บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 834
บทที่ 834 มีอนาคตที่ดีกว่า
วันต่อมาฟ้ายังไม่ทันสว่าง กู้อ้าวเวยก็ปลุกอีกสองคนให้ตื่น แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ
ในเวลาเดียวกัน องครักษ์ลับเมื่อคืนก็เร่งขี่ม้าเดินทาง พวกเขาก็กลับมาถึงเมืองเทียนเหยียนภายในห้าวันนี้แล้ว อีกทั้งยังต้องท่องจำคำพูดของคุณหนูสามทั้งหมดพูดให้โม่อีฟัง ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับโม่อี คือทุ้งโจว ทหารของค่ายเทียนเหยียน ด้านข้างยังมีฮูหยินอีกคนด้วย
ทั้งสามคนฟังองครักษ์ลับบอกเล่าแล้ว แต่ละคนสีหน้าแตกต่างกันออกไป
ฮูหยินทุ้งโจวยังคิดถึงตอนที่กู้อ้าวเวยช่วยชีวิตของทุ้งโจวเอาไว้ ตอนนี้พอได้ยินแบบนี้ก็ตาแดงก่ำ จากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงแขนเสื้อของทุ้งโจว “คุณหนูกู้ไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายมาก่อน ทำไมจะต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย”
ทุ้งโจวเองก็คิดไม่ตก ตอนนั้นที่ไปติดอยู่ที่บ้านริมน้ำโล่เสีย ความสัมพันธ์ระหว่างกู้อ้าวเวยกับอ๋องจิ้งธรรมดามาก แต่ตอนนั้นนางก็เป็นหมอที่มีน้ำใจช่วยเหลือผู้คนแล้ว เรื่องที่ทำหลังจากนั้นถึงแม้จะไม่รู้สึกผิด แต่มันล้วนแต่เป็นเรื่องดี ……
โม่อีที่อยู่ข้าง ๆ ปวดหัวแล้วก็นวดขมับ “เจ้าไปบอกนางว่า อย่าใช้อารมณ์ความรู้สึกทำงาน”
องครักษ์ลับกลับออกไป ทุ้งโจวกลับขมวดคิ้ว แล้วพูดอย่างจนใจว่า “แต่ว่าสิ่งที่คุณหนูกู้สั่งให้แม่นางกับผู้ชายคนนั้นทำมันไม่เลวเลยนะ ถ้าอย่างนั้น หากหยุนหว่านฮูหยินจากไปแบบนั้น อ๋องจงผิงก็จะไม่มีจุดอ่อนอีก ทางรอดของอ๋องจิ้งก็จะมากขึ้น”
“ปัญหามันอยู่ตรงนี้” โม่อีถอนหายใจ เขาเคาะไปที่โต๊ะ “เพราะนางทำอะไรไม่มีช่องโหว่เลย ฝ่าบาทถึงได้สงสัยในตัวนาง ตอนที่ฝ่าบาทถูกลอบปลงพระชนม์ที่สุสานหลวง ตอนนั้นข้าช่วยชีวิตพระองค์ไว้ถึงได้รับเงินรางวัล แต่ในเวลาเดียวกัน ตลอดเวลาสองปี ฝ่าบาทก็ยังทรงลองใจข้ามาโดยตลอด”
ทุ้งโจวยังเพิ่งเคยได้ยินเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แม้แต่คนซื่อแบบเจ้าก็ยังโดนลองใจ ตอนนี้คุณหนูกู้แสดงออกว่าฉลาดแบบนั้น คิดว่าฝ่าบาทอาจจะลงมือโหดขึ้น”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน พวกเขาต่างถอนหายใจ
น่าเสียดายสองคนนั้นโม่ซานไม่รู้จัก รู้จักแค่ว่ามีคนหนึ่งชื่อว่ายู่หง ทั้งคู่แทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ต่อให้ส่งคนไปขัดขวางสองคนนั้น ห้ามไม่ให้พวกเขาส่งข่าวของกู้อ้าวเวยไป ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
โม่อียังคิดอยากจะไปกำชับเฉิงอีเฉิงเอ้อ แต่ตำหนักอ๋องจิ้งตอนนี้เหมือนตำหนักร้าง เฉิงอีเฉิงเอ้อในฐานะองครักษ์ประจำตัว ก็หายตัวไปไร้ร่องรอย หากบุกฝ่าเข้าไป ด้วยฐานะกับอำนาจของเขาคงถูกตัดรากถอนโคนหมดแน่ แต่ชายหญิงคู่นั้นไม่ใช่คนในราชสำนัก ต่อให้บุกเข้าไปในตำหนักอ๋องจิ้ง ต่อให้ถูกจับได้ ก็ตรวจสอบไม่พบว่ามีใครอยู่เบื้องหลังกันแน่
เมื่อเป็นแบบนี้ พวกเขาลำบากใจทั้งสองทาง จำเป็นต้องปล่อยให้ข่าวของกู้อ้าวเวยถูกส่งเข้าวังไป
หลังจากนิ่งไปนาน ทุ้งโจวฮูหยินก็พูดอย่างแปลกใจว่า “แต่ไม่ว่าจะยังไง ขอแค่อ๋องจิ้งออกมาได้ ทุกอย่างก็จะคลี่คลายได้ง่ายขึ้นใช่ไหม?”
“ฮูหยินมีแผนอะไรอย่างนั้นเหรอ?” ทุ้งโจวรีบหันหน้าไปหา
“มันก็ไม่ใช่แผนหรอกนะ แต่พวกเจ้าสองคนต่างเป็นนักรบ ไม่มีอำนาจในการพูดในราชสำนัก แต่สามารถไปหาคนที่อำนาจพูดอะไรได้นี่นา ข้าจำได้ว่าช่วงก่อน ฝ่าบาทเรียกองค์ชายสามไปเฝ้า ยังถอนคำสั่งกักบริเวณขององค์ชายสามด้วย ถ้ายังไง ……”
พูดไม่ทันจบ บ่าวรับใช้ก็วิ่งมาหน้าตาตื่นเข้ามา “ใต้เท้าทุ้ง ใต้เท้าโม่ มีคนปิดหน้าปิดตาคนหนึ่งบอกว่าเขาเป็นคนของจวนเมิ่งมาขอพบอยู่ที่หน้าจวนขอรับ” พูดจบเขาก็ยื่นป้ายไม้มาให้ จากนั้นก็แอบเหลือบไปมองทุ้งโจว
บนป้ายไม้มีสลักคำว่าเมิ่งซู่ มันเป็นลูกเล่นของพวกบ่าวไพร่ หากมีแขกก็จะยื่นป้ายที่ไม่มีอักษรอะไรมา หากไม่มีใครมาก็ให้ยื่นป้ายที่มีอักษร เพื่อแสดงให้รู้ว่าคนที่มาสำคัญมากแค่ไหน แต่โม่อีกับทุ้งโจวสนิทกันมาก พวกเขาถึงได้ยื่นป้ายที่มีอักษรให้
ทุ้งโจวปัดฝุ่นออกแล้วพูดว่า “ให้เขาเข้ามา”
บ่าวไพร่พยักหน้า แล้วก็ไปนำทางเขาเข้ามา
เมิ่งซู่ถอดผ้าปิดหน้าออก แล้วมองไปที่โม่อีอย่างแปลกใจ จากนั้นก็ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ใต้เท้าทุ้ง”
“วันนี้ที่ใต้เท้าเมิ่งเดินทางมาที่นี่ ไม่ทราบมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” ทุ้งโจวโบกมือให้กับฮูหยินที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อบอกให้นางว่าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ดีกว่า ฮูหยินเลยพยักหน้า ลุกขึ้นถอนสายบัวแล้วออกไป
เมิ่งซู่นั่งลง แล้วพูดว่า “องค์ชายสามเหมือนจะท่าทีไม่ดี ข้าเลยมาหาท่านที่นี่ หวังว่าท่านจะช่วยองค์ชายสามได้”
ระหว่างที่พูด เมิ่งซู่หยิบผ้าขาด ๆ ออกมาผืนหนึ่ง ด้านบนเป็นลายมือของซ่านจินจื๋อ มันเขียนว่า “ช่วยให้องค์ชายสามได้ขึ้นครองราชย์ จะมีอนาคตที่ดีกว่า”
โม่อีกับทุ้งโจวมองหน้ากัน แล้วก็มองไปที่เมิ่งซู่ “ใต้เท้าเมิ่ง นี่ท่าน ……”
“ข้าไม่ได้เป็นขุนนางที่ภักดีต่อใคร แต่เป็นขุนนางที่ภักดีต่อชาติบ้านเมือง” เมิ่งซู่ยิ้ม อยู่ในราชสำนักมานานหลายปี เขาไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้เขาสุขุมรอบคอบทำงานเก่ง การต้องการเผชิญหน้ากับคนสองคนที่พบกันครั้งแรก เขาก็ยอมเสี่ยงเดิมพันด้วย เขาเอ่ยปากว่า “สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการจะทำมันเป็นเพราะความต้องการส่วนตัวของพระองค์เอง หลายเรื่องข้าก็ไม่อาจจะพูดให้ฟังได้ แต่องค์ชายสามเป็นหมากที่สำคัญตัวหนึ่งของท่านอ๋องจิ้ง”
“ข้อมูลพวกนี้เจ้าได้มายังไง” โม่อีขมวดคิ้ว
“เรื่องที่ฝ่าบาททรงประชวรหนัก เรื่องที่พระสนมเสียนเฟยบาดเจ็บ รวมถึงความรุ่งเรืองของตงฟางฮองเฮา มีข้ากับฝ่าบาทเป็นคนดำเนินการทั้งหมด น่าเสียดายที่ข้าตื่นรู้ตัวช้าไป คิดว่าฝ่าบาททำทุกอย่างเพื่อปูพื้นให้กับอนาคตของฮ่องเต้องค์ต่อไป คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะกลายมาเป็นดาบในมือของฝ่าบาท” พูดถึงตรงนี้ เมิ่งซู่ก็หัวเราะแห้ง
โม่อีกับทุ้งโจวเหมือนจะพอเข้าใจความหมายของเขาแล้ว
ดังนั้นเรื่องของฝ่าบาทเลยถูกปกปิดมาตลอด เมิ่งซู่กับเหล่าขุนนางเหมือนจะเป็นคนคอยปกปิดมัน ส่วนอีกด้านก็มีหลายคนที่ร้องเรียนตระกูลตงฟางอยู่เรื่อย ๆ พวกเขาคิดว่าตงฟางฮองเฮาเพิ่งได้รับการแต่งตั้ง ตระกูลของนางก็พยายามผลักดัน ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ประชวรระดมกำลังทหาร เพื่อชิงบัลลังก์
ถ้าอย่างนั้น ตระกูลตงฟางก็เหมือนแพะรับบาป เพื่อปกปิดสายตาคนอื่น เพื่อให้ขุนนางไม่ไปสนใจในสิ่งที่ฮ่องเต้จะทำ ทำให้อ๋องจิ้งกับอ๋องจงผิงถูกกักอยู่ในวังหลวง ขุนนางส่วนน้อยก็ไม่รู้จะพูดยังไง ทำได้แค่ถวายฎีการ้องเรียนเพื่อกดดันตระกูลตงฟางก่อนเท่านั้น
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ……
“ถ้าอย่างนั้น หากต่อไปตระกูลตงฟางจะกบฏจริง ฝ่าบาทตายไป ฮ่องเต้ใหม่ขึ้นครองราชย์ มันก็สมเหตุสมผล” โม่อีกำลังพูดแบบนี้ ก็เห็นทุ้งโจวทำสีหน้าท่าทางไม่เห็นด้วย “มีใครที่จะยอมยกบัลลังก์ฮ่องเต้ให้คนอื่นกันล่ะ?”
เมิ่งซู่หน้านิ่งลง ส่ายหน้า “เดิมข้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่น่าเสียดาย ต่างคนก็ต่างอุดมการณ์ บนโลกใบนี้ไม่มีองค์ชายคนไหนที่เกิดมาแล้วก็เป็นฮ่องเต้เลย แต่เพราะแต่ละคนมีความคิดไม่แตกต่างมากกว่า”
หลังพูดจบ บ่าวไพร่วิ่งเข้ามาบอกว่ามีคนจับตาอยู่ใกล้ ๆ
เมิ่งซู่เลยไม่พูดอะไรอีก แล้วรีบจากไป
โม่อีกับทุ้งโจวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าปัญหามันเกิดมาจากตัวของฮ่องเต้ แต่ทำไมต้องตามล่าตัวกู้อ้าวเวยด้วย ในเวลาเดียวกันนี้ ทางยู่จือกับยู่หงก็ส่งข่าวเสร็จแล้ว กำลังออกจากตำหนักอ๋องจิ้ง
เฉิงอีเฉิงเอ้อได้ตัดสินใจจะนำข่าวนี้ไปแจ้งในวัง อีกทั้งยังนำของขององค์หญิงเอ่อตานไปด้ว