บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 746
บทที่ 745 หึงหวง
แม้ว่ากู้อ้าวเวยจะไม่เต็มใจมากนักก็ตาม แต่ถ้าซ่านจินจื๋อยืนยันที่จะตามไป นางก็ไม่มีทางเลือก
เย่วชิงกับซูพ่านเอ๋อถูกควบคุมตัวไว้อยู่ข้างๆหงเซียวชั่วคราว กู้อ้าวเวยแค่นำตัวเมี่ยวหารไปคนเดียวเท่านั้น และรายชื่ออันไพเราะที่กล่าวมานี้คือสี่คนที่ซ่านจินจื๋อยืนกรานที่จะส่งมาปกป้องดูแลนาง แต่คนสุดท้ายก็คือซ่านจินจื๋อที่ปลอมตัวมา เพื่อให้ไม่ถูกใครสังเกตเห็น บนใบหน้าของเขาจึงไม่มีรอยแผลเป็นมากเกินไปแต่อย่างใด ความเย็นยะเยือกอยู่ในดวงตาคู่นั้น รูปร่างก็สูงใหญ่ ทำให้หลายคนที่ได้พบเห็นถึงกับเย็นยะเยือกบริเวณสันหลังเลยทีเดียว
คนที่ซ่านต้วนเฟิงส่งมานั้นดูเหมือนว่าจะเป็นกงกงคนหนึ่ง แก้มสะอาดสะอ้านไม่มีหนวดเครา ดวงตาอ่อนโยนและนุ่มนวลเล็กน้อย แม้แต่วิธีการพูดก็แทบจะไม่ต้องบีบคอพูด ท่าเดินเหมือนกับผู้หญิง พอเห็นกู้อ้าวเวยก็ยิ้มหน้าบาน แต่สุดท้ายก็มองไปที่ผู้ชายทั้งสี่คนที่อยู่ข้างหลังนาง แล้วทำสีหน้าที่ไม่ดีขึ้นมาทันทีและพูดว่า “ทำไมฝ่าบาทถึงได้หาคนมาคุ้มกันเยอะขนาดนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ ดูรูปร่างสูงใหญ่และมีกำลังวังชา สายตาก็เย็นชากันทุกคนเลย”
ในขณะที่กำลังพูดเช่นนี้อยู่ เขาก็ไม่ลืมที่จะเหลือบไปมองอีกสองสามครั้ง
เมี่ยวหารได้รบความยากลำบากในทุกที่ เดิมทีเขาจะอดทนไม่ได้ในเวลานี้ พอเห็นกู้อ้าวเวยที่ยังคงไม่ขยับเขยื้อนเหมือนกับภูเขา เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เจ้าสามารถนำทางคนอื่นได้หรือเปล่า ก็แค่เรื่องที่ต้องพูดกันแค่ประโยคเดียว จะยืดเยื้อให้สิ้นเปลืองเวลาไปถึงเมื่อไหร่กัน!”
กงกงคนนั้นเลิกคิ้วขึ้น แล้วจ้องมองเมี่ยวหารจนแทบจะทะลุเป็นรูพรุนขึ้นมาหนึ่งรู
“ทำไมน่ะรึ? ข้าอยากจะพาคนไปด้วยไม่กี่คนเขาก็ไม่อนุญาต เขาคิดว่าข้าเต็มใจไปจัดการเรื่องในชางหลานนี้แล้วจริงๆ” กู้อ้าวเวยหัวเราะเยาะ และเหลือบมองกงกงคนนั้น แล้วพูดว่า “ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเก้ายังส่งขันทีมารับข้าด้วย น่าขันเสียจริงๆ”
“ฝ่าบาท แม้ว่าข้าจะป็นขันที แต่ก็สามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีมาก โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยที่กระหม่อมได้ล่วงเกินฝ่าบาท” พอได้ยินคำพูดของกู้อ้าวเวย กงกงก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที เขาทำความเคารพด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว เพราะกลัวว่าจะล่วงเกินกู้อ้าวเวยไปเสียแล้ว
กู้อ้าวเวยกลับคิดว่าคนคนนี้เป็นคนที่ซ่านเซิ่งหานหามา ไม่งั้นทำไมถึงได้เคารพตัวเองมากขนาดนี้?
“เอาล่ะๆ ในเมื่อองค์ชายเก้าไม่แสดงความจริงใจออกมาสักหน่อย ข้าก็จะรออยู่ที่นี่สักสองสามวัน องค์ชายเก้าอยากจะแสดงความจริงใจออกมาเมื่อใด ก็ค่อยมาคุยกับข้า” พูดจบ นางก็พูดเยอะจนขี้เกียจจะพูด จึงเพียงแค่นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างๆ ใช้มือข้างหนึ่งค้ำแก้มเอาไว้ จ้องมองเขาแล้วพูดว่า “จงนำคำพูดนี้ไปแจ้งองค์ชายเก้าอีกทีก็แล้วกัน”
กงกงเหงื่อออกเหมือนฝนตกไปชั่วขณะ จึงได้แต่รีบปาดเหงื่อที่อยู่มุมหน้าผาก เมื่อรู้ถึงนิสัยใจคอของกู้อ้าวเวยดีแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้อีก เอาแต่ก้มหัวคำนับ แล้วพูดว่า “ฝ่าบาทเชิญพูดมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เขาทำงานอย่างระมัดระวังด้วย” ในขณะที่กู้อ้าวเวยพูดเช่นนี้อยู่ นางกลับก้มศีรษะ ใช้ปลายนิ้วกรีดไปตามขนปุยๆของเสื้อคลุมตัวใหญ่ตั้งแต่บนไหล่ ดวงตาที่สวยราวดอกท้อคู่นั้นมีความงดงามมีเสน่ห์แฝงอยู่เล็กน้อย แต่กลับทำให้จิตใจของคนเกิดความรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าคำพูดนี้ของฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” กงกงเหงื่อแตก และเขาก็ไม่รู้ว่าจะเย้าแหย่ฝ่าบาทผู้นี้ตรงไหน เพื่อให้คนที่ไม่วางท่าทางใหญ่โตในเวลาปกติวางท่าทางใหญ่โตในเวลานี้
“ความหมายของคำพูดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เขากับข้าต่างก็รู้กัน” กู้อ้าวเวยเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นลุกขึ้นมาแล้วเดินผ่านทางด้านข้างของกงกงผู้นั้นไป มือข้างหนึ่งก็วางอยู่บนไหล่ของกงกงผู้นั้น แล้วพูดว่า “เหย่เฟิงที่องค์ชายเก้าส่งมาก่อนหน้านี้ข้าไม่คุ้นเคยกับมันเลย อย่าลืมให้เขาเตรียมตัวใหม่มาให้ข้าด้วยนะ”
สีหน้าของกงกงผู้นั้นเปลี่ยนสีแล้วเปลี่ยนสีอีก เขายังไม่ทันได้พูดอะไร กู้อ้าวเวยก็พาทั้งห้าคนออกไปแล้วโดยไม่ไว้หน้าเขาเลย
คำพูดนี้พูดอย่างไม่ชัดเจนและไม่เข้าใจ ความหมายก็คลุมเครือมาก
แต่เมื่อฉันออกจากที่นี่และไปที่กระโจมอื่นแล้ว กู้อ้าวเวยกลับถามเมี่ยวหารว่า “ในเมื่อเจ้าเข้าร่วมกับองค์ชายสาม เจ้ารู้จักคนคนนี้ไหม?”
“รู้จักนะ ขันทีผู้นี้แซ่อู เดิมทีหลังจากที่ถูกตอนแล้วเขาควรเข้ามาคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ในวัง แต่ท่าในตอนนั้นรายชื่อที่อยู่ในวังไม่มีชื่อของเขาเลย บางทีอาจเป็นเพราะเขามาแทนคนอื่นแล้วถูกค้นพบเข้า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาโดนไล่ออกมาจากวัง องค์ชายสามได้เก็บเข้าเอาไว้ แต่เขากลับไม่ทำประโยชน์อะไรเลย หลังจากนั้นเขาก็ทำให้เขาเกิดความรำคาญใจ” ในขณะที่เมี่ยวหารพูดเช่นนี้อยู่นั้น ก็มองกู้อ้าวเวยเยอะๆแล้วพูดอีกว่า “เจ้าไม่สนใจเรื่องความเป็นอมตะนั่นเหรอ?”
“โดยปกติแล้วจะต้องรอให้ศาลเจ้าที่ด่านลั่วสุ่ยสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว เจ้าไปกับพ่านเอ๋อน้องสาวของเจ้าเถอะ เมื่อเร็วๆนี้ข้าเห็นว่านางผอมลงมากแล้ว ถ้าหากถึงเวลานั้นมันส่งผลต่อความเป็นอมตะของเจ้าก็จะไม่เป็นการดีแน่” กู้อ้าวเวยชะลอก้าวเดินลง แล้วหาวออกมาหนึ่งครั้งด้วยความอ่อนเพลีย และไม่ลืมที่จะตบแก้มไปมาเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
มีแสงแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของเมี่ยวหาร เขาจะอ้าปากพูดแต่กลับไม่พูดอะไรออกมา ได้แต่เดินออกอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาจากไป กู้อ้าวเวยจึงมีสายตาเย็นชาลง แล้วชะลอจังหวะก้าวจนเดินไปอยู่ข้างๆซ่านจินจื๋อ และพูดเบาๆว่า “เจ้าคิดว่าเมี่ยวหารผู้นี้กับกงกงผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีใครเชื่อถือได้เลย” เสียงของซ่านจินจ๋อไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่มือเล็กๆที่หนาวเย็นของกู้อ้าวเวยกลับถูกวางลงบนฝ่ามือของเขาแล้วก็นวดเบาๆโดยอาศัยเสื้อคลุมขนาดใหญ่นี้
“มีเหตุผล ในเมื่อเมี่ยวหารพูดว่าคนคนนี้เป็นคนที่ไม่มีประโยชน์อะไร แต่กลับยังจำแซ่ของคนคนนี้ได้ สุดท้ายยังหาข้ออ้างมากมายมาพูดเสริมว่าเขาเป็นคนน่ารำคานอีก แต่ถ้ากงกงผู้นี้เป็นคนของซ่านเซิ่งหานจริงๆ เรื่องแรกก็คือเขาควรแสดงความจงรักภักดีต่อข้าสิ” กู้อ้าวเวยพูดถึงครึ่งหนึ่ง ก็พบว่าซ่านจินจื๋อกำลังมองมาที่ตัวเองอย่างไม่ละสายตา และตกตะลึงเล็กน้อย
ในเวลาต่อมา ขากรรไกรล่างของนางก็ถูกบีบเล็กน้อย และเขาก็พูดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “อย่างไรรึ? เจ้าอยู่ข้างกายซ่านเซิ่งหาน คนเหล่านั้นต้องแสดงความเคารพอะไรต่อเจ้าอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อนายหญิงในตำหนัก…”
“ปกติแล้วมันเป็นการแสดงความเคารพต่อนายหญิง ข้าก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะคิดยังไงกับข้า แม้ว่าจะไม่อาจบังคับได้ แต่ข้าก็ถือว่าเป็นคนที่เขาหลงรักอยู่ในใจของเขาเสมอมา ถูกไหม?” กู้อ้าวเวยยิ้มจนดวงตาโค้งงอ และริมฝีปากที่ถูกลงพัดจนแห้งไปเล็กน้อยกลับอ่อนนุ่มลงเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าจงใจโกรธข้าใช่ไหม?” ซ่านจินจื๋อเลิกคิ้วขึ้น แล้วถือโอกาสเอาคนมากอดไว้ในอ้อมกอดของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไป ส่วนสามคนที่อยู่ข้างๆต่างก็ละสายตาไปทางอื่นและไม่ไปสนใจอย่างรู้สถานการณ์
“เจ็ดส่วนคือโกรธเจ้าและมันก็สนุกมาก อีกสามส่วนก็คือบอกเจ้าไปตามความเป็นจริง เพราะกลัวว่าในอนาคตเจ้าจะหึงจนทำเรื่องที่ไม่ดีออกมาไง” กู้อ้าวเวยยิ้มตาหยีและดึงมือของเขาออกไป แล้วโน้มตัวไปจูบที่ริมฝีปากของเขา ในขณะที่กำลังมองสีหน้าไร้ความรู้สึกและจิตวิญญาณไปชั่วขณะของซ่านจินจื๋อ ก็ถือโอกาสวางมือทั้งสองข้างไว้บนไหล่ของเขา แล้วพูดว่า “วางความหึงหวงเอาไว้ก่อน สองวันมานี้ข้าคิดวิธีที่ไม่เลวได้วิธีหนึ่งแล้ว”
“วิธีอะไร?” ซ่านจินจื๋อกอดเอวนางแน่นโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร แล้วเขาก็พานางเข้าไปในกระโจมที่อยู่ข้างๆด้วยท่าทางนี้
“เรื่องที่ชายแดนนี้ให้ซ่านเซิ่งหานมาดูแลจะดีกว่านะ หลังจากนั้นก็กลับเทียนเหยียนและห้ามออกมาข้างนอกอีก” กู้อ้าวเวยกอดคนที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้แน่น แล้วสังเกตมองดูกระโจมนี้อย่างละเอียดรอบคอบ เพราะกลัวว่าจะมีคนอยู่ที่นี่
ซ่านจินจื๋อวางนางลงบนเก้าอี้ นำมือทั้งสองข้างวางไปบนใบหน้าเล็กๆที่เย็นยะเยือกของนาง มองนางแล้วพูดว่า “เจ้าหวังจะให้ข้ากลับไปให้คนอื่นควบคุม และแสร้งทำเป็นว่าสถานการณ์จบลงแล้ว แต่ซ่านเซิ่งหานกลับทำคุณูปการโดดเด่น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เว้นแต่ว่าผู้ผลักดันคนนั้นจะอยู่ข้างข้า ให้ข้าได้ดึงซ่านเซิ่งหานลงมาก่อน หรือยั่วยุหยวนเอ๋อและองค์ชายหกให้เป็นศัตรูกับเขา……”
“ถ้าเกิดเขาทำเช่นนั้นแล้ว เขาจะต้องแสดงพิรุธออกมาได้อย่างเป็นไปตามธรรมชาติ” กู้อ้าวเวยพยักหน้าไปมาอย่างเอาจริงเอาจัง
“เจ้าเชื่อใจซ่านเซิ่งหานขนาดนี้เชียวหรือ?”
“เพราะว่าเขาไม่ได้สังหารบิดาเพื่อยึดครองบัลลังก์ แม้ว่าจะเคยไม่ลงรอยกันก็ตาม แต่ก็ไม่เคยทำร้ายอ๋องจงผิงกับองค์ชายหกเลย ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่คอยสนับสนุนอยู่ในที่ลับหรือไม่ ข้ารู้เพียงว่าเขาจะไม่ทำร้ายญาติพี่น้องหรอก” กู้อ้าวเวยยิ้มและชิดเข้าไปในอ้อมแขนของซ่านจินจื๋อ แล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่เชื่อใจข้าอีกเหรอ?”
เมื่อมองไปที่คนในอ้อมแขน ซ่านจินจื๋อเชื่อว่านางจะไม่แสดงท่าทางแบบนี้กับคนอื่นเด็ดขาด
แต่เขากลับยังหยุดหึงไม่ได้