บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 813
บทที่ 813 บังเอิญพบสายสืบ
ขณะที่จากไป กู้อ้าวเวยสวมเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่อย่างเสียมิได้ เดินไปรอบๆ อารามหนึ่งเที่ยวจึงพบหลวงจีนน้อยสวีเชินที่กำลังตักน้ำข้างบ่อ เขาเพิ่งตักน้ำมาได้หนึ่งถังใหญ่เต็มๆ เหลือบเห็นบุคคลชุดดำที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ทำเพียงสวดพึมพำว่าอามิตตาพุทธ ก่อนจะแบกน้ำเดินออกไป
กู้อ้าวเวยได้แต่ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ดึงปีกหมวกขึ้นน้อยๆ เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
สวีเชินนิ่งงันก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงฉุกคิดได้ว่าบุคคลตรงหน้านี้คือใคร ยามที่วางถังน้ำลงก็ปริปากกล่าวไปพลาง “พระนาง วันนี้ท่านเสด็จมามีเรื่องอันใด?”
“ก็แค่อยากรู้อยากเห็นว่าเจ้ายังกวาดพื้นอยู่หรือไม่” กู้อ้าวเวยกล่าวพลางยิ้มพิมพ์ใจ เลื่อนมือที่มีรอยแผลเป็นไปไว้ด้านหลังอย่างแนบเนียน ปลายตาเป็นเส้นโค้ง
“เช่นนี้นั่นเอง” สวีเชินลูบศีรษะด้วยความงงงวย “พระนางช่างเป็นคนแปลกๆ เสียจริง”
“เจ้าถึงจะเป็นคนแปลก ไม่เคยมีใครบอกให้เจ้าเลื่อนระดับกลายเป็นหลวงจีนขั้นสูงลัทธิเต๋าเลยหรือ?” กู้อ้าวเวยนั่งลงบนก้อนอิฐด้านข้างอย่างสบายๆ มือที่สะอาดสะอ้านยันลงบนเข่า กึ่งค้ำปลายคางของนาง อาการเจ็บแปลบปลาบเหล่านั้นภายในอกจึงค่อยๆ บั่นทอนลง
“ท่านอาจารย์ก็เคยบอก แต่ข้าไม่ชอบทรัพย์สมบัติ ทั้งไม่อยากเลื่อนระดับเหนือปวงชน ข้าหาได้อินทรีย์แกร่งกล้าไม่ เพียงแต่มิอาจบรรลุจตุลักษณ์ล้วนว่างเปล่าของพระศากยมุนีได้ จึงได้แต่กวาดพื้นหาบน้ำอยู่ที่นี่ ผิดถูกหรือไม่ ในใจของข้าล้วนไม่มีความแตกต่าง” สวีเชินส่ายหน้าอย่างเคลือบแคลง และเลียนแบบอากัปกิริยาของกู้อ้าวเวยโดยนั่งลงบนก้อนอิฐด้านข้างเสียดื้อๆ ก่อนปริปากเอ่ยต่อ “ความยุติธรรมไม่ได้อยู่ในใจมนุษย์ มีเพียงท่องเก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้”
กู้อ้าวเวยอดส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้กับคำตอบดังกล่าว ทว่าในตอนที่สวีเชินหัวเสียจึงตบบ่าของเขา “คิดเช่นนี้ก็ดีถมเถ แต่อย่าลืมเรื่องที่ข้าไหว้วานในวันนั้น”
สวีเชินมองไปที่นางซึ่งหยัดกายขึ้นคล้ายมอบภารกิจสำคัญด้วยความไม่เข้าใจ พลางพยักหน้าอย่างขึงขัง “ย่อมจำได้อยู่แล้ว”
“คิดดูแล้วก็ถูก กลัวว่านอกจากคนน่าเบื่อแบบข้าคนนี้แล้ว ก็คงไม่มีใครพูดกับเจ้าได้มากความขนาดนี้อีกแล้วกระมัง” กู้อ้าวเวยโบกมือกล่าวลากับเขาเต็มแรงราวกับเด็กน้อยมิปาน ดวงตาคู่นั้นวาววับมากเป็นพิเศษ
สวีเชินกลับได้แต่ขมวดคิ้ว ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะหวนสู่ความสงบ พลางแบกถังน้ำเดินทอดน่องออกไป
ส่วนกู้อ้าวเวยที่เดินออกจากถนนภูเขาแคบๆ ด้านข้างนั้นกลับรู้สึกดีใจ สวีเชินเสมือนว่าเป็นอริยบุคคลที่เพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับเรื่องราวกับปัญหาวุ่นวายทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันแล้ว นางผู้ที่เริ่มทำการคาดเดาก็คงดีกว่าหลายหมื่นเท่านัก
ทว่าตอนนี้ สวีเชินกลับกล่าวถึงหลักมหามรรคออกมามากมายกว่าตัวเขาในอดีต
ตอนที่กู้อ้าวเวยลงจากเขาก็อดบ่มพึมพำกับตัวเองมิได้ “มีเพียงท่องเก็บไว้ในใจเท่านั้น…”
เมื่อลงมาจากภูเขา ดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าได้สาบสูญไร้ร่องรอยไปแล้ว ภายในป่าทึบที่มิดมืดเสียจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้ามีเสียงที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวดังลอยมา ส่วนกู้อ้าวเวยกลับมิได้จุดคบไฟให้สว่าง ทำเพียงอิงตามสัญลักษณ์ที่ตนทำไว้บนลำต้นไม้เดินผ่านไปตลอดทางก็เท่านั้น กลับมองเห็นเพียงรถม้าและโซ่ตรวนที่ว่างเปล่า
“สมควรตาย!” สบถด่าเสียงต่ำหนึ่งที สายตาของนางกวาดมองทุกสรรพสิ่งรอบกาย มีเพียงม้าที่ถูกคนให้อาหารอยู่ข้างกายเท่านั้นที่ดูเหมือนรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ส่งเสียงฟึดฟัดเล็กน้อย กู้อ้าวเวยจึงได้แต่แก้ม้าตัวนี้ออกจากรถม้า และเอาของที่ใช้ประโยชน์ได้บางส่วนใส่ไปอย่างลวกๆ ปูอานม้าแล้วพลิกกายขึ้นไปด้านบน “ถ้าเจ้าเป็นหมาสักตัวก็คงดี”
อาชาพ่นลมออกจากโพรงจมูกหนึ่งที ย่ำอยู่กับที่อย่างไม่สงบอยู่หลายรอบ ราวกับรับรู้จิตใจมนุษย์
กู้อ้าวเวยคว้าเชือกบังเหียนอย่างจนปัญญา ทิ้งโซ่ตรวนที่หนักอึ้งเอาการนั่นไว้บริเวณนี้เสียเลย เปลี่ยนเชือกสองขดที่หนาประมาณนิ้วหัวแม่มือแขวนไว้ที่ช่วงเอว หยิบกระบอกไม้ไผ่หนึ่งอันออกมาจากแขนเสื้อ แมลงตัวเล็กที่ส่วนหางเจือสีทองน้อยๆ โผบินออกมา ถาโถมมายังทิศทางที่นางกำลังจะมุ่งไป
กู้อ้าวเวยขี่ม้าตามไปอย่างไม่รีบไม่รน สืบเสาะเบื้องหน้าอย่างละเอียดคล้ายกับมีหมู่บ้านเล็กๆ สองแห่ง แต่จำไม่ได้แล้วว่ามีคนขายรถม้าอยู่ที่นั่นบ้างหรือไม่ เวลานี้เพื่อตามหาซูพ่านเอ๋อที่วิ่งหนีเพียงลำพัง นางคงมิอาจเอารถม้าคันเมื่อครู่ไปด้วย ได้แต่ทอดถอนใจ
ซูพ่านเอ๋อนั้นออกจะไร้เดียงสาเกินไป
ขณะที่เปลวไฟในระยะไกลสว่างขึ้นมา นักล่าบนภูเขายังคงถือดาบเปื้อนคราบเลือดและเหยื่อที่ยังไม่ได้ชำระทำความสะอาด ค้นพบว่ากลางภูเขาถึงขั้นยังมีสตรีแช่มช้อยเยี่ยงนี้อยู่ด้วย ย่อมไม่รังเกียจรอยแผลเป็นอันน่าเกลียดสะบักสะบอมเหล่านั้นของนางอยู่แล้ว
“ว้าย!” เสียงร้องแหลมของสตรีเจือเสียงสะอื้นหลายขนัดดังก้องคับฟ้า
ในป่าภูเขาอันมืดมิดแห่งนี้ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ แต่หมู่บ้านเดียวที่อยู่ละแวกใกล้เคียงเกือบทำได้เพียงมองเห็นแสงสว่างอันหรุบหรู่ในระยะไกลนี้ได้ กู้อ้าวเวยยังคงตะบึงม้าอย่างไม่เร่งรีบมุ่งไปเบื้องหน้า ได้ยินเสียงกรีดร้องนั้นกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ และเสียงต่ำช้าหยาบโลนของผู้ชายพวกนั้นก็ดังก้องผสมโรงขึ้นตามมาด้วยเสียงอู้อี้
นางเพิ่งดึงชุดสีดำบนร่างลงพาดไว้บนบ่าอย่างง่ายดาย รอยแผลเป็นที่เคี้ยวคดเหล่านั้นราวกับคำสาปแช่ง ส่วนมือของนางกลับกำหยุนอี้เล่มหนึ่งเอาไว้ เส้นผมถูกมวยขึ้นสูง แต่งกายอยู่คล้ายกับนักรบผู้หนึ่ง คราวนี้จึงห้อม้าตะบึงไปเบื้องหน้า
แสงสว่างพลันจ้าทะลวงตา ซูพ่านเอ๋อที่ถูกนักล่าหลายคนกดทับร่างกายอยู่กระทั่งมองดวงหน้าไม่ชัด มีเพียงผิวขาวเนียนพราวตาและปากแผลบนนั้นที่แสนบาดตายิ่งนัก ดวงตาในช่องว่างตรงนั้นคล้ายจะมองเห็นกู้อ้าวเวย จึงร้องตะโกนลั่นด้วยเสียงดังแหบพร่า “ช่วยข้าด้วย ขอร้องเจ้าล่ะ!”
กู้อ้าวเวยทนไม่ได้ที่จะพูดถึงว่าตนมองเห็นฉากอันขยะแขยงนั่นแล้วภายในใจกลับเกิดความเวทนาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่ในเวลาที่นักล่าหลายคนสังเกตเห็นนางนั้น ก็ได้ยิ้มเย็นพลางพลิกกายลงจากม้า อาศัยกริชในมือกรีดเป็นทางยาวลงบนแผ่นหลังของนักล่าคนนั้น และลากซูพ่านเอ๋อที่เอาแต่กรีดร้องสาปแช่งไม่ได้กระชับอาภรณ์คลุมกายเอาไว้อยู่ด้านหลังของตน
“สาวเลว”
กู้อ้าวเวยโยนยาจินช่วงไปแทบเท้าของนักล่า ก่อนโยนซูพ่านเอ๋อขึ้นม้าโดยไม่เหลียวหลังกลับ
และในขณะที่นายพรานที่อยู่ด้านหลังยังคิดจะตามมาข้างหน้า ฝุ่นควันในแขนเสื้อระเบิดขึ้นเสียงดังปัง เหล่านายพรานพวกนั้นกระทั่งมิทันใส่กางเกง ก็ขว้างดาบยาวหอกยาวพลางกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ปิดหน้าไว้แล้วถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว
“เจ้าจะลองวิ่งหนีไปด้วยตัวเองอีกก็ได้” กู้อ้าวเวยทิ้งคำพูดประโยคนี้อย่างเย็นชาจากนั้นจึงกำเชือกบังเหียนแน่น ซูพ่านเอ๋อที่อยู่ด้านหลังกอดเอวของนางไว้โดยไม่หยุดร่ำไห้ กลับรู้สึกว่าเสื้อผ้าคลุมอยู่บนไหล่…เป็นเสื้อคลุมสีดำที่กู้อ้าวเวยพาดไว้บนบ่าก่อนหน้านี้นั่นเอง
เป็นครั้งแรกที่ซูพ่านเอ๋อรู้สึกว่ากู้อ้าวเวยเป็นเหมือนกับผู้ช่วยชีวิตของนางเอาไว้
นางอิงแนบบนแผ่นหลังของกู้อ้าวเวยอย่างแน่นหนา เสมือนว่านี่คือความหวังสุดท้ายของนาง
กู้อ้าวเวยปิดปากเงียบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่ กระทั่งการแสดงออกนั้นยังมิได้สนใจต่อความโชคร้ายและเหนือความคาดหมายที่ซูพ่านเอ๋อประสบมาเมื่อครู่เลยด้วยซ้ำ
ในขณะที่มาถึงหมู่บ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียง ขอบฟ้าก็เริ่มสว่างไรๆ แล้ว ม้าใต้อาณัติหอบหายใจเล็กน้อย กู้อ้าวเวยนั้นหาโรงเตี๊ยมสักหลังไว้ปักหลัก ตอนที่เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์มองเห็นรอยแผลบนลำคอของนางก็นิ่งงันไปเล็กน้อย จากนั้นจึงปริปากเอ่ยเสียงกระซิบ “แม่นางต้องการให้ผู้น้อยไปซื้อยาจินช่วงกลับมาเสียหน่อยหรือไม่?”
“อาภรณ์สตรีสองชุด และซื้อเสื้อคลุมสีเข้มมาอีกสองตัว เอาอาหารขึ้นมาให้ด้วยส่วนหนึ่ง” กู้อ้าวเวยปิดมุมเสื้อผ้าที่ถูกฉีกทึ้งของซูพ่านเอ๋อเอาไว้ พลางเอ่ยปากกับเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์
แววตาของเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์หม่นลง เพิ่งหมายจะรับเงินไปทำตาม กลับเหลือบเห็นป้ายพกของอ๋องจิ้งหนึ่งชิ้นที่ยังสะอาดสะอ้านอยู่ในมือที่ยื่นเงินมาของกู้อ้าวเวย ทั้งยังกล่าวเสียงเข้ม “ไปแจ้งหยาเหมินละแวกใกล้เคียง ซ่อนร่องรอยของข้าเพื่ออ๋องจิ้ง เจ้าไม่เคยพบข้ามาก่อน”
แววตาของเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์เปลี่ยนไป ยิ้มตาหยีพลางผลักเงินเหล่านั้นกลับคืนไป “พระนางโปรวางใจ อ๋องจิ้งเคยบัญชาไว้เมื่อนานมาแล้ว เมื่อเห็นป้ายพกนี้ ดังพบตัวท่านเอง”
ครั้งนี้กลับถึงคราวที่แววตาของกู้อ้าวเวยเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเพียงแค่หวังจะอาศัยมหาบุคคลน่าเกรงขามผู้นี้เพื่อปกปิดร่องรอยเท่านั้น กลับคิดไม่ถึงว่ามือของซ่านจินจื๋อจะแทรกมาถึงบริเวณนี้เสียแล้ว แต่ว่าเป็นดังนี้แล้ว นางกลับวางใจลงเป็นอักโข พาซูพ่านเอ๋อสาวเท้าฉับๆ ขึ้นไปด้านบน
ส่วนเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์นั้นหันไปทางเถ้าแก่ พลางกล่าวถาม “เสียงลงเบื้องนอกโหมกระหน่ำเยี่ยงนี้ พระนางผู้นี้กลัวว่าคงจะปกป้องไม่อยู่…”
“หากวันหน้าเจ้าไม่อยากถูกอ๋องจิ้งบั่นคอละก็” เถ้าแก่ตวัดตาจ้องเขาปราดหนึ่ง ทำเอาเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์สั่นเทิ้มและวิ่งอุตลุดไม่เหลือเงา ทางฝั่งเถ้าแก่กลับเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปเทียนเหยียน รายงานตามสภาพความเป็นจริง
พระนางผู้นี้ มายังที่แห่งนี้ได้อย่างไรกัน?