บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 839
บทที่ 839 มีความคิดอย่างอื่น
นางเหลือบไปมองซูพ่านเอ๋อที่อยู่ในห้อง
โม่ซานเป็นชาวยุทธไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในราชสำนักมากนัก แต่ก็รู้ว่าตัวเลือกของกู้อ้าวเวยนั้นมันเสี่ยงมาก โดยเฉพาะในสภาพที่ร่างกายไม่ปกติแบบนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
กู้อ้าวเวยกลับพูดตรง ๆ “ตอนที่ข้ายังเล็กมีคนวางยาพิษหนอนแมลงไว้ในตัวข้า เมื่อกี้ตอนที่พิษกำเริบเหมือนมันจะกลืนยาพิษหนอนแมลงนั่นไปด้วย ตอนนี้ความทรงจำพวกนั้นมันกลับมาแล้ว ข้านึกเรื่องราวกลับมาเยอะมาก ตอนนี้วิธีถอนพิษอยู่ใกล้แค่เอื้อม เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้เท่านั้น”
“ฟังไม่เข้าใจ พูดภาษาคนได้ไหม” โม่ซานอดไม่ได้เคาะดาบบนโต๊ะ “พี่ชายให้ข้ามาดูแลเจ้า หากเจ้าคิดอะไรแปลก ๆ ออกมา ต่อให้ข้าต้องมัดเจ้ากลับไปข้าก็จะทำ”
กู้อ้าวเวยตกใจมาก นางรู้สึกใจสั่นเพราะโม่ซาน เขากุมขมับ นางเอาหนังสือออกมา แล้วหยิบแผ่นกระดาษให้กับโม่ซาน แล้วพูดว่า “ต่อให้ศาลเจ้าสร้างเสร็จแล้ว ก็ไม่มีประตูทางเกิดประตูทางตายหรอก มีแต่จะเพิ่มคนบาดเจ็บล้มตายมากกว่า และนี่มันก็คือเครื่องพิสูจน์ได้ว่ามันไม่ใช่วิธีการทำให้เป็นอมตะได้ แต่มันเป็นวิธีการรักษาชีวิตคนมากกว่า แล้วก็เป็นวิธีการถอนพิษในร่างกายที่เป็นการตายแล้วเกิดใหม่ด้วย”
โม่ซานมองไปที่นางด้วยสายตาแปลกใจ นางฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่ตัวเดียว นางยกมือแล้วชี้ไปที่ประโยคสุดท้าย
“พบที่ประตูทางเกิด ตายที่ประตูทางตาย ตระกูลหยุนคือพิษ ตระกูลยู่คือยา แก้ไขปัญหาทั้งสองทาง ทุกอย่างสิ้นสุด”
กู้อ้าวเวยมองไปอย่างจนใจ “หากความทรงจำของข้ายังอยุ่ น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว พิษหลิงตังของตระกูลหยุนมันคือการทดลองพิษ มันเลยมีอักษรสลักคำว่าหยุนอยู่ ส่วนตระกูลยู่กับตระกูลหยุนมีต้นตระกูลเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันก็จะเหมือนกัน เจ้ายังจำได้ไหมชายหญิงที่เราเคยเจอก่อนหน้านี้ ผู้หญิงที่มีรอยบนหน้า?”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ โม่ซานก็นึกถึงยู่จือขึ้นมาได้ “เหมือนใบหน้าของนางจะเหมือนถูกสลักลงไป”
“วิชาการถอนพิษมันอยู่รอยสักนั่น หากข้าสามารถไขมันออกได้ ก็เท่ากับได้ถอนพิษของตัวเองไปด้วย ส่วนตระกูลยู่ก็สามารถถอนรอยสักนั้นออกไปได้ หลังจากนั้นต่อไป วิธีการเป็นอมตะแก่ไม่ตายก็จะไม่มีใครรู้อีก เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็จะหายสาบสูญไป ไม่มีเบาะแสอะไรอีกเลย” กู้อ้าวเวยพูดออกมาแบบงง ๆ
การเป็นอมตะสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการกินยาพิษเข้าไป อีกทั้งยังต้องกินยาพิษของตระกูลหยุน
หากต้องการถอนพิษ ก็ต้องอาศัยสมุนไพรกับประตูทางเกิดทางตายของศาลเจ้าเปลี่ยนถ่ายเลือด ก็จะต้องไขความลับบนรอยสักของตระกูลยู่ เพื่อหาสูตรยาถอนพิษ ยาถอนพิษกับยาพิษ เริ่มกับจบ ต่างถูกสลักอยู่ในร่างกายของตระกูลยู่กับตระกูลหยุน
หากของทั้งสองอย่างนี้มันถูกลบไปจากร่างกายของทั้งสองคน ต่อให้มีบันทึก แต่ก็จะไม่มีใครรู้ว่าสูตรยาถอนพิษอยู่ในตัวของตระกูลยู่ ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็คงเหลือแค่ความตายอย่างเดียว ก็จะไม่ต่างจากนางที่เป็นเหมือนศพเดินได้
โม่ซานเบะปาก “พูดตามตรง หากความหมายของเจ้าทั้งหมดก็คือทางแก้มันอยู่บนตัวของคนรุ่นหลัง อีกทั้งยังใช้วิธีการสลักเพื่อสืบทอดต่อกันมา ข้าคิดว่า ต่อให้พวกเจ้ารักษามันเอาไว้ ก็คงไม่มีใครเข้าใจ”
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า จะตัดสินแบบนั้นได้ยังไงกัน?” กู้อ้าวเวยเอามือจับไปที่หน้าแล้วมองไปที่นาง “รอให้ยู่จือเอาต้นหญ้าเช่ออี้จื่อมาก่อน ข้าจะลองไปดูที่ศาลเจ้าที่ด่านลั่วสุ่ยดู หากสร้างประตูทางเกิดประตูทางตายขึ้นมาจริง ก็หมายความว่าฝ่าบาทรู้เคล็ดลับนี้ หากไม่ได้สร้าง ก็หมายความว่าฝ่าบาทยังไม่รู้เรื่องนี้ แสดงว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องการเป็นอมตะ”
“ฝ่าบาทจะทรงทราบไหม มันแตกต่างกันยังไง?” โม่ซานอดถามไม่ได้
“หากรู้ งั้นก็แสดงว่านางตระกูลหยุนที่รักของเขาในตอนนั้นบอกให้เขาได้รู้ ส่วนเขาก็ไม่ได้คิดถึงแต่เรื่องนี้ แต่ก็จับตามองมาตลอด ไม่แน่ว่า ฝ่าบาทอาจจะทรงคิดอะไรอย่างอื่นอยู่ หากข้ารู้ว่าเขาคิดอะไร ก็จะเจอจุดอ่อนของเขา ก็จะแก้ปัญหาถูกจุด” กู้อ้าวเวยยิ้ม เหมือนในใจจะมีความคิดอย่างอื่นอยู่
ศพของแม่ของนางถูกฝังอยู่บนเขาหยินซาน ผู้หญิงคนอื่นของตระกูลหยุนก็เหมือนจะฝังอยู่ใกล้ ๆ เขาหยินซาน หากฝ่าบาททรงโปรดนางตระกูลหยุนจริง ๆ จะเก็บศพของนางเอาไว้หรือเปล่า หากพบว่าวิธีการทำให้เป็นอมตะมันเป็นการตายแล้วเกิดใหม่ในรูปแบบหนึ่ง จะมีการเคลื่อนไหวไหม
นางคิดแบบนี้ นางรินน้ำชาให้ตัวเองแก้วหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินโม่ซานเปิดปากขึ้นมาว่า “หรือว่า ฝ่าบาทเชื่อว่าจะทำให้คนตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้เหรอ?”
“เชื่อหรือไม่เชื่อ ไปดูที่ด่านลั่วสุ่ยก็จะรู้แล้ว” กู้อ้าวเวยมีแผนการอย่างอื่นอยู่ คนที่นี่ไม่รู้เรื่องความพิเศษของประตู พวกเขาเข้าใจเรื่องของประตูทางเป็นทางตาย ก็คือความแตกต่างระหว่างทางรอดกับทางตายเท่านั้น
ทายาทของตระกูลหยุนก็เข้าใจกันแบบนั้น ถึงแม้จะเป็นเพราะการถ่ายทอดที่ผิดพลาดสืบต่อกันมาของบรรพบุรุษ แต่ข้อความของตระกูลยู่มีพูดถึงเรื่องของประตูทางเป็นทางตาย เหมือนเป็นอย่างนั้น พวกเขาจะเข้าใจผิดความหมายกับประโยชน์ของสองคำนี้ อีกทั้งฮ่องเต้ก็ไม่ใช่ทายาทของตระกูลหยุนด้วย หากรู้เรื่องประตูทางเป็นประตูทางตายจริง ก็น่าจะเป็นเพราะเข้าใจผิด
“หากประตูทางเป็นสามารถทำให้คนตายฟื้นคืนได้ ถ้าอย่างนั้นประตูทางตายมันมีไว้ทำอะไร? หรือว่ามีไว้เปลี่ยนชะตาชีวิตของคนเหรอ?” โม่ซานเกาไปที่หัวเหมือนกัน
กู้อ้าวเวยหัวเราะเบา ๆ “ฝ่าบาทอาจจะคิดเหมือนเจ้าก็ได้ หากเขาเข้าใจความหมายเป็นอย่างนั้นจริง ก็หมายความว่า เขาหวังว่าคนรักของเขาจะตายแล้วฟื้น ส่วนเขาเพราะน้องชายกลับมาช้าไปก้าวหนึ่งทำให้เขาได้สืบทอดบัลลังก์ และเจ็บปวดเพราะสูญเสียคนที่รักไป”
เพราะพูดถึงประโยคสุดท้าย กู้อ้าวเวยชี้ที่หน้าอกของตัวเอง
โม่ซานรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังอดทนมองไปที่ดวงตาจากนาง “เมื่อไปถึงด่านลั่วสุ่ย เจ้าก็น่าจะถอนพิษก่อน”
“หญ้าเช่ออี้จื่อชะลอฤทธิ์ของพิษได้ ข้ายังมีเวลาอีกหลายเดือน อีกอย่างข้ายังต้องไปที่เย่นเจียงด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีฐานะทูตของเย่นเจียงคุ้มตัวก่อน ข้าถึงจะเข้าวังไปได้ และเข้าเมืองเทียนเหยียนได้อย่างเป็นทางการได้” กู้อ้าวเวยดื่มชาไปหนึ่งคำ แล้วมองไปที่โม่ซาน “หลายวันที่ผ่านมาขอบใจเจ้ามากนะ ต่อไปรบกวนด้วย”
“ไม่เป็นไร พี่ใหญ่บอกว่าเจ้าหาเงินเก่งมาก” โม่ซานยิ้มแล้วลูบไปที่ดาบ “ข้ากำลังอยากเปลี่ยนดาบราคาประมาณพันตำลึงเลย”
กู้อ้าวเวยเบะปาก จากนั้นก็หัวเราะ
นางคิดว่า หากนางเกิดอยู่ในยุทธภพก็คงดี เพียงแต่ในหัวของนางตอนนี้กลับมีหน้าของซ่านจินจื๋อโผล่ขึ้นมา นางอดไม่ได้ยิ้มมุมปากขึ้นมา จากนั้นก็ลูบไปที่ขอบแก้ว “ทางข้าเหมือนจะมีเบาะแสบางอย่าง แต่ข้ากลัวว่าเขาจะหลงไปกับสถานการณ์มากกว่า” โม่ซานมองไปที่ดวงตาที่มีความรักเต็มเปี่ยม นางนิ่งไปแล้วพูดว่า “เจ้าชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ? ข้าได้ยินพี่ใหญ่บอกว่า แต่ก่อนเขาทำตัวแย่กับเจ้ามาก อีกทั้งยังนิสัยไม่ดีด้วย ตัวติดกับคนที่ชอบมากด้วย”
“ก็น่ารักดี ไม่ใช่เหรอ?” กู้อ้าวเวยกระพริบตาตา นางคิดถึงเรื่องที่ซ่านจินจื๋อชอบตัวติดกับนาง อีกทั้งยังชอบโอบเอวนางบ่อย ๆ แค่สัมผัสเบา ๆ ก็ทำให้หัวใจของพวกเขาพองโต
ซ่านจินจื๋อยังไปจัดการเรื่องที่ปกติไม่ทำเพื่อนางด้วย อีกทั้งบางครั้งยังตั้งใจทำจนกู้อ้าวเวยรู้สึกผิด
โม่ซานเห็นหน้าของนางมีแต่รอยยิ้ม เลยลูบไปที่แขนของนาง แล้วพูดว่า “ข้าไปซื้อยาให้เจ้าดีกว่า” ผู้หญิงที่มีสามีแล้วแตกต่างจริง ๆ