บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 832
บทที่ 832 ฟื้นคืนชีพ
โม่ซานในฐานะชาวยุทธ์ นางทำอะไรคล่องตัว ทำงานให้ใครใจกว้างและเด็ดขาด
นางไม่เพียงไปซื้อรถม้ามาหนึ่งคัน ยังยืมชื่อของคนขับรถม้าไปซื้อเสื้อผ้าแบบชาวยุทธ์กับดาบมา บอกว่าจะซื้อกลับไปให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก นางใช้เงินจำนวนมากคนอื่นก็คิดแค่ว่านางเป็นชาวยุทธ์ จากนั้นนางก็ไปซื้อพวกอาหารแห้งอีกจำนวนหนึ่ง แล้วก็ยังซื้อของเล่นที่น่าสนใจอีกจำนวนหนึ่งด้วย
เมื่อกู้อ้าวเวยกับซูพ่านเอ๋อขึ้นรถม้ามา ยังคิดอยู่เลยว่านางอยากจะซื้อของพวกนี้ไปเอาใจศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางจริง ๆ พวกนางชะงักไปครู่หนึ่ง กู้อ้าวเวยยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้านี่ทำอะไรไม่มีช่องโหว่เลยนะ”
“ทำแบบนี้แล้ว ต่อให้มีคนมาถาม ก็จะได้ไม่มีพิรุธ อีกอย่างชาวยุทธ์อย่างข้าก็ต้องใช้วิธีแบบชาวยุทธ์ ตั๋วเงินได้มายังไง ข้าตอบได้ว่ามีคนติดหนี้ข้า ใครจะไปรู้ว่าเขาจะไปขโมยมาจากไหน คำพูดพวกนี้ข้าได้บอกกับคนขับรถม้าแล้วก็เถ้าแก่ร้านแลกเงินไว้แล้วด้วย น่าจะไม่มีใครสงสัยแน่นอน” โม่ซานยิ้มแล้วก็ขึ้นรถม้าไป แล้วพูดว่า “แต่ว่าช่วงนี้ข่าวไม่ค่อยหลุดเลย ที่ด่านลั่วสุ่ยเหมือนว่าจะไม่ค่อยสงบเหมือนกัน”
“มีอะไรหรือเปล่า?” กู้อ้าวเวยรู้สึกแปลกใจ
“เมื่อกี้ข้าได้ยินมาว่า ศาลเจ้าที่ด่านลั่วสุ่ยซ่อมแซมเสร็จแล้ว พวกชาวยุทธ์กับพวกผู้ดีมีตระกูลต่างก็ส่งคนไป คิดอยากจะดูว่าของที่ทำให้เป็นอมตะแก่ไม่ตายมันเป็นยังไงกันแน่ แต่ว่าช่วงนี้กลับเกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้น ……”
โม่ซานยังคิดอยากจะพูดต่อ แต่กลับเห็นคนรถที่ขายรถม้าให้นางก่อนหน้านี้วิ่งหน้าตาตื่นมา นางรีบเงียบลงทันที กู้อ้าวเวยเปิดผ้าม่านรถม้าออก แล้วมองไปที่เขา “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“เมื่อครู่มีแม่นางที่มีรอยสักบนหน้าใบหน้าคนหนึ่ง บอกให้ข้านำตำราเล่มนี้มาให้ท่าน” คนขับรถม้าเกาหัว แล้วโยนตำราเก่า ๆ เล่มหนึ่งให้กับโม่ซาน
โม่ซานหยิบถุงน้ำตาลโยนให้คนขับรถม้าไป “ขอบใจนะ”
คนขับรถม้ารับมายิ้มแล้วเดินไป เหมือนว่าโม่ซานจะไม่ได้สงสัยอะไรเลย
โม่ซานเองก็ไม่กลัวว่าใครจะเห็นเนื้อหาในตำราเลย เพราะในหมู่บ้านประมงคนที่รู้หนังสือมีไม่ถึงสิบคน จะไปรู้ว่าเขียนอะไรได้ยังไง
กู้อ้าวเวยนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้ยู่จือพูดถึงข้อมูล โทษที่นางเอาแต่สั่งกำชับหลายเรื่องจนลืมไป ตอนนี้นางหยิบตำรามา นางพบว่ามันเป็นบันทึกเรื่องราวของตระกูลยู่ แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ในบันทึกมันมีอีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ตระกูลซ่านกับหลิ่งหนานตระกูลหยุนด้วย เรื่องราวตั้งแต่บรรพบุรุษแม้แต่ปีก็มีระบุไว้อย่างละเอียด
โม่ซานเหลือบไปมอง นางบังคับม้าแล้วพูดอย่างแปลกใจว่า “ตระกูลยู่นี่มีที่มายังไงกัน”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูจากสภาพของตระกูลยู่ในตอนนี้ บรรพบุรุษของพวกเขาน่าจะเป็นขุนนางที่ทำหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์ของแคว้นไหนสักแคว้นหนึ่งมานานหลายปี อีกทั้งพวกนางยังมีความสามารถในการทำนายอนาคตได้ด้วย ก็เหมือนที่ตระกูลหยุนศึกษาความเป็นอมตะแก่ไม่ตายให้กับราชวงศ์ตระกูลซ่าน ตระกูลยู่ก็น่าจะเป็นโหรหลวงให้กับฮ่องเต้ของแคว้นเจียงเยี่ยนมาก่อนเหมือนกัน” กู้อ้าวเวยอ่านผ่านตา นางพูดอย่างแปลกใจว่า “ต่อให้เป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลหยุนกับตระกูลซ่านด้วย อีกทั้งยังบันทึกทุกอย่างไว้ละเอียดขนาดนี้อีกล่ะ?”
โม่ซานไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เลยนิ่งอย่างเดียว
ซูพ่านเอ๋อนั่งอยู่ข้าง ๆ ปกติในหัวของนางก็ไม่ค่อยมีอะไรอยู่แล้ว ไม่ต่างอะไรกับคนโง่อยู่แล้ว
กู้อ้าวเวยตอนนี้กลับคิดถึงซ่านจินจื๋อขึ้นมา หากเขาอยู่ที่นี่ด้วย ตอนนี้ไม่แน่ว่าจากคำพูดไม่กี่คำพวกนี้อาจจะสันนิษฐานอะไรออกมาได้บ้าง แต่ในตอนนี้นางทำได้แค่วิเคราะห์มันอย่างละเอียดคนเดียวเท่านั้น
เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว โม่ซานก็ใช้เงินเช่าห้องเก็บฟืนของร้านน้ำชาข้างทางเพื่อพักผ่อน กู้อ้าวเวยถึงได้นิ่งลง แล้วหยิบตำราเล่มนั้นออกมาจากห่อผ้า นางนั่งอยู่บนกองหญ้าแห้งแล้วถามโม่ซานว่า “เรื่องในอดีตของตระกูลหยุนกับตระกูลซ่าน พวกชาวบ้านพูดกันว่ายังไงบ้าง?”
“ก็พูดกันว่าตระกูลหยุนช่วยตระกูลซ่านบุกเบิกแผ่นดิน พื้นที่ของเมืองเทียนเหยียนก็เป็นพื้นที่ที่ตระกูลหยุนเขียนขึ้นมา ทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาก ตายไปก็ยังฝังอยู่ด้วยกัน ทั้งสองตระกูลมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันสืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น แต่ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จนกลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้” โม่ซานเล่าสิ่งที่นางได้ยินมา
ซูพ่านเอ๋อกลับหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ที่เจ้าได้ยินมากับที่ข้าได้ยินมาไม่เหมือนกันเลยนะ อาจารย์กับอาจารย์หญิงเคยบอกว่า ตอนนั้นตระกูลหยุนมีคนรักอยู่แล้ว แต่ถูกตระกูลซ่านเข้ามาแย่งและแยกเอาไป เพื่อขอให้สวรรค์คุ้มครอง”
คำพูดของซูพ่านเอ๋อ มันทำให้กู้อ้าวเวยตะลึงไป นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ซ่านจินจื๋อเองก็รู้เรื่องนี้เหรอ?”
“ท่านพี่จื๋อฟังเรื่องพวกนี้ที่ไหนกันเล่า เขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก ข้าเองก็ไม่เชื่อ” ซูพ่านเอ๋อแบมือออกสองข้าง แล้วก็พูดว่า “อาจารย์หญิงบอกว่า ในยุครุ่นแรกของตระกูลซ่านพวกเขาเป็นโหรหลวงทำนายดวงให้กับราชวงศ์ในตอนนั้น ได้รับโองการจากสวรรค์ให้รุ่นลูกรุ่นหลานไปรอที่หมู่บ้านประมง จนกระทั่งได้นางตระกูลหยุนมาถึง แล้วก็บอกว่านางตระกูลหยุนไม่ใช่คนที่มาจากโลกนี้ แต่มาจากฟ้า”
มาจากฟ้า?
กู้อ้าวเวยหลุดหัวเราะออกมา แสดงว่ารุ่นบรรพบุรุษคงมาจากอีกโลกหนึ่งเหมือนกับนางแน่
แต่พอนึกย้อนกลับไป สิ่งที่ซูพ่านเอ๋อพูดมันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่ามันอาจเป็นเพราะโชคชะตาก็ได้ แล้วบังเอิญว่าบรรพบุรุษของตระกูลซ่านดันทำนายออกมาว่าจะมีคนต่างถิ่นเดินทางมาจากแดนไกลจะมา ดังนั้นเลยสั่งให้คนออกตามหา มันก็เหมือนจะพอเข้าใจได้
“แล้วสองเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันยังไง?” ซูพ่านเอ๋อยิ้มมุมปาก แล้วนั่งขดตัวอยู่ที่มุมห้อง
“ข่าวลือมันก็เชื่อทั้งหมดไม่ได้ บันทึกของตระกูลยู่ ทั้งสองคนไม่ได้ตายอยู่ในที่เดียวกัน ก่อนที่นางตระกูลหยุนจะตายก็หายตัวไป ส่วนฮ่องเต้องค์แรกตอนนั้นก็อยู่ในสุสานหลวง สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือ ความเป็นอมตะต้องใช้ไม้เทวะท่อนหนึ่ง แต่แท้ที่จริงแล้วมันก็คือกระดูกซี่โครงของฮ่องเต้องค์แรก” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบา ๆ นางมองไปที่แสงไฟที่อยู่ตรงหน้า แล้วพูดต่อว่า “ฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงในตัวนางตระกูลหยุนมาก แต่ว่าตระกูลหยุนไม่ยอมเข้าสุสานหลวง ยินดีที่จะอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกหลานต่อไป ยืนยันที่จะไปฝังที่อื่น ก่อนที่จะตาย ฮ่องเต้สั่งให้คนนำกระดูกซี่โครงส่วนหน้าอกออกมา แล้วมอบให้กับนางตระกูลหยุน แล้วฝังทั้งสองคนในวิธีแบบนี้”
“หากไม้เทวะนั่นเป็นกระดูกซี่โครงของฮ่องเต้จริง ถ้าอย่างนั้นการเป็นอมตะแก่แต่ไม่ตายที่ว่า ก็จะต้อง ……” ซูพ่านเอ๋อตาเป็นประกายขึ้นมา หากเป็นอย่างนั้นจริง เมี่ยวหารก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละชีวิตของนางแล้ว
“ไม่เพียงแค่นั้น แต่เพราะพวกเขาสองคนใช้ชีวิตร่วมกันมาเป็นสิบปี ไม่ว่าเลือดหรือลมหายใจแทบจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน หากนำกระดูกวางไว้ในศาลเจ้าจริง บดกระดูกแล้วนำผงไปปรุงเป็นยา อาจทำให้ใครคนหนึ่งในสองคนนั้นเป็นอมตะแก่แต่ไม่ตายก็ได้” กู้อ้าวเวยมองไปที่ซูพ่านเอ๋อ แล้วพูดว่า “ดังนั้นไม้เทวะที่ว่า อาจเป็นกระดูกของของญาติสนิท หรือสายเลือดก็ได้ แต่เพื่อต่อชีวิต ก็จะต้องได้รับมันอยู่ตลอดขาดไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นทั้งสองคนสุดท้ายแล้วก็จะรอดได้แค่คนเดียว หลังจากนั้นร้อยปี ความเป็นอมตะแก่ไม่ตายที่ว่ามันก็จะหายไปเพราะไม่มีสารอาหารหล่อเลี้ยงที่เพียงพอ คนก็จะตายเหมือนเดิม แล้วมันจะเป็นอมตะแก่ไม่ตายได้ยังไงกันล่ะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูพ่านเอ๋อก็ยังไม่เชื่อที่นางพูด “แล้วเจ้าตอนนี้เป็นอะไร?”
“ของมีตำหนิ หากข้าสามารถทำให้ซ่านจินจื๋อหรือไม่ก็อี้จื๋อกินยาได้ แล้วดื่มค่อยเลือดของพวกเขา ตอนนี้ข้าก็คงไม่มีสภาพเหมือนผีแบบนี้หรอก” กู้อ้าวเวยถอดเสื้อคลุมดำออก แล้วมองไปน้ำในโอ่งนางเห็นดวงตาคู่หนึ่ง นางยิ้มแล้วพูดว่า “ตาคู่นี้มันน่ากลัวจริง ๆ”
โม่ซานอดเสียวสันหลังไม่ได้ แล้วมองไปที่นาง “ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มีความสุขขนาดนี้เนี้ย?”
กู้อ้าวเวยหันหลังกลับมา “ยู่จือมอบของมาให้ของข้า แล้วก็ช่วยข้าหายาถอนพิษมาด้วยน่ะสิ”
“อะไรนะ?” โม่ซานเหมือนจะฟังไม่ค่อยเข้าใจ
“ไม้เทวะก็คือกระดูก สายน้ำที่ไหลก็คือเลือด ด่านลั่วสุ่ยมีประตูสองบาน ประตูทางตายกับประตูทางเกิด ประตูทางตายก็คือพิษ ทางออกของประตูทางเกิดก็คือความปลอดภัย ฟังดูแล้วมันก็ไม่เหมือนอมตะแก่ไม่ตาย แต่มันทำให้ฟื้นคืนชีวิตให้กับคนใกล้ตายมากกว่า” กู้อ้าวเวยกระพริบตา สายตาของนางมองไปที่ซูพ่านเอ๋อ “ตอนนั้นฮ่องเต้มอบกระดูกซี่โครงหนึ่งชิ้นให้กับนางตระกูลหยุน อาจเป็นไปได้ว่าหวังว่าจะให้นางได้อาศัยกระดูกนั่น ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ เพื่อต่ออายุไปได้อีกหลายปีก็ได้”