บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 779
บทที่779 ถกเถียง
กู้อ้าวเวยคิดอะไร มีน้อยคนที่จะรู้
นางลุกขึ้นจากนั้นก็ค่อยๆเดินอ้อมขอบโต๊ะเพื่อไปหาซ่านต้วนเฟิง
หญิงสาวที่อ่อนแอเมื่อสักครู่นี้ ทว่ากลับมีดวงตาเปล่งประกาย นางใช้มือข้างหนึ่งค้ำยันโต๊ะไว้แล้วสบตากับซ่านต้วนเฟิง ราวกับจะกระชากหน้ากากของเขาออกมาด้วยแววตาที่เยือกเย็น “ตอนนี้ซ่านจินจื๋อยอมที่จะช่วยเจ้าช่วงชิงบัลลังก์ และข้าก็แสร้งทำเป็นเลื่อมใสศรัทธาเจ้า เจ้าควรจะให้รางวัลข้าหรือไม่?”
น้ำเสียงที่ทุ่มต่ำ แต่ทว่ากลับไม่มีความอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย
ซ่านต้วนเฟิงเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าอีกครึ่งหนึ่ง หลังจากที่เมี่ยวหารรู้ถึงน้ำใจของซ่านจินจื๋อก็ใช้ประโยชน์นั้นเพื่อข้า ส่วนซูพ่านเอ๋อก็ทำสิ่งต่างๆเพื่อข้า แต่ตอนนี้ซูพ่านเอ๋อ ยังนิ่งเฉยกับสิ่งที่เจ้าพูดปละเมี่ยวหารก็ปิดปากเงียบ”
เดิมทีซูพ่านเอ๋อและเมี่ยวหารหาบ้านของตนเองเจอตั้งนานแล้ว
กู้อ้าวเวยไม่คาดหวังว่าจะถอดหน้ากากของซ่านต้วนเฟิงที่ยังคงโง่เขลาในตอนนี้ กู้เฉิงมีโอกาสชนะในการช่วงชิงเพื่อเขาเพียงห้าส่วนเท่านั้น ส่วนอีก ห้าส่วน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็จะไม่ปิดบังอีกต่อไป “กู้เฉิง ภักดีต่อเจ้าเจ้ายังจะเล่นละครต่อหน้าเขาอีกรึ?”
“ ผู้ใดจะชอบเบี้ยที่มีความคิดเห็น ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามีสายเลือดของราชวงศ์ตระกูลซ่าน เขาเพียงแต่ เลื่อมใส ศรัทธาแม่ของข้า แล้วข้าจะเชื่อใจเขาได้แค่ไหนกัน?”
ซ่านต้วนเฟิงหัวเราะเยาะอย่างเยือกเย็น เขายกมือขึ้นเพื่อจะดึงข้อมือของกู้อ้าวเวย แต่นางกลับหลบทัน
“ ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการอะไร?”
“ เจ้าสามารถมองข้าออก แต่เจ้ามองจุดประสงค์ของข้าไม่ออกรึ?” ซ่านต้วนเฟิงยืนขึ้นโดยไม่รู้สึกรำคาญแต่อย่างใด แต่ทว่าการแสดงออกบนใบหน้านั้นกลับทำให้กู้อ้าวเวยรู้สึกแปลกใจ
พลังที่เปล่งออกมาทำให้เขาดูไม่เหมือนกับเด็กในวัย 20 ทว่ากลับเหมือนชายวัยกลางคนในวัย 30-40 ปีที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
หลังจากที่ถอยออกมาเล็กน้อย กู้อ้าวเวยที่เคยชินกับการดูกระดูกสันหลังของเขา ในช่วงเวลาต่อมาคนที่อยู่ข้างหน้าก็โน้มตัวลงมาทำให้จมูกแทบจะชนกัน กู้อ้าวเวยผงะ แล้วมองเขาด้วยดวงตาเบิกโพลง แต่ทว่าด้านหลังกลับชิดกำแพงแล้ว “เจ้า……”
ยังมีใครมาจากที่อื่นเหมือนกับนางบ้างไหม?
ความคิดเช่นนี้ทำให้นางกลัว แต่ซ่านต้วนเฟิงกลับพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า “ มือข้าถูกลอบสังหารเป็นครั้งที่สาม ข้าก็รู้ทุกอย่าง ซ่านต้วนโฉงไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อหรือฮ่องเต้ เมื่อเหล่าขันทีและข้าหลวงชี้มาที่จมูกของข้า แล้วบอกว่าข้าไม่ใช่ลูกของซ่านต้วนโฉง ข้าสาบาน”
“ข้าต้องการดึงลงเขาจากบัลลังก์ ข้าจะทำให้ราชวงศ์ตระกูลซ่านพินาศลงในชั่วพริบตา”
เมื่อสิ้นเสียงพูด มือของซ่านต้วนเฟิงก็บีบคอกู้อ้าวเวยอย่างแรง “เจ้าคือคนที่ซ่านจินจื๋อรักที่สุดแต่กลับไม่รู้สักนิดเลยว่ามีเพียงซ่านจินจื๋อเท่านั้นที่สามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการได้โดยไม่ต้องยับยั้งชั่งใจ แต่พวกเรากลับไม่ได้รับการปกป้องจากเสด็จพ่อเลยแม้แต่น้อย”
เดิมทีคนที่ต้องการบัลลังก์มีเพียงซ่านเซิ่งหานคนเดียวเท่านั้น
ภายใต้ใบหน้าของซ่านต้วนโฉงผู้ซึ่งเป็นบิดาที่มีความรักความเมตตา แต่กลับหลอกลวงซึ่งกันและกัน และยังมีคำพูดที่เหมือนดั่งใบมีดที่แหลมคม ซึ่งได้เฉือนองค์ชายออกเป็นชิ้นๆ แต่มีเพียงซ่านจินจื๋อคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับความรักจากพี่ชาย
ไม่ว่าความหลงใหลของซ่านเซิ่งหานที่มีต่อนางจะมาจากความเหงาของเขาเองหรือมาจากรักแรกพบของซ่านจวนฮ่าวในตอนนั้น หรือแม้กระทั่งรัศมีชีวิตของซ่านจวนฮ่าวที่อาศัยอยู่ในเงามืดของซ่านจินจื๋อ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความไม่เต็มใจของรัศมีอันสูงส่งต่อซ่านจินจื๋อและต่อการไล่ล่าของนาง อีกทั้งตอนนั้นก็ถูกผู้อื่นควบคุม
และก็เกิดขึ้นกับซ่านต้วนเฟิงเช่นเดียวกัน
ในชีวิตนี้ไม่มีใครปกป้องและไม่มีที่ให้กลับไป
“เพียงเพราะความความโชคดีของซ่านจินจื๋อ พวกเจ้ามีคุณวุฒิพอที่จะตำหนิเขาหรือไม่?” คราวนี้กู้อ้าวเวยยืนพิงกำแพงดวงตาของนางลุกโชนราวกับเปลวไฟ “ซ่านจินจื๋อไม่ได้ช่วงชิงทุกอย่างไป แต่ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้น แล้วจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น หากเกลียดเขาเพียงเพราะสามารถทำให้พวกเจ้าหลุดพ้น เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดเช่นนี้ แต่เมื่อเจ้าทำให้สถานการณ์วุ่นวายหรือแม้แต่ทำให้เกิดสงคราม พวกเจ้าก็ไม่คู่ควรกับคำว่าองค์ชาย แล้วมีเหตุผลใดที่จะขึ้นครองบัลลังก์?”
ซ่านต้วนเฟิงขมวดคิ้วและแสยะยิ้ม “ดังนั้นการเจรจาต่อรองของเราล้มเหลว?”
ทันใดนั้นมือที่บีบคอนางอยู่กันแน่นขึ้น กู้อ้าวเวยรู้เหตุผลที่เขากล้าลงมือ
เพราะจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่การนั่งบนบัลลังก์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถพูดบิดเบือนความจริงเพื่อให้เกิดสงคราม แม้ว่าความตายจะใกล้เข้ามา กู้เฉิงก็จะเป็นแพะรับบาปและเฉิงเสี้ยงที่ทรยศ
“ข้ายังไม่อยากตาย” ความปรารถนาของการอยากมีชีวิตรอดทำให้กู้อ้าวเวยรีบคว้าข้อมือของซ่านต้วนเฟิงด้วยแววตาที่ตื่นตระหนก
นางไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินเหล่านี้ได้อย่างใจเย็น
มือของซ่านต้วนเฟิงเริ่มคลาย “ เจ้าต้องร้องขอความเมตตา”
“หากจุดประสงค์ของเจ้าคือฮ่องเต้ ข้าเชื่อแน่นอนว่าเจ้าจะใช้ประโยชน์จากข้าได้ดี แต่ตอนนี้เจ้าต้องการให้ข้าทำข้อตกลงอะไร?” จะว่าไปซ่านต้วนโฉง ถือเป็นพี่ชายที่เคารพนับถือของซ่านจินจื๋อ แล้วนางจะช่วยซ่านต้วนเฟิงจัดการกับซ่านต้วนโฉงได้อย่างไร
“ ความลับของการเป็นอมตะ” มือของซ่านต้วนเฟิง เลื่อนจากคอลงมาที่ไหล่ของกู้อ้าวเวย พลางพูดด้วยเสียงต่ำ “ นี่คือการตอบแทนบุญคุณของข้าที่มีต่อกู้เฉิง”
“เจ้าบอกความจริงกับข้า ไม่ใช่เพื่อให้ข้าใช้กับเจ้ารึ?” กู้อ้าวเวยหัวเราะ พลางใช้นิ้วถูลำคอที่เจ็บปวดของนาง เมื่อเห็นว่าซ่านต้วนเฟิงไม่โต้ตอบ จึงพูดต่อว่า “มันเหนื่อยมากนะที่ต้องต่อสู้เพียงลำพัง”
ซ่านต้วนเฟิงใช้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์มองนางด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
“เพราะไทเฮาต้องการกำจัดเจ้า ข้าบอกเจ้าแล้ว” ซ่านต้วนเฟิง พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไป “การสืบสานของราชวงศ์ตระกูลซ่าน คือการเตะคนของตระกูลหยุนออกไป”
เป็นอย่างนี้นี่เอง
กู้อ้าวเวยยิ้มอย่างขมขื่น นางรู้ตั้งแต่กระดาษสีเหลืองและกระดูกเหล่านั้นและหลังจากเรื่องโชคชะตาของนาง นางควรจะคิดได้ตั้งนานแล้วว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ฝีมือของซ่านจินจื๋อและซ่านต้วนโฉง
แต่คิดไม่ถึงว่าเหตุผลนี้ที่ทำให้ซ่านต้วนเฟิงเป็นปีศาจ
นางยังอยากมีชีวิตต่อไป บางทีอาจจะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย
หากรอยู่จือกลับมาอยู่ข้างกายนางอีกครั้ง หัวใจของนางคงเหี่ยวเฉา
ความเพียรพยายามและความลำบากในหลายปีที่ผ่านมา มันทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
จากนั้นคนที่เดินเข้ามาคือกู้เฉิงที่มีจดหมายอยู่ในมือ จดหมายในมือของเขาดูไม่ยากว่าเป็นจดหมายลับของซ่านเซิ่งหาน แม้จะเห็นตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว
“ นี่คือข้อแลกเปลี่ยนของข้อตกลง เจ้าสามารถพบซ่านจินจื๋อได้เพียงคนเดียวและพวกเราจะคอยดูอยู่ข้างๆ” กู้เฉิงมองไปยังกู้อ้าวเวยอย่างระวังตัว
“ซ่านจินจื๋อสำคัญกับข้าขนาดนั้นเชียวรึ?” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบาๆและจัดเสื้อผ้าบนร่างกายของนาง แต่ทว่านางกลับเอาปิ่นมุกหยกออกและใช้เพียงปิ่นหยกธรรมดา พลางมองยู่จือที่กำลังขมวดคิ้ว หากไม่ใช่ยู่หงดึงออกไป เกรงว่าจะได้ทำอะไรบางอย่าง
“ไปกันเถอะ