บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 748
บทที่ 748 เหตุผลเชื่อมสัมพันธ์
ซูพ่านเอ๋อเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ หมายจะดิ้นรนขัดขืนนั้นไซร้ล้วนสูญสิ้นแรงเปล่า
เฉิงซานได้ยินเสียงของทั้งสองคนสนทนากัน เรียกได้ว่าชัดเจนแจ่มแจ้ง หลังจากที่ได้รู้ว่ากู้อ้าวเวยต้องการรูปภาพฮวงจุ้ยก็ยิ่งพาซูพ่านเอ๋อออกไปอย่างเงียบเชียบ อย่างไรเสียพวกเขาก็จะกักตัวซูพ่านเอ๋อเอาไว้อยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว แม้กระทั่งตอนนี้เฉิงซานพาตัวคนออกไปคุมขัง ก็ยังไม่มีใครล่วงรู้
ซูพ่านเอ๋อคิดไม่ถึงว่าจะได้มาที่คุกใต้ดินอีกครั้ง เพียงแต่คุกใต้ดินของที่นี่ไม่เพียงมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ยังมีเชลยศึกของกองทัพอ้ายหยินก่อนหน้านี้ก็ถูกกักขังอยู่ที่นี่เช่นกัน ครั้นมองเห็นผู้หญิงดวงตาแต่ละคู่ล้วนวาววับขึ้นมา นางถูกดันเข้าไปในคุกเดียวกับเยว่ชิง
เยว่ชิงถูกคุมขังอยู่ที่แห่งนี้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว นางกระทั่งมองไปที่เฉิงซานด้วยท่าทางเรียบร้อย “พวกเราเป็นถึงคนขององค์ชายสาม พวกเจ้าก็แสดงความจริงใจเช่นนี้รึ”
“ในเมื่อเจ้านายของพวกท่านเจรจาสันติกับท่านอ๋องแล้ว ผู้ใต้บัญชาตัวกระจ้อยร่อยคนหนึ่งย่อมยินดีมอบให้อยู่แล้ว” เฉิงซานกล่าวเช่นนี้ ผลักซูพ่านเอ๋อไปหนึ่งที ทำให้นางซวนเซอยู่หลายก้าวกว่าจะมาหยุดอยู่ต่อหน้าของเยว่ชิง หลังจากนั้นจึงกล่าวเสียงเย็นชา “พระองค์ท่านนั้นคงไม่รู้ว่าพวกเจ้าถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน ท่านอ๋องปกปิดเรื่องดีเป็นอย่างดียิ่ง”
“พวกเจ้าทิ้งพวกเราสองคนเอาไว้ หวังว่าพวกเราจะพูดอะไรบ้างอย่างนั้นหรือ?” เยว่ชิงยืดหลังเหยียดตรง สายตามองไปที่เฉิงซานอย่างดูแคลน คล้ายกับกำลังชมเรื่องขบขันอยู่
สำหรับเรื่องนี้เฉิงซานได้แต่หัวเราะเย็นชาหนึ่งที หลังจากบัญชาคนให้จับตามองพวกนางอย่าให้คลาดสายตาแล้วจึงจากไป
เขายังต้องไปหาหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับกู้อ้าวเวย ผู้หญิงคนนี้ไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกัน กู้อ้าวเวยได้หว่านล้อมกู้จี้เหยาเรียบร้อยแล้ว ส่วนกู้จี้เหยาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเช่นแต่ก่อนแล้ว ถึงแม้นางจะไม่ได้คัดสำเนารูปภาพฮวงจุ้ยเอาไว้ แต่กลับจดจำมันได้อย่างใกล้เคียงต้นฉบับอยู่ แรกเริ่มเดิมทีหากไม่ใช่เพราะซ่านจินจื๋อเผารูปภาพฮวงจุ้ยนั่นไป นางก็คงไม่ต้องลอบเข้าใจกระโจมแล้ววาดอีกสองแผ่นที่คล้ายคลึงได้หรอก
กู้อ้าวเวยอ่านอย่างลวกๆ ปราดหนึ่ง ทำเพียงเอารูปภาพฮวงจุ้ยนี้ออกไป “ด่านลั่วสุ่ย เจ้าจะได้พบสิ่งที่เจ้าต้องการ”
“ยาแก้พิษเล่า?” กู้จี้เหยามุ่นคิ้ว
“ข้าย่อมจะส่งคนไปมอบให้พวกเจ้าอยู่แล้ว ถ้าหากกู่เซิงตายไป ถึงตอนนั้นเรื่องโกลาหลภายในของเย่นเจียงก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรกว่าจะพักรบได้ คนที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้กลัวแต่ว่าจะคิดอุบายข้อนี้ไว้แล้ว” กู้อ้าวเวยกล่าวเช่นนี้ ในใจกลับยิ่งมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง
ถึงกับมีคนเอื้อมมือมาถึงเย่นเจียงได้ ฮ่องเต้แคว้นเจียงเยี่ยนไม่รู้ถิ่นฐานที่แน่ชัดตั้งแต่ต้น ฮ่องเต้แคว้นซินนั้นกู้เฉิงประกาศว่าไม่ทราบถิ่นฐานแน่ชัดและสถาปนาฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ส่วนกองทัพของอ้ายหยินแพ้แตกทัพตั้งแต่ต้น ถ้ากู่เซิงและล่ายเซวียนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก เช่นนั้นคนที่สามารถเป็นผู้นำเย่นเจียงได้ก็คงไม่ได้เป็นที่รักของพสกนิกร ล่มสลายกลายเป็นทรายเป็นเรื่องที่ต้องเกิดไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี
เรื่องที่ผู้คอยผลักดันอยู่เบื้องหลังต้องการทำออกจะมากเกินไปหน่อย
ทว่าท้ายที่สุดนางก็ไม่สามารถระบุโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาได้
ถ้าหากบอกว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็นกู้เฉิงทำทั้งหมด เช่นนั้นคนที่มีใจจงรักภักดีต่อเขาเป็นใครกันแน่ ก่อนหน้านี้ร่วมมือกับองค์ชายสองล้มเหลว ร่วมมือกับซ่านจินจื๋อและซ่านเซิ่งหานก็ล้มเหลวเช่นเดียวกัน ถ้าหากทั้งในนอกล้วนคิดอยากสะสางพร้อมกัน แล้วเมี่ยวหารเป็นเพียงผู้ที่มีพื้นเดิมเป็นพวกชนบท ต่อให้มีศักยภาพแสนใหญ่หลวงก็คงไม่สามารถปั่นป่วนประเทศอื่นๆ ได้
และในเวลานี้ สถานการณ์ของเอ่อตานก็เริ่มจะซับซ้อน เรื่องที่พวกคนซึ่งมาจากชางหลานนั้นก่อขึ้นทั้งหมด…
กู้อ้าวเวยชะงักฝีเท้ากะทันหัน คล้ายกับฉุกคิดอะไรบางอย่างได้แล้วจึงเปลี่ยนทิศทางหมายจะไปพบซ่านจินจื๋อ ทว่าเพิ่งจะหมุนกาย เส้นทางเบื้องหน้าก็ถูกขวางเอาไว้เสียแล้ว
เฉิงซานที่เพิ่งเดินดุ่มๆ ออกมาจากคุกใต้ดินบนเนื้อตัวยังเจือกลิ่นคาวเลือดอยู่ สำหรับกู้อ้าวเวยแล้วไม่ใช่กลิ่นที่หอมหวนเป็นพิเศษ แต่เจือความประหลาดเอาไว้เสี้ยวหนึ่ง ทำเพียงมุ่นเรียวคิ้ว “เฉิงซาน นี่เจ้าออกมาจากที่ไหนกัน?”
“แค่เมื่อครู่ไปคุกใต้ดินมารอบหนึ่ง พระนางจะไปหาท่านอ๋องหรือ?” เฉิงซานกล่าวด้วยความเคารพ ใบหน้ามักจะราบเรียบสงบนิ่งไม่ไหวติงอยู่เสมอ
“อืม ข้านึกถึงเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้ เขายังอยู่โรงฝึก…”
“ท่านอ๋องยังมีธุระสำคัญต้องจัดการ พระนางไม่สู้ไปพักผ่อนกับคุณหนูฉีก่อนสักประเดี๋ยวดีกว่า” ดีร้ายบนใบหน้าของเฉิงซานก็มีรอยยิ้มแห่งความเคารพอยู่บ้าง
สำหรับผู้ใต้บัญชาคนนี้ของซ่านจินจื๋อ กู้อ้าวเวยก็แสนวางใจยิ่งนัก จึงพยักหน้า ตามเฉิงซานไปหาฉีหรัว ไม่ได้สังเกตถึงพายุมรสุมใต้สายตาของเฉิงซานที่กำลังก่อหวอดขึ้นอย่างเงียบๆ ด้วยซ้ำ
บรรลุถึงกระโจมของฉีหรัว คนที่เบื่อหน่ายเต็มประดาเวลานี้กำลังเล่นหมากกระดานกับหงเซียวอยู่ หงเซียวกลับไปชางหลานน้อยครั้งมาก ไม่ใคร่เจนจัดกับหมากกระดานขาวดำเทือกนี้ ทั้งสองยังว่างงานจึงเล่นหมากกระดานกัน เหลือบเห็นกู้อ้าวเวยเข้ามา หงเซียวรีบร้อนหยัดตัวโค้งคำนับทันที
ฉีหรัวทำเพียงเสมองนางเรียบๆ ปราดเดียวเท่านั้น “ดูเหมือนท่านจะยุ่งมาก”
“พอประมาณ เข้ามาครั้งนี้หวังว่าจะรบกวนเจ้าทำธุระให้ข้าอีกสักเรื่อง ทำภารกิจหลายอย่างขนาดนี้ เงินปันผลส่วนนั้นของข้าก็ไม่เอาแล้ว ว่าอย่างไร?” กู้อ้าวเวยยิ้มตาหยีพลางนั่งลงข้างๆ นาง โบกมือส่งสัญญาณให้กับหงเซียวว่าไม่ต้องสนใจตน
“เงินนั่นท่านเอาไปดีกว่า ข้ายังรอสูตรยาของท่านอยู่ หากทำเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด” ฉีหรัววางหมากสีขาวลงไป หงเซียวเริ่มเกาท้ายทอยครุ่นคิด
“นำของที่นายท่านเห้อสืบเสาะมามอบให้กับกู้จี้เหยาทั้งหมด ส่วนที่ข้าต้องการนั้นก็ไปเอามาจากซ่านเซิ่งหานเถิด” กู้อ้าวเวยกระทุ้งเข้าที่แขนของฉีหรัว ก่อนโน้มกายอิงบนไหล่ของนาง “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง คงไม่ได้เดือดร้อน ไม่สู้พูดเรื่องที่เจ้าอยู่เมืองเทียนเหยียนถูกคุณชายตั้งกี่คนมาเกยประตูสู่ขอดีกว่า?”
“ท่านรู้ด้วย?” ฉีหรัวขมวดคิ้ว
“ไยจึงไม่รู้ จักวรรดิอันไกลโพ้นโน่นยังรู้ว่าในเมืองเทียนเหยียนมีสตรีรูปงามนางหนึ่ง ทั้งยังเป็นหนึ่งในวาณิชย์ผู้มั่งคั่งในชางหลาน ตอนนี้ยิ่งใหญ่แผ่ไพศาล แม้แต่เหมืองแร่ในราชสำนักยังรวบไว้ในคราวเดียว เก่งกาจใช่เล่นเชียว” กู้อ้าวเวยกล่าวพลางยิ้มตาหยี “อีกอย่างดูจากสภาพของซ่านเชียนหยวนที่แทบอดรนทนไม่ไหวอยากจะมัดเจ้าเข้ากับสายรัดเอวนั่นแล้ว กลัวแต่ท้ายที่สุดเจ้ากับเขาไม่ได้มีลงเอยกัน แล้วพวกคุณชายตาไม่แหลมคมพวกนั้นจะรีบรุดเข้ามาพะเน้าพะนอขอดวงใจหมายปองกลับไปเชยชมคนแล้วคนเล่าเท่านั้นแหละ”
“พูดเหมือนท่านเห็นมาเองกับตา ก่อนหน้านี้เหตุใดจึงไม่ยักเห็นท่านพยากรณ์เช่นนี้เลย” ฉีหรัวดวงหน้าเรื่อแดง ปลายนิ้วกลับยังคงกดเบาๆ บนหมากกระดาน บอกหงเซียวว่าลำดับต่อไปควรเดินอย่างไรดี
“นี่ไม่ใช่การพยากรณ์เสียหน่อย เป็นเรื่องจริงเชียวนะ” กู้อ้าวเวยยิ้มตาหยีพลางหมุนกาย หลังจากหงเซียววางหมากแล้ว พลันหยิบตัวหมากสีขาวของฉีหรัวขึ้นมาหมุนเล่นในมือ สายตาแสนลุ่มลึก “เจ้าควรจะจำได้ว่าคนที่เข้าเรือนมาสู่ขอพวกนั้นเป็นใครกันบ้าง ในนั้นจะต้องมีผู้ที่คอยผลักดันในมุมมืดคนนั้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคนราชสำนัก”
ฉีหรัวและหงเซียวต่างนิ่งงัน ไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก
“ไยว่าเช่นนี้?” ฉีหรัวทุบมือลงบนเข่า ก่อนถามนาง
“ผู้ตาแหลมคมย่อมรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับซานเชียนหยวน ทว่าคนที่สายตาไม่แหลมคมพวกนั้นยังคงเดินตามรอยเท้าคนข้างหน้า บางคนจะต้องไม่หักใจอย่างแท้จริง ทว่าในนั้นจะต้องยังมีพวกตื๊อตอแยที่คิดจะใช้นามของความรักมาปั่นป่วนความสัมพันธ์ของเจ้ากับซ่านเชียนหยวน นับประสาอะไร ตอนนั้นซ่านเชียนหยวนยังควบคุมราชสำนักอยู่ เจ้ายังไปมาหาสู่กับเขาไม่น้อยเลย” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางวางหมากสีขาวตัวนั้นลงไปเบาๆ พลางกล่าวเสียงเข้ม “เจ้าลองทายสิ มีคนตั้งเท่าไรที่คิดว่าเจ้าคอยชักใยอยู่เบื้องหลังซ่านเชียนหยวน”
“ข้าก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ เท่านั้น”
“แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับเดินมาถึงตำแหน่งในปัจจุบันได้ แม้นเจ้าจะรู้ถึงความตรากตรำในนั้นดี แล้วจะทำอย่างไรให้พวกเขารับรู้ด้วยเล่า? ในสายตาของพวกเขา เจ้าก็เป็นผู้หญิงที่คอยบงการองค์ชายสี่ขึ้นสู่ตำแหน่ง ส่วนองค์ชายสี่เป็นผู้ดูแลราชสำนัก เข้าใกล้ง่ายๆ รังแต่จะชักภัยถึงตัว ทว่าหากรีบร้อนลงมือที่ตัวเจ้าแทน นั่นจะไม่สะดวกกว่าหรือ” กู้อ้าวเวยประชิดใกล้ตัวของฉีหรัวอย่างเงียบๆ ก่อนทอดถอนใจเบาๆ
ก่อนหน้านี้ฉีหรัวไม่ได้คิดมากถึงขนาดนี้มาก่อน ปัจจุบันถึงว่าฟังดูแล้วมันออกจะพิลึกอยู่หลายส่วน แต่พูดแบบทั่วๆ ไปกลับไม่ผิดเลย อย่างไรเสียแม้แต่เหมืองแร่นางก็ฮุบเอาไว้ได้แล้วแล้วเหตุใดถึงยังมีคนมาสู่ขออยู่ดีเล่า?