บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 846
บทที่ 846 คลื่นเหียน
ได้รับความช่วยเหลือจากยู่จือ กู้อ้าวเวยก็ไม่รอช้าอีกต่อไปแล้ว หากแต่พกป้ายบัญชาการของอ๋องจิ้งและโม่อีเอาไว้ ออกไปจากด่านได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคตลอดทางโดยไม่หยุดพักม้า
ในรถม้าอันคับแคบมีแม่นางสี่คนนั่งอยู่ ยู่หงยิ่งไม่ถูกโรคกับกู้อ้าวเวย ก่อนหน้านี้ก็ทะเลาะกับยู่จือใหญ่โตด้วยเรื่องการร่วมมือของทั้งสองคน แต่น่าเสียดายยู่จือนั้นมิใช่พวกใจดีเป็นเจ้าเรือนอะไรอยู่แล้ว จึงวางหนอนแมลงใส่ยู่หง ขังเขาเอาไว้ในห้องบ่นปอดแปดหนึ่งวันเต็ม ยู่หงหมดอารมณ์อย่างสิ้นเชิง เวลานี้จึงเร่งบังคับรถด้วยใบหน้ายู่ยี่
โม่ซานกอดดาบนั่งอยู่ด้านนอก กู้อ้าวเวยที่อยู่ตรงข้ามก็มิได้ถือตำราเอาไว้ ในอ้อมอกกอดหมอนใบหนึ่ง ขดตัวอย่างรันทดหดหู่ เส้นเลือดบนหลังมือเต้นกระตุก มีเพียงยัยไง่หงปรี่เข้าไปลูบหลังให้นางด้วยความปวดใจ “จากนี้ไปข้าจะไม่เป็นสาวใช้ให้นายน้อยอีกแล้ว จะเป็นสาวใช้ให้คุณหนูคนเดียว ปรนนิบัติท่านทุกเมื่อเชื่อวัน จะไม่ให้ท่านต้องพิษเป็นอันขาดแล้ว”
ยู่จือที่ถูกต้อนไปอยู่ในมุมอับกลอกตาเต็มแรง กู้อ้าวเวยเจ็บจนทนไม่ไหว ยังอดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ ก่อนเคลื่อนไปทางมุมอับ “พวกนี้ข้าล้วนเป็นคนเลือกมันเอง โทษผู้อื่นไม่ได้”
ตอนนั้นหากนางไม่แกล้งตาย พิษนี้ก็คงหลอกหลอนนางไม่ได้
ความดื้อรั้นไม่ฟังเหตุผลเพียงครั้งเดียวของทั้งชีวิตนี้ กลับขุดหลุมขนาดใหญ่ให้นางเยี่ยงนี้เชียว
คิดดูแล้ว นางยังรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าสมน้ำหน้านัก
ยัยไง่หงบุ้ยปาก เจียนร้องไห้ออกมา “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราทำอะไรอยู่ หนีเอาตัวรอดหรือ?”
ยู่จือกลอกตามองบนจนแทบถึงฟากฟ้าอยู่แล้ว โม่ซานเองก็มอง ‘เด็กสาว’ ที่อายุยี่สิบกว่าปีตรงหน้าด้วยสีหน้าจนคำพูด ยู่หงที่อยู่ด้านนอกม่านรถชักเริ่มทนฟังต่อไปไม่ไหว “ตอนนี้ไปเย่นเจียงมีประโยชน์อะไร ท่านคิดจะร้องขอความเมตตาจากกู่เซิง ไว้ชีวิตตระกูลยู่หรือ?”
“หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้องค์ก่อนให้ความสำคัญกับพวกเราตระกูลยู่ ตอนนี้ก็คงไม่ถูกลากออกไปบังคมดาบหรอก” ยู่จือตะโกนออกมาจากมุมอับ มองชายเสื้อของยู่หงผ่านม่านรถ แล้วกล่าวอีกว่า “ตระกูลยู่ของข้าไม่เคยทำเรื่องสร้างความเสียหายใหญ่โตอะไร”
“ครรภ์วิตถารก็เป็นประเด็นหนึ่ง วางพิษหนอนแมลงก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง” ยู่หงกล่าวอย่างเย็นชา
เห็นว่าทั้งสองกำลังจะมีปากเสียงกันอีกครั้ง โม่ซานรีบร้อนขวางทั้งสองเอาไว้ ถามกู้อ้าวเวยว่า “ถ้าหากท่านอยากรู้ชัดเต็มสองหู ก็รีบพูดเร็วเข้า!”
“เวลานี้เย่นเจียงยังคงอยู่ในความโกลาหลภายใน ส่งคณะทูตไปเชื่อมสัมพันธ์กับชางหลานเอ่อตานใช่ว่าจะไม่ใคร่ควรเลย กอปรกับตระกูลยู่เคยเป็นราชครูของเจียงเยี่ยน วันหน้าอาศัยนามของขุนนางราชทูต ส่งข้ากับยู่จือเข้าไปในเมืองเทียนเหยียน ทำทีว่าเป็นของกำนัล…”
กู้อ้าวเวยกอดหมอนเอาไว้ ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินประโยคเย็นยะเยือกของยู่หงดังลอยมา “แบบนี้มันดีจริงๆ นั่นแหละ แต่ถ้าหากเข้าวังหลวงแล้ว ยังออกมาได้อยู่อีกหรือ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าใบหน้าดวงนี้ของท่าน…”
“ขอเพียงข้าปลอมตัวก็ไม่มีใครจำข้าได้แล้ว อีกอย่างตระกูลยู่เป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือธรรมดา สามารถทำนายบัญชาสวรรค์ได้ ซ่านต้วนโฉงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ต้องการ มีแต่เข้าไปในวังหลวงเท่านั้น ข้าจึงสามารถเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นสถานที่แดนไกลห่างจากฮ่องเต้แห่งนี้ ข้าจะช่วยซ่านจินจื๋อได้สักกี่เสี้ยวกัน?” กู้อ้าวเวยเองก็เจ็บปวดมากเช่นกัน แม้แต่ฮ่องเต้ยังเรียกขานชื่อแซ่เปล่าๆ
ยู่หงยังอยากพูดอะไรบางอย่าง ฝั่งยู่จือกลับปริปากอย่างเนิบนาบ “ที่ท่านพูดนั้นถูกต้อง อีกอย่างหากเย่นเจียงคิดเชื่อมสัมพันธ์กับชางหลานย่อมไม่อาจขาดตกเอ่อตานไปได้ ฝั่งนี้ก็ส่งท่านเข้าไปอย่างตั้งตาตั้งตารอ ฝั่งเอ่อตานก็ค่อยส่งข้าตระกูลยู่เข้าไปอย่างผ่าเผย รอจนกว่าเรื่องของชางหลานคลี่คลาย ตระกูลหยุนตระกูลยู่ต่างหวนสู่เอ่อตานทั้งสิ้น สามแคว้นเชื่อมสัมพันธ์กันก็เป็นอันเสร็จสิ้นบริบูรณ์”
กู้อ้าวเวยกอดหมอนเอาไว้ ในสมองยังสับสนอยู่เล็กน้อย “ข้าไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน”
“แต่ข้าคิดแบบนี้ ในเมื่อจะทำภารกิจ ก็ต้องทำให้ดี ข้าแขยงพวกครึ่งๆ กลางๆ อย่างท่านมากที่สุด” ยู่จือกล่าวพลางรู้สึกฮึดฮัดขึ้นมา ดีที่โม่ซานเอาดาบพาดขวางนางเอาไว้
“หลายๆ แคว้นเจรจาร่วมกันแบบท่าน ไม่กลัวตกลงไปในท่อน้ำทิ้งในอนาคตหรอกหรือ?”
“มีอะไรน่ากลัวกัน การเจรจาเหล่านี้ล้วนเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ข้าช่วยเย่นเจียงคลี่คลายปัญหาที่ซุกซ่อนของตระกูลยู่ ซ้ำยังช่วยเขาล้างพิษอีกด้วย ดูๆ แล้วแบบนี้…กู่เซิงยังต้องขอบคุณที่ข้ามียาถอนพิษอยู่ในมือด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นการต้องพิษถุงน้ำดีหงส์เข้าไป เขาก็คงเป็นฮ่องเต้ได้เพียงสองปีเท่านั้น ไม่มีเขาในอนาคต เย่นเจียงต้องโกลาหลอีกแน่” ในใจของกู้อ้าวเวยไม่ได้มีความละอายเลยแม้แต่น้อย
และในที่สุดตอนนี้โม่ซานก็เข้าใจแล้ว…อะไรที่เรียกว่าแนวโน้มวิวัฒนาการทั่วไป
ถึงแม้กู้อ้าวเวยมักจะเป็นคนที่ร้องขอผู้อื่นคนนั้นเสมอ แต่ในความเป็นจริง กลับเป็นคนพวกนั้นต่างหากที่คิดยืมมือของนางเพื่อให้ได้มาซึ่งอะไรบางอย่าง พูดอย่างน่าฟังก็คือเป็นผู้ทำหน้าที่สื่อกลางระหว่างกองกำลังหลายแห่ง พูดอย่างไม่น่าฟังคือเป็นปลาไหลโคลน เจาะรูไปในโคลน ท่านก็หานางไม่พบแล้ว แต่ผ่านไปสักระยะหนึ่งนางยังต้องปรากฏกายขึ้น ทำให้ท่านทั้งโกรธทั้งหัวเสีย แต่กลับจับเอาไว้ไม่ได้อีก
เมื่อรู้จุดมุ่งหมายของการไปแล้ว ไม่กี่คนล้วนปราศจากข้อขัดข้องตลอดทาง
ยัยไง่หงกลับยังจำได้ว่าต้องติดต่อกับในเมืองเทียนเหยียน ก่อนหน้าที่ใกล้ถึงเย่นเจียงก็ได้รับนกพิราบส่งสาร ค่อยๆ แวบมาเอ่ยปากอยู่ข้างกายของกู้อ้าวเวย “คุณหนู ข้าวของในจวนของท่านล้วนถูกคนในวังขนไปหมดแล้ว เจิ้งฉิงคุนก็พบกู้จี้เหยาแล้วด้วย”
“จวนไหน?” กู้อ้าวเวยฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังมีเรือนเล็กๆ อีกหลังหนึ่ง
“จวนและร้านยาเหย้าในตำหนักอ๋องจิ้ง ข้าวของอะไรล้วนถูกเอาไปหมด” ยัยไง่หงรีบร้อนยัดจดหมายฉบับนั้นใส่เข้าไปในอ้อมอกของกู้อ้าวเวย กล่าวอีกว่า “อ๋องจิ้งยังเผด็จการอยู่จริงๆ ด้วย นายน้อยของข้าตีเสมอเขาไม่ได้เลยจริงๆ สินะ”
กู้อ้าวเวยไม่เข้าใจหนักไปใหญ่ พอคลี่อ่าน กลับหน้าแดงซ่าน ขยำกระดาษเต็มแรงจ้องยัยไง่หงปราดหนึ่ง “เมิ่งซู่ปีกกล้าขาแข็งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ซ้ำยังติดต่อกับในวังได้ด้วย?”
“นี่เป็นถึงวิธีทางของอ๋องจิ้งเอง ไม่ได้เกี่ยวกับนายน้อยของข้าสักนิด” ยัยไง่หงมองนางพลางหัวเราะร่วน “ใครบอกให้อ๋องจิ้งหน้าตายกันเล่า แบบนี้ไม่ใช่ว่าน่ารักออกหรือ?”
“เหตุใดจึงบอกว่าผู้ชายน่ารักได้กัน ยัยเด็กเน่า” กู้อ้าวเวยหัวเราะพลางตบกระหม่อมของนางเบาๆ
ยัยไง่หงยิ้มตาหยีแล้ววิ่งไปนั่งลงอยู่ข้างกายโม่ซาน ถามนางว่าในยุทธภพมีเรื่องสนุกอะไรบ้าง ส่วนกู้อ้าวเวยกลับอ่านไม่กี่ประโยคบนกระดาษอย่างจนปัญญา ครั้งหนึ่งยังสงสัยว่านี่หาใช่ซ่านจินจื๋อเป็นคนเขียนไม่ แต่น่าเสียดายที่ลายมือนี้ไม่มีทางหลอกลวงคนได้เลย
“หากเจ้าไม่ตอบจดหมาย ก็รอข้าตรอมใจตายเพื่อเจ้าเสียเถิด”
“ข้าเจอกระดาษแผ่นหนึ่งเข้าให้แล้ว บนนั้นเขียนชื่อข้าเต็มไปหมด ทำไมปากเจ้าถึงไม่ตรงกับใจขนาดนี้”
“เตร็ดเตร่พอแล้วอย่าลืมกลับมาหาลูกชาย เตาอุ่นขนาดใหญ่ก็เตรียมไว้เสร็จสรรพแล้ว รอแค่เจ้าแวะเวียนมา”
ประโยคนี้ยิ่งเขียนก็ยิ่งมิบังควร แต่ดีที่ยัยไง่หงอ่านจบแล้วยังส่งให้นางโดยไม่หน้าแดงซ่านใจเต้นรัว แต่ว่าในนี้ยังมีหลายประโยคที่เหมาะควรอยู่ กำชับกำชานางให้ระวังด้วย ทางที่ดีให้กลับไปไม่ต้องกังวลใจเรื่องพวกนี้ เพียงแต่ประโยคนี้น้ำเสียงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินไป
และสุดท้าย ซ่านจินจื๋อก็ได้บอกเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ยินจากทางหวางกงกงให้ฟังทุกเรื่อง ยังบอกอีกว่าตนจะไปคลี่คลายเรื่องดังกล่าว กู้อ้าวเวยทำเพียงเบ้ปาก อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “ผู้ชายที่ชวนปวดหัวคนนี้ ยังไม่เผด็จการเหมือนตอนที่หยิ่งยโสในปีนั้นเลย”
ขณะเดียวกันในเมืองเทียนเหยียน
บนเรียวขาของซ่านจินจื๋อยังวางหมอนยาที่กู้อ้าวเวยส่งกลับมาให้ ด้านหลังมีชายชุดดำสองคนยืนอยู่ รอจนกว่าซ่านจินจื๋ออ่านจดหมายที่ส่งมาจากเจิ้งฉิงคุนจบทุกฉบับแล้ว มุมปากพลันกระตุกขึ้น “ไปบอกหยวนเอ๋อ ครั้งต่อไปอย่าสอนคำพูดชวนคลื่นเหียนพวกนี้ให้ข้าอีก เวยเอ๋อคงคิดว่าข้าถูกมารอสูรสิงร่างไปแล้วกระมัง”
ชายชุดดำหนึ่งในนั้นพลันอันตรธานหายไปในบัดดล
ส่วนซ่านเชียนหยวนที่อยู่ในตำหนักอีกแห่งหลังจากได้ยินข่าวก็ตบต้นขาระเบิดหัวเราะขึ้นมา “ท่านอาถึงกับทำขายหน้าแล้ว! ข้าเขียนดีขนาดนั้นแท้ๆ นี่เป็นถึงท่าไม้ตายที่ฉีหลินสอนให้ข้าเชียว”
ฉีหรัวที่อยู่ข้างๆ อดกลอกตาเต็มแรงหนึ่งทีไม่ได้ ก่อนมองเขา “ข้าว่าแล้วเชียวอ๋องจิ้งเขียนวรรคตอนที่ชวนอ้วกพวกนั้นออกมาได้อย่างไร