี้ทำแค่ลมใบไม้ร่วงเล็กน้อยก็ไม่ยอมให้มันพัดข้าเชียวหรือ?”
“เดินทางไปอีกไม่กี่สิบลี้ก็จะถึงเทียนเหยียนแล้ว หากถูกคนมองเห็นเจ้าเข้าจะเป็นอย่างไร?” ซ่านจินจื๋อตำหนิสองสามคำ คิดเพียงว่าช่วงหลายวันมานี้ตนพะเน้าพะนอมากเกินไปใช่หรือไม่ ถึงทำให้กู้อ้าวเวยดุเดือดเลือดพล่านเยี่ยงนี้
มีหลักการและเหตุผล คราวนี้กู้อ้าวเวยถึงได้คลายมือลงมา พลางถาม “ถ้าหากกลับเมืองเทียนเหยียนแล้ว ท่านก็ควรเป็นคนแปลกหน้าสำหรับข้าสินะ”
“ข้าเชื่อใจเจ้า แต่กลับไม่เชื่อใจซ่านเซิ่งหาน”
“แม้ท่านจะไม่เชื่อ พวกเราต่างก็มีเรื่องที่แต่ละคนควรจะทำ” กู้อ้าวเวยยกมือขึ้นมา ลากไล้ตามลำคอของซ่านจินจื๋อขึ้นไปที่พวงแก้มของเขา บิดเนื้อหนังที่หยาบกร้านเหล่านั้นเต็มแรง เจือความไม่พอใจหลายขนัด “ข้าไปจัดการเรื่องของความเป็นอมตะ ท่านไปจัดการเรื่องในราชสำนักและอำนาจทางทหาร เข้าใจหรือไม่?”
แก้มที่ถูกบิดเริ่มปวด ซ่านจินจื๋อกลับได้แต่สูดหายใจหอบหนัก กล่าวเสียงต่ำว่า “พิษในร่างกายของเจ้า”
“เช่นนั้นท่านก็ไปหาเมี่ยวหารให้พบ ในเมื่อเมี่ยวหารเอาพิษนี้ซ่อนไว้ในยาแกล้งตายของข้าอย่างระวัง ย่อมควรจะมีวิธีถอนพิษอยู่แล้ว ต่อให้เขาไม่มีวิธีถอนพิษ ข้าเองก็ไม่สามารถร้องขอสิ่งของบางอย่างจากทางซ่านเซิ่งหาน หรือไม่ก็ไปหานายท่านเห้อได้เลยกระนั้นหรือ?” กู้อ้าวเวยกล่าวอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของการปล่อยมือนั้นกลับไม่ค่อยว่องไวเท่านั้นนัก
เมื่อปล่อยมือ กระทั่งเปล่งเสียงนุ่มละเอียดดังออกมา
ซ่านจินจื๋อบีบใบหน้าที่เริ่มปวดพลางคิดว่าจะหลงเหลือร่องรอยเอาไว้หรือไม่ คนที่อยู่ต่อหน้ากลับฟุบเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ตอนที่เขากำลังดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดนั้น กู้อ้าวเวยได้ดึงอาภรณ์ของเขาออก แล้วกัดเข้าไปบนบ่าของเขาเต็มแรงหนึ่งที
ปวดจนหายใจกระตุกเกร็ง ซ่านจินจื๋อกลับทำเพียงแค่ปั้นหน้าขรึมตีเข้าที่ท้ายทอยของนางเบาๆ เท่านั้น “มีแต่สุนัขถึงจะกัดคน”
กู้อ้าวเวยคลายปากทันใด เช็ดสีแดงชาดบนเรียวปาก พลางเอียงศีรษะหัวเราะหยันออกมาหนึ่งที “ถ้าหากไม่ทิ้งรอยอะไรไว้ ถึงตอนนั้นให้คนอื่นมาแย่งท่านกลับไปเป็นฮ่องเต้จะทำอย่างไรเล่า?”
“ถ้าหากข้าเป็นฮ่องเต้จริงๆ แค่รอยฟันของเจ้าก็คงไม่เพียงพอหรอก” ซ่านจินจื๋อเหลือบมองทางด้านข้างปราดหนึ่ง พบว่ากู้อ้าวเวยก้มหน้าก้มตาเลยแม้แต่น้อยจริงๆ ทำเพียงคว้าขวดยามาทานเท่านั้น
ได้ยินเสียงเปิดกล่องยา สีหน้าของกู้อ้าวเวยไร้แวว “ถึงตอนนั้นท่านก็สามารถประทานโทษตายข้อหากัดโอรสสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ แล้วผลักข้าไปตัดคอที่ตลาด สินะ”
การเคลื่อนไหวของซ่านจินจื๋อชะงักงัน
ประโยคต่อไปของกู้อ้าวเวยก็มาเยือนทันที “ไม่ว่าท่านจะมีเจตนาอื่นจริงๆ หรือไม่ แต่ข้าไม่อาจอนุญาตให้บิดาของลูกข้าไปพัวพันกับผู้หญิงอื่นอีกเด็ดขาด แน่นอน เว้นแต่ท่านจะฆ่าข้า หรือไม่ก็ข้าชิงฆ่าท่านเสียก่อน”
บางทีนี่อาจจะเป็นการสารภาพรักอีกแบบของกู้อ้าวเวยกระมัง
ซ่านจินจื๋อคิดเช่นนี้ คิดสักพักสุดท้ายก็ยังคงวางขวดยาลง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จำไว้ว่ามีเรื่องอะไรให้ติดต่อข้า”
“ท่านเองก็เหมือนกัน” กู้อ้าวเวยยกมุมปาก ความอบอุ่นบนพวงแก้มไม่ทำให้นางหลบเลี่ยง กลับกันทำเพียงต้อนรับมันอย่างระมัดระวัง
ประตูเมืองของเมืองเทียนเหยียนอยู่ใกล้แค่เอื้อม บรรดาทหารองครักษ์ที่เผ้าประตูเมืองเพียงแค่มองเห็นป้ายพกของอ๋องจิ้งต่างก็ตื่นตระหนกไม่สิ้นสุด ไม่เพียงให้พวกเขาเข้าไปบนรถม้า ทั้งยังส่งคนไปส่งจดหมายไปกับทางวังหลวงอีกด้วย
ซ่านจินจื๋อห่อเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มให้กับกู้อ้าวเวย พลางเอ่ยเสียงต่ำ “สีน้ำเงินเข้ม เป็นสีที่มีเพียงราชวงศ์เอ่อตานเท่านั้นจึงจะใช้ได้”
“นี่คือสีน้ำเงินเข้มหรือ?” กู้อ้าวเวยหรี่ตามองอยู่เป็นนาน แต่น่าเสียดายที่เนื้อผ้าสีเข้มทึบเช่นนี้ในสายตาของนางกลับหลงเหลือเพียงสีดำสนิททั้งผืน ได้แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฉีหรัวจะมารับข้าที่จี้ซื่อถางคืนนี้”
ช่วงหน้าผาดทิ้งความอ่อนโยนและอบอุ่นเล็กน้อยเอาไว้โดยไม่ทันตั้งตัว กู้อ้าวเวยแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย “ในฐานะท่านอ๋อง ท่านกลับเข้าเมืองเทียนเหยียนไม่ใช่ว่าควรจะรักษากฎระเบียบหรอกหรือ? ทำแบบนี้ไม่ใคร่เหมาะสม”
“อยู่กับเจ้า ข้ากลับไม่เคยรู้จักคำว่าเหมาะสมสองคำนี้มาก่อน” ซ่านจินจื๋อพูดไปพลาง แล้วทำสัญญาณมือให้กับหงเซียวที่อยู่ด้านนอกรถม้า หงเซียววางม่านรถลงอย่างรู้งาน บัญชาให้รถม้าวนอีกหนึ่งรอบ
ส่วนผิงชวนได้ปลีกตัวออกจากกองทัพตั้งแต่ต้อน ส่ายหน้าพลางเอาอาชาให้หงเซียวนำออกไป หิ้วห่อสัมภาระเดินเข้าไปในจี้ซื่อถาง ก่อนหน้าที่กลุ่มคนชราเหล่านี้จะปริปากเอ่ยถาม เขาก็ทำเพียงวางตั๋วเงินหนึ่งใบไว้บนโต๊ะ “ขอถามว่านายท่านเห้ออยู่แห่งใด สหายรักของเขาคิดจะพักอยู่ที่นี่สักสองสามวัน”
รถม้าที่วิ่งวนไปมาหลายรอบ ในที่สุดก็หยุดลงมาหลังจากที่กู้อ้าวเวยตระหนักเวลาชั่วยามไม่ถูกต้อง
“เหตุใดตอนนี้ท่านถึงได้เหมือนเด็กคนหนึ่ง!” ก่อนที่กู้อ้าวเวยจะออกไปก็ดึงแขนเสื้อของซ่านจินจื๋ออย่างไม่ค่อยพอใจ
“ข้าเป็นถึงอ๋องจิ้งเชียวนะ” ซ่านจินจื๋อหัวเราะพลางชูมือขึ้นสองข้าง มือข้างหนึ่งยังวางไว้ข้างเอวของกู้อ้าวเวยอย่างระวัง เพื่อเลี่ยงไม่ให้นางยืนโงนเงนอยู่ในรถม้าคันเล็กๆ นี้
“เช่นนั้นท่านอ๋องจิ้ง ท่านก็เชิญเพลิเพลินกับวันที่จะมาถึงเถิด” กู้อ้าวเวยปั้นหน้าขรึมพลางคลายเสื้อของเขาออก แล้วกล่าวกำชับ “อย่าลืมไปรับชิงจือกลับมาด้วย”
ประคองมือของผิงชวนลงจากรถม้า มือข้างที่เนียนนุ่มหาใดเปรียบข้างนั้นไม่อาจมีเรี่ยวแรงกำชายเสื้อเอาไว้อีกต่อไป
กู้อ้าวเวยเหยียดแผ่นหลังตรงแน่ว มุมปากยกคลี่รอยยิ้มบางๆ โค้งขึ้นและไม่อาจมีข้อผิดพลาดใดๆ กลับทำเพียงดึงเสื้อคลุมลงมาน้อยๆ ตอนที่ย่างเข้าสู่จี้ซื่อถางก็ไม่ได้เหมือนคนที่ดวงตาสูญเสียการมองเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ผละมือของผิงชวนออก เดินมุ่งตรงไปเรือนด้านหลัง
บ่าวชายบางกลุ่มมองเห็นดวงหน้าภายใต้เสื้อคลุมตัวนั้นต่างอดส่งเสียงถามไม่ได้ “ท่านคือ…”
“โปรดเก็บเป็นความลับให้ข้า” กู้อ้าวเวยตอบไปด้วยท่าทางราบเรียบ มุมตาโค้งงอพลางทำสัญญาณมือให้เงียบเสียงไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ปัดผ่านหัวไหล่ของชายคนนั้นในขณะเดียวกัน พลางตามมาด้วยประโยคผะแผ่ว “และขอให้นายท่านเห้อมาพบหน้าสักครั้งด้วย”
“ขอรับ…” ยามที่รู้ว่าสถานะของคนผู้นี้หลากหลายและทรงอำนาจสูงส่ง ชายผู้นั้นจึงวิ่งเหยาะๆ ตลอดทางไปทำตามคำสั่งของนางทันทีทันใด
มิได้สังเกตว่าดวงตาสองข้างของนางสูญเสียการมองเห็น แม้แต่กลุ่มแพทย์ที่เจนสนามมานานกลุ่มนี้ก็ยังพอจะตบตาไปได้อย่างง่ายดายนัก
ผิงชวนที่ตามมาด้านหลังติดๆ คืนสติกลับมา
ผู้หญิงที่แยกจากซ่านจินจื๋อคนนี้ ถึงจะเป็นองค์หญิงเอ่อตานหรือไม่ก็…พระชายาจิ้งอย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกันบนรถม้าซ่านจินจื๋อกลับทำเพียงจัดระเบียบอาภรณืบนเรือนร่าง ขณะที่รถม้าหยุดอยู่หน้าตำหนักอ๋องจิ้ง เขายังคงมีใบหน้าเย็นชา ปลายนิ้วลากจากบริเวณตราประทับตกมาบนกริชที่ช่วงเอว ปลดมันลงมาแล้วโยนใส่ในมือของหงเซียว พลางปริปาก “ให้เฉิงซานมา”
“ขอรับ” หงเซียวกลืนน้ำลายหนึ่งที ซ่อนกริชเล่มนั้นไว้อย่างดี เหยียดหลังตรงเดินตามฝีก้าวของซ่านจินจื๋อ ย่างเข้าสู่ตำหนักอ๋องจิ้งที่กลับมาน้อยครั้งยิ่ง เดิมเขายังคิดจะหยอกล้อสองสามประโยค กลับเห็นว่าพ่อบ้านที่ดูอ้วนขึ้นมาตามกาลเวลาคนนั้นวิ่งเหยาะเข้ามาด้วยความหวาดกลัวตัวสั่น “ท่านอ๋อง….ในคุกใต้ดินคนผู้นั้น…หายไปแล้ว”
“ซูพ่านเอ๋อหายไปหรือ!” หงเซียวร้องตกใจขึ้นมา
“ส่งคนไปหา” เวลานี้ซ่านจินจื๋อกลับดูราบเรียบ เดินไปที่ห้องหนังสือโดยไม่เหลือบตามอง ก่อนจะเอ่ยเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “ให้เฉิงซานหาพ่อบ้านคนใหม่ด้วย”
พ่อบ้านที่เริ่มอ้วนท้วนตัวสั่นราวกับร่อนแกลบ ส่วนหงเซียวปิดปากแล้วรีบตามฝีก้าวของซ่านจินจื๋อไป
ขอเพียงพระนางผู้นั้นไม่อยู่ข้างกาย หงเซียวก็ไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิงว่าท่านอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่