บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 743
บทที่ 743 แปลกๆไป
ไม่มีการโยกย้ายบุคลากรในค่ายทหารมาเป็นเวลานานแล้ว จึงทำให้มีเรื่องเหม็นเน่ามานาน
และซ่านจินจื๋อไม่เพียงแต่จะอาศัยให้กู้อ้าวเวยมาเจรจาเกี่ยวกับสาเหตุของเงื่อนไขในวันนี้และยังช่วยวินิจฉัยและปรับปรุงแก้ไขอีกด้วย
หลักฐานที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็ล้วนเป็นหลักฐานที่ซ่านจินจื๋อส่งให้กู้อ้าวเวยเมื่อเช้านี้
ก่อนอื่นก็พูดเกลี้ยกล่อมให้คนกลุ่มนึงแสร้งทำไปทรยศเข้าข้างข้าศึก และค่อยไปอยู่ที่อื่น ทำให้อำนาจและอิทธิพลของอ๋องจิ้งอ่อนแอลง เพื่อสร้างความพึงพอใจทางวิชาการและการทหารให้แก่ราชวงศ์แมนจู ในอีกด้านหนึ่งก็แก้ไขปัญหาผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทุจริตรับสินบนและปฏิบัติผิดกฎหมาย แล้วค่อยจับกุมคนที่เลี่ยงภาษีก่อนหน้านี้ออกมาและให้จ่ายภาษี อย่างน้อยก็สามารถทำให้อ๋องจิ้งนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงๆสักตำแหน่งและมีชื่อเสียงในราชสำนักได้ ขอเพียงแค่แก้ไขปัญหาผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องจิ้งได้ คำว่ามีคุณูปการสูงส่งเกินไปจนทำให้บัลลังก์กษัตริย์สั่นคลอนก็จะไม่มีอีกต่อไป
ใช้เวลาสองวันแล้วในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ นายทหารที่พบว่าส่วนเกี่ยวข้อง ถูกคุมตัวกลับไปที่เมืองเทียนเหยียน มีเพียงบางคนที่อยู่ในสภาพที่เลวร้ายที่สุดก็ถูกซ่านจินจื๋อเฉือนด้วยดาบของตัวเอง ท่าทางที่มีเลือดเต็มไปทั่วร่างกายนั้นกลับค่อนข้างคล้ายกับอสุรกายที่อยู่ในภาพม้วน
แต่หญิงสาวที่สวมชุดสีเหลืองอ่อนคนนั้น กลับลุกขึ้นแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขา พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ราวกับว่านางไม่สนใจรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ทั่วร่างกายของซ่านจินจื๋อเลย จากนั้นซ่านจินจื๋อก็ส่งดาบยาวที่อยู่ในมือให้หงเซียว แล้วพูดกับนางว่า “เลือดที่อยู่บนตัวข้านี้กลิ่นไม่พึงประสงค์เลย”
“อี้จื๋อถือกำเนิดแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเลือดที่เปื้อนบนมือคู่นี้ของข้าเองก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเจ้าเช่นกัน” กู้อ้าวเวยขยับเข้ามาชิดข้างกายเขา แล้วใช้ปลายจมูกดมกลิ่นเบาๆ “อีกทั้ง ด้วยสารพิษเหล่านี้ ข้าจึงได้กลิ่นเลือดสดๆเหล่านี้เหมือนว่ามันมีกลิ่นที่หอมหวานอีกด้วย”
ซ่านจินจื๋อหน้าเปลี่ยนสีในทันที “นอกจากนี้ เจ้ายังรู้สึกว่ามันไม่สบายตัวอีกบ้างไหม?”
“ไม่มีความรู้สึกไม่สบายตัวเลยนะ เพียงแต่ตอนที่เดินมาเมื่อสักครู่นี้ ข้าได้ยินหลายคนพูดว่าข้าเป็นนางปีศาจก็เท่านั้นเอง” นางถอยออกไปสองก้าวอย่างเงียบๆ แม้กระทั่งกู้อ้าวเวยก็คิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้ว จึงได้กลิ่นเลือดนี้เหมือนแวมไพร์ตนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ภายในใจยังมีความรู้สึกลำบากใจอยู่เล็กน้อยตลอดเวลา “แต่ว่าคนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นทหารของเจ้านะ เจ้าสังหารเช่นนี้ ไม่รู้สึกใจหายบ้างเลยหรอ”
“เจ้าไม่กลัวว่าจะมีคนเรียกเจ้าว่าหนังผีปีศาจ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ” คำพูดแต่ละคำของเขา ช่างมีพลังอำนาจโน้มน้าวจิตใจคนเสียจริง
ในขณะที่กู้อ้าวเวยยังคงเงยหน้าขึ้นมามองท่าทางที่ไม่อวดดีอีกของซ่านจินจื๋ออยู่นั้น ก็มีความรู้สึกชอบเขาขึ้นมาเล็กน้อย
ในยามปกติดวงตาที่คมกริบคู่นั้นของซ่านจินจื๋อมักจะมีความน่าเกรงขาม ตอนนี้เสื้อคลุมสีเทาเรียบๆได้เปื้อนเลือดไปทั้งตัวแล้ว ทำให้เกิดการข่มขวัญเล็กน้อย กู้อ้าวเวยมองเขาด้วยความตื่นตะลึง แต่กลับไม่รอดพ้นสายตาของซ่านจินจื๋อ “การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะ”
“แต่น้อยนักที่ข้าได้เห็นเจ้าทำท่าทางแบบนี้ ส่วนใหญ่เจ้าจะมีจิตใจลังเลไม่เด็ดขาดหรือคลั่งไคล้ในความรักทั้งสิ้น” กู้อ้าวเวยทอดสายตาออกไปด้วยความหวาดผวา และเดินไปพร้อมกับกอดแขนเอาไว้ แล้วพูดว่า “ข้าจะไปพบซ่านต้วนเฟิงในวันพรุ่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าเจ้ากับอ๋องจงผิงควรจะหารืออะไรกันบ้าง”
“ข้าส่งคนไปรับหยวนเอ๋อมาอย่างลับๆแล้ว” คำพูดของซ่านจินจื๋อทำให้กู้อ้าวเวยหยุดเดินในทันที
นางหันกลับมา สังเกตมองซ่านจินจื๋ออย่างถี่ถ้วนอยู่นาน แล้วพูดว่า “ดังนั้นก่อนหน้านี้เจ้าจึงขังข้าไว้ที่นี่ แล้วกำลังคิดว่าจะนำตัวข้ากลับไปยังไงสินะ”
“มีพระราชโองการคุ้มครองแล้ว ไม่มีใครสนใจหรอกว่าข้าจะพาคนหนึ่งคนกลับไปด้วยหรือไม่” ซ่านจินจื๋อใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดที่อยู่บนหน้าและบนมือให้สะอาด แล้วเดินก้าวใหญ่ๆไปอยู่ข้างๆกู้อ้าวเวย
สุดท้ายผู้ชายคนนี้ก็ยังเป็นคนที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ดี
แต่ตามที่กล่าวมาเช่นนี้ นางก็จะได้เจอซ่านเชียนหยวนแล้วน่ะสิ
เดิมทีคิดว่าซ่านเชียนหยวนจะมาก่อนที่นางจะจากไปเสียอีก แต่ในตอนที่นางยังอยู่ในภวังค์ ซ่านจินจื๋อก็ประคองตัวนางขึ้นมาจากเตียงเสียแล้ว จากนั้นก็รีบสวมชุดหนาๆให้นางอย่างลวกๆแล้วพานางออกไปจากกระโจมและพูดว่า “เขายังพาฉีหรัวไปด้วยนะ”
ข้าเป็นคนที่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเพื่อนขนาดนั้นเชียวหรือ?
กู้อ้าวเวยกำลังคิดด้วยสติที่เลอะเลือน แต่พอคิดอีกทีตัวเองยังมีเรื่องรบกวนให้ฉีหรัวทำไม่น้อย ส่วนลึกในหัวใจก็อ่อนนุ่มลง ในขณะที่กำลังเดินตามจังหวะก้าวเดินของซ่านจินจื๋อจนมาถึงภายในกระโจมอื่น ฉีหรัวเองก็แต่งกายเรียบร้อยแล้วเดินตามมาอย่างโซซัดโซเซ เดิมทีอยากจะลองถามกู้อ้าวเวยเรื่องที่ต้องทำทั้งหมดในเมืองเทียนเหยียน พอเห็นว่าตอนนี้คนผู้นี้ยังไม่ตื่นนอนก็ถูกซ่านจินจื๋อจัดการพาไปไว้บนเก้าอี้ นางจึงตะลึงงันไปพักนึง
แม้แต่ซ่านเซิ่งหานก็แทบจะทำชาในมือหกไปแล้วเช่นกัน ขณะกำลังคิดว่าช่วงนี้ท่านอาไม่ใช่ว่าเพิ่งแก้ไขปัญหาเรื่องทหารที่ทุจริตรับสินบนและทำผิดกฎหมายไปแล้วหรอกหรือ เดิมทีควรจะเป็นช่วงเวลาที่จะต้องโมโหอย่างไร้เหตุผลสิ แต่ในเวลานี้ซ่านจินจื๋อกลับไร้ซึ่งความโศกเศร้าและความยินดีอยู่บนใบหน้า แต่การม้วนผมยาวๆขึ้นให้กู้อ้าวเวยกลับเป็นการกระทำที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็หาวหนึ่งที แล้วเงยหน้าขึ้นมองซ่านจินจื๋อและพูดว่า “ข้าไม่ใช่ชิงจือนะ”
“เจ้าดื้อรั้นเอาแต่ใจกว่าชิงจือมากนัก ถ้าไม่ช่วยจัดการให้เจ้า เกรงว่าเจ้าคงต้องเอารังนกรังนี้ไปตั้งไว้บนศีรษะถึงหนึ่งหรือสองชั่วยามเป็นแน่” พอซ่านจินจื๋อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ดึงผมของนางเบาๆ พอเห็นเพียงกู้อ้าวเวยจับศีรษะอยู่และทำหน้ามุ่ยไม่พูดไม่จา เขาจึงมัดผมขึ้นเล็กน้อย จากนั้นตัวเองก็นั่งลงอยู่ข้างๆเช่นกัน
กู้อ้าวเวยลูบศีรษะที่ถูกดึงจนเจ็บของตัวเองไปมา มองฉีหรัวแล้วพูดว่า “เรื่องเมื่อคราวก่อนต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว”
“ต่อไปข้าก็หวังว่าเจ้าจะสามารถเขียนเหตุผลในการทำเช่นนั้นออกมาได้นะ” ฉีหรัวมองนางอย่างเอือมระอาแล้วพูดว่า “พวกเราคาดเดาอยู่นานแล้ว จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เจ้าต้องการได้รับความไว้วางใจจากเมี่ยวหาร อีกทั้งตอนที่เดินทางมาที่นี่ ก็มีข่าวเกี่ยวกับด่านลั่วสุ่ยว่าถึงแม้ว่าจะได้รับการป้องกันเป็นอย่างดี แต่คนในยุทธภพกลับได้ยินข่าวลือมากมายจากปากของปรมาจารย์ในยุทธภพ ว่าตอนนี้ด่านลั่วสุ่ยเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยเสียงของผู้คนจนโกลาหลวุ่นวายไปหมดแล้ว
“ข้ายังไม่รู้เรื่องนี้เลย แต่ข่าวจากคนในยุทธภพแค่ไม่กี่คนยังไม่เพียงพอหรอก” ในขณะที่กู้อ้าวเวยกำลังพูดเช่นนี้อยู่ แขนข้างหนึ่งก็เท้าอยู่บนแขนเก้าอี้ แล้วเอนตัวไปพิงบนมือ ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้จะต้องได้รับการแก้ไขเข้าสักวัน แต่เจ้าก็ควรพิจารณาเรื่องของตัวเองให้ดีสักหน่อยเช่นเดียวกันนะ”
“ข้ามีเรื่องอะไรให้ต้อง…” ฉีหรัวพูดไม่ทันจบ สายตาก็เหลือบไปเห็นซ่านเซิ่งหานที่อยู่ด้านข้าง สุดท้ายก็กระแอมไอขึ้นมาเบาๆสองสามที แล้วพูดว่า “ที่มาที่นี่ในวันนี้ ถ้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดกับเจ้า”
“เรื่องอะไร?” กู้อ้าวเวยไม่เข้าใจ
“แคว้นเอ่อตานจะส่งทูตมา ไม่ยินยอมให้องค์ชายสามหรืออ๋องจิ้งพาเจ้ากลับไป แต่จะพาเจ้ากลับไป ด้วยตัวเอง โทษที่กล่าวมานั้นก็คือหลิ่วเอ๋อกับจื่อเหมิง ผิงชวนยังบอกว่าแคว้นเอ่อตานเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อย มีคนพูดว่าเถาวัลย์เลือดก็อยู่ที่แคว้นเอ่อตาน ยากที่จะจัดการได้” ฉีหรัวพูดอย่างจริงจัง
กู้อ้าวเวยเลิกคิ้วขึ้น นางกลับคิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนขึ้นมา
เรื่องเถาวัลย์เลือดนี้มันก็เป็นเรื่องที่นางจะพูดมั่วซั่วขึ้นมาเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าใต้เท้าจูผู้นั้นก็ถูกส่งมาที่ชายแดนเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้กลับไม่เหมือนเรื่องที่เป็นเหตุร้ายแรงเลย แต่เป็นเหมือนกับดักอันหนึ่งของผู้เป็นพ่อเท่านั้น
ในตอนนี้ข่าวของนางที่ด่านลั่วสุ่ยนี้ชักจะปิดไม่อยู่เสียแล้ว ตอนนี้แคว้นเอ่อตานปล่อยข่าวเรื่องเถาวัลย์เลือดออกมาโดยไม่ห้ามปรามเลยสักนิด
บางทีท่านแม่ก็อาจจะรู้อะไรบางอย่างเหมือนกัน และคิดว่าจะต้องกำจัดสองข่าวลือที่เกี่ยวกับความเป็นอมตะนี้ให้หมดในครั้งเดียว
เมื่อทั้งสองคนพูดถึงตรงนี้ก็นิ่งเงียบ ซ่านเชียนหยวนที่อยู่ด้านนี้จึงเก็บสายตากลับด้วยความไม่พอใจ แม้แต่จะอ่านพระบรมราชโองการก็ขี้เกียจอ่าน การมาที่นี่ก็เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ แล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า “พ่อหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะสามารถสร้างคุณูปการลบล้างความผิดได้ เป็นการดีที่สุดที่จะตัดกำลังทหารของเจ้าแล้วกลับไป หลังจากนั้นก็ค่อยให้ยอมรับตำแหน่งของเจ้าต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เก็บเอาเรื่องการช่วงชิงระหว่างองค์ชายของพวกเราออกไปให้หมดเสียเถิด”
“มันไม่ใช่แบบนี้” ซ่านจินจื๋อไม่เปิดพระราชโองการเลย แล้วโยนมันทิ้งไปอีกทางหนึ่ง “ยังไงซะเขาก็ยังเป็นฮ่องเต้ ในเมื่อเขาต้องการให้ข้ากลับไปเทียนเหยียนโดยเร็ว ก็จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน เจ้าไม่คิดว่ามันมีอะไรผิดปกติบ้างเลยหรือ?”
สามคนที่เหลือต่างก็หน้านิ่วคิ้วขมวดกันหมด เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เมืองหลวงกันนะ?