บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 710
บทที่ 710 ตัวปลอม
กู้อ้าวเวยรออยู่ที่จี้ซื่อถางเป็นเวลาเนิ่นนาน กว่าเห้อจิ้นหล่างจะตะลีตะลานมา
ไล่เบี้ยสุนัขเฝ้าบ้านของคนร่ำรวยไปกัดทำร้ายใครเข้า ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยู่ ครั้นได้ยินข้อความจากบ่าวไพร่เขายังตกใจอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ยามที่เห็นกู้อ้าวเวยนั่งอยู่ต่อหน้า ดวงตาสองข้างว่างเปล่า ลายเส้นสีดำบนข้อมือยังไม่ทันจางหายไป ความตกใจที่ตกค้างอยู่ส่วนนั้นก็ลุกลามใหญ่ขึ้นไม่รู้กี่เท่า
“ก่อนหน้านี้สองสามเดือนข้าให้กำเนิดบุตรแล้ว”
คำพูดที่กระชับของกู้อ้าวเวยนั้นไม่ต่างจากเสียงอสนีบาตฟาดพสุธาเลยสักนิด มือของเห้อจิ้นหล่างต่างสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที
ส่วนผิงชวนเขียนสมุนไพรทั้งหมดที่นางได้รับในตอนนั้นลงบนกระดาษอย่างละเอียด ส่งมอบใส่ในมือของเห้อจิ้นหล่าง ก่อนเอ่ยว่า “นายท่านเห้อ ท่านรู้อะไรบ้าง?”
“ข้าคิดว่าท่านน่าจะตายไปตั้งนนานแล้ว” เห้อจิ้นหล่างตั้งสติให้มั่น มองไปยังรายการในมือด้วยสภาพจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย
ผิงชวนมุ่นคิ้ว ส่วนกู้อ้าวเวยกลับหัวเราะเบาๆ แล้วยันพวงแก้ม “ข้าคงไม่ตายง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ช่วงเวลาเหล่านี้ข้าค้นพบว่าพิษพวกนี้มันแทรกซึมเข้ากระดูกทีละน้อย ดังนั้นจึงค่อนข้างจะกังวลกลัวว่าเช่ออี้จื่อและซีเป่าจะไร้หนทางต่อชีวิตของข้าได้”
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ สูตรยาพวกนี้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป” เห้อจิ้นหล่างยื่นมือออกมาตรวจชีพจรให้นาง “ท่านเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้ ไม่กลัวว่าวันหน้าดวงตาทั้งสองข้างจะกลับมามองเห็นแสงสว่างอีกครั้งได้ยากในอนาคตกระนั้นหรือ?”
“เทียบกับสิ่งนี้แล้ว ข้ากลัวว่าจะนึกเสียใจภายหลังมากกว่า” กู้อ้าวเวยม้วนแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยอย่างเคร่งขรึม “แต่ถ้าหากพูดจากใจจริง ข้ายังไม่อยากตาย”
เห้อจิ้นหล่างทำเพียงชักมือกลับมา หลังจากครุ่นคิดอยู่นานจึงปริปาก “ชีวิตไม่นานแล้วหนา”
รูม่านตาของผิงชวนหดเล็กลง ส่วนกู้อ้าวเวยกลับส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “ผู้อาวุโสท่านไม่จำเป็นต้องพูดเด็ดขาดเยี่ยงนี้เลยนี่นา”
“หากข้าไม่เด็ดขาด กระบี่ที่อยู่ขั้วหัวใจนั้นก็ควรจะล้มหายตายจากตั้งแต่ทีแรกแล้ว แม้ว่าปีนั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อแต่ร่างกายนี้ก็สูญเสียชะตาชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าหากเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดบุตร คงไม่พ้นเป็นแค่อาศัยเลือดเนื้อตระกูลหยุนของพวกท่านมายื้อลมหายใจสุดท้ายนี้ก็นั้น หากท่านต้องการจริงๆ….”
น้ำคำยังไม่ทันสิ้นสุด หยุนอี้ก็ร่วงลงบนฝ่ามือของกู้อ้าวเวยอย่างมั่นคง
บนสันดาปแสงสีเงินชอุ่มชุ่ม กู้อ้าวเวยกลับลูบไล้ด้ามดาบอย่างถี่ถ้วน “ข้าไม่อยากลงมืออยู่ที่จี้ซื่อถาง”
ครั้งนี้เห้อจิ้นหล่างที่อยู่เบื้องหน้ากลับยังไม่ทันปริปาก พัดกระดูกของผิงชวนก็ฟาดลงบนคอของเขาอย่างมั่นคง ก็อ้าวเวยที่อยู่ตรงหน้ากลัยปลดเสื้อคลุมลงมาจากบนศีรษะ ดวงตาสองข้างมองไปที่เขาโดยตรง “นายท่านเห้อไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่อาจเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้าได้ ต่อให้ท่านต้องการยุยงข้าให้ต้องการวิธีของความเป็นอมตะ ก็คงเสียแรงเปล่า”
‘เห้อจิ้นหล่าง’ ผุดเผยใบหน้าซีดขาวออกมา “ท่านกับเห้อจิ้นหล่างไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว เขาตัดญาติขาดมิตรกับท่านไปแล้ว…”
“ไปบอกกู้เฉิง ต่อให้ต้องส่งคนมา ก็อย่าได้ส่งผู้หญิงปลอมตัวมา ปีนั้นเจ้าเคยโจมตีข้าบนเรือ ตอนนี้ถึงจะปล่อยเจ้าไป แต่มือสองข้างนี้ของเจ้าข้าก็ยังจดจำได้อย่างแม่นยำอยู่เชียว” มือของกู้อ้าวเวยตกลงบนหลังมือของนางอย่างแม่นยำไร้ความคลาดเคลื่อน ดวงตาสองข้างนั้นก็เปื้อนรอยยิ้มด้วยเล็กน้อย “ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปอีกครั้ง ไปเตือนกู้เฉิงว่าอย่าได้ยั่วโมโหข้าอีก รู้หรือไม่?”
คราวนี้ ผิงชวนถึงเก็บพัดกระดูกเอาไว้ ‘เห้อจิ้นหล่าง’ที่อยู่เบื้องหน้าก็อันตรธานไร้ร่องรอยไปทันที
กู้อ้าวเวยกลับหย่อนตัวนั่งลงอีกครั้งอย่างราบเรียบ ไม่รอให้ผิงชวนปริปาก นางก็เป็นฝ่ายเอ่ยคำกับตัวเอง “ข้ามองเห็นสิ่งของได้ชัดเจนเป็นส่วนน้อยมากๆ เมื่อครู่ก็แค่หลอกนางเท่านั้นเอง”
“มือคู่หนึ่งท่านก็สามารถจำได้นานขนาดนี้เชียว?” ผิงชวนเปลี่ยนคำถาม
“ข้าจำมือไม่ได้ แต่ในที่ว่างบนเรือ นอกจากกลิ่นน้อยนิดแล้ว กลิ่นยาในแกนกระดูกของผู้หญิงพวกนั้นกลับไม่อาจหลอกลวงคนได้ ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ค้นพบ คนที่อยู่ใต้บัญชาของกู้เฉิงดูเหมือนจะมีกลิ่นแบบนั้นกันหมด และที่พอดีพอร้ายคือ ข้าเคยอยู่ในจวนเฉิงเสี้ยง อาศัยอยู่ข้างกายกู้เฉิงมาสิบกว่าปี ไม่รู้สิน่าแปลก” กู้อ้าวเวยถอนหายใจหนึ่งเฮือกเบาๆ “แต่ว่าที่นี่ก็ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ไว้ข้าค่อยมาครั้งหน้าดีกว่า”
“เช่นนั้นตอนนี้…”
“ตำหนักองค์ชายสาม อย่างไรเสียซ่านจินจื๋อก็ไม่อยู่ คงไม่มีคนรู้ว่าข้าคิดจะทำอะไร” กู้อ้าวเวยหยัดตัวลุกขึ้น ยามที่เดินผ่านผิงชวนนั้นยังตบเข้าที่หลังของเขาเบาๆ หนึ่งที “ข้าไม่ตายหรอก”
ผิงชวนฟื้นสติคืนมาฉับพลัน กว่าจะตระหนักได้ว่าตนถึงขึ้นถูกคุณหนูของตัวเองแกล้งเล่นงานเข้าให้แล้ว
นับตั้งแต่คนตัวปลอมผู้นี้เข้ามา นางก็ไม่ได้คิดจะทำตามที่ตกลงไว้กับซ่านจินจื๋อก่อนหน้านี้เลยสักนิด
แต่การพยายามขัดขวางกู้อ้าวเวย บางทีอาจจะถูกนางใช้มือของผู้อื่นขว้างออกไปในที่ไกลๆก็ได้ หลังจากช่างน้ำหนัดภายในใจแล้ว ก็ยังเลือกจะตามเข้าไปอย่างนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำอยู่ดี
นอกเหนือความคาดหมาย กู้อ้าวเวยไม่เปลืองแรงเลยสักนิดอาศัยเพียงดวงหน้านี้ก็สามารถย่างเข้าสู่ตำหนักขององค์ชายสามได้แล้ว ส่วนเฟิงฉีนก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพเหมือนกับเฟิงเยว่ เฟิงฉีนในวันนี้ถอดคราบความเสแสร้งแกล้งเคารพก่อนหน้านี้ออกไป ซ้ำเผยเขี้ยวฟันให้เห็นกึ่งหนึ่ง “ขอเชิญท่านตามข้ามา”
ได้ยินเพียงน้ำเสียงเล็กน้อย ก็รู้ทันใดว่าเฟิงฉีนไม่พอใจก่อนสิ่งที่ตนเคยทำมาก่อนหน้านี้
“ยังไม่ถึงคราวให้ผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งมาชี้มือชี้เท้ากับข้า” กู้อ้าวเวยประคองลำแขนของผิงชวนแล้วเดินมุ่งตรงไปเบื้องหน้า “พาข้าไปรอที่ห้องหนังสือของเขาก็ใช้ได้แล้ว”
“ท่านเป็นแขก…” เฟิงฉีนมุ่นคิ้ว ตระหนักว่าผู้หญิงคนนี้กับคนที่เห็นมาก่อนหน้านี้ยิ่งต่างกันไปใหญ่
“ถ้าหากนับดูกันจริงๆ แล้ว ตำหนักองค์ชายสามแห่งนี้ก็น่าจะเป็นของๆ ข้าในอนาคต” กู้อ้าวเวยหัวเราะหยันหนึ่งที “อีกอย่าง ข้าน่าจะเคยบอกไปแล้วว่าเจ้าต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ทำร้ายกุ่ยเม่ยกระมัง”
“ตอนนั้นข้าทำไปเพียงเพราะจะปกป้องท่านเท่านั้น” สีหน้าของเฟิงฉีนปั้นยากยิ่งนัก
“แต่ข้าต้องการจะปกป้องกุ่ยเม่ยมากกว่า อีกอย่างเมื่อเทียบกับเจ้า ข้าเชื่อว่าผิงชวนจะภักดีต่อข้ามากกว่า” กู้อ้าวเวยพยุงลำแขนของผิงชวนเอาไว้ด้วยรอยยิ้มเต็มอก กระทั่งยังไม่ได้เรียกแม้แต่คำว่าผู้ใต้บัญชา ทำเพียงอาศัยความทรงจำอันริบหรี่ของตนนำทางให้กับผิงชวน ให้เขาพาตนไปค้นหาห้องหนังสือ
นี่ถึงจะเป็นกู้อ้าวเวยตัวจริงสินะ
เฟิงฉีนคิดเช่นนี้ ยังคงเกร็งหนังศีรษะตามเข้าไปอยู่ดี
กู้อ้าวเวยที่ตั้งครรภ์เมื่อเทียบกับท่าทางตอนนี้แล้วยังดูอ่อนโยนกว่ามาก คนเช่นนี้จะสามารถทำการให้กับฝ่าบาทได้จริงๆ หรือ? ความคิดของเฟิงฉีนเริ่มจะผ่อนปรนลงเล็กน้อย
เฉลียงทางเดินที่วกวนซับซ้อนยากจะแยกแยะทิศทาง แม้จะเป็นเช่นนี้ กู้อ้าวเวยก็ยังคงพาผิงชวนมาถึงห้องหนังสือได้อยู่ดี ยามที่หย่อนตัวนั่งลงก็ไม่ใช่ท่าทางเกียจคร้านเนือยๆ อย่างเช่นในยามปกติ หากแต่รักษาความสูงศักดิ์ของผู้อยู่เบื้องบน ซ้ำยังแสดงความไม่พอใจต่อขนมอบและน้ำชาที่สาวใช้นำมาส่งให้ ค่อยๆ ม้วนแขนอาภรณ์ขึ้นอย่างระวังเพื่อเลี่ยงไม่ให้มันเปรอะเปื้อนเศษขนมอบอีกด้วย
การเคลื่อนไหวเนิบนาบ กลับไม่สำรวจโต๊ะขนาดนั้นเหมือนในยามปกติ แต่เลือกจะกวาดมองอย่างถี่ถ้วนก่อนเริ่มลงมือ
“แล้วตัวเขาเล่า?” กู้อ้าวเวยอดถามไม่ได้ตอนที่ทานขนมอบชิ้นที่สองไป
สาวใช้ที่ตัวสั่นงันงกรีบปริปาก “ฝ่าบาทเขา…”
“ข้าคิดว่าเจ้าจะมาหาข้าเพียงลำพังเสียอีก” เสียงของซ่านเซิ่งหานดังลอยมาจากทางประตู เมื่อครู่เข้ากลับมาจากท้องพระโรง ตอนนี้เห็นว่ากู้อ้าวเวยกำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือของเขาในชุดเรียบง่ายธรรมดา ยิ่งทำให้เขาใจเต้น “สุดท้ายเจ้าก็ไม่ยอมสงสัยท่านอาแม้เพียงครึ่งเสี้ยวเลยหรือ?”
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ตอนที่เฟิงเยว่คิดจะวางกับดักบนพื้นที่โล่ง ข้าก็คงบอกซ่านจินจื๋อให้รู้แล้ว” กู้อ้าวเวยชักมือกลับมา ปัดเศษละเอียดบนปลายนิ้วออกเบาๆ พลางถอนหายใจเฮือกยาว “ท่านให้เฟิงเยว่ตามพวกเราตลอดทาง ต้องการจะฆ่าพวกเรา หรือว่าแค่คิดจะฆ่าใครคนหนึ่งในนั้นกันแน่”
คราวนี้ผิงชวนพลันเข้าใจทันทีว่าตอนนั้นกู้อ้าวเวยไม่เพียงสังหรณ์ถึงอันตราย ซ้ำยังรู้ถึงคนเบื้องหลังอีกด้วย
“แน่นอนว่าข้าทำเพื่อปกป้องเจ้า” ซ่านเซิ่งหานกล่าวเช่นนี้ ยกมือขึ้นขับไล่คนที่อยู่รอบกายออกไปให้หมด ก่อนจะปริปากเอ่ยต่อ “เทียบกับอย่างนี้แล้ว ข้ากลับพบวิธีล้างพิษให้เจ้าได้หนึ่งวิธี”
“อะไร?” กู้อ้าวเวยสงสัยใคร่รู้
“วิธีแห่งความเป็นอมตะ” กล่าวเช่นนี้ น้ำเสียงนุ่มนวลของซ่านเซิ่งหานก็เจือความเย้ายวนหนึ่งเสี้ยว “เจ้าไม่ต้องบอกคนอื่นๆ ขอเพียงข้าเตรียมสิ่งของจำเป็นทั้งหมดให้เพื่อเจ้า หากเป็นเช่นนี้แล้ว พิษในกายของเจ้าก็จะสามารถถอนออกไปได้แล้ว”