บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 848
บทที่ 848 พี่น้อง
ทูตของเอ่อตานไม่ควรจะหยุดพักอยู่ที่นี่
กู้อ้าวเวยไม่ได้ลังเลอีก จัดการเข้าขวางรถม้าทั้งขบวนเอาไว้
เมื่อเห็นว่าคนที่ยกม่านรถเลิกขึ้นเป็นใคร กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าเลือดทั้งกายแข็งตัว ดึงหมวกปีกลงมาเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ กดนวดข้อมืออย่างไม่สบายใจ
“ทำไม?” คนผู้นั้นเอ่ยปากถามแบบขอไปที
“สายตาไม่ค่อยดี รบกวนแล้ว” ทิ้งประโยคนี้ไว้ กู้อ้าวเวยดึงหมวกปีกแล้วเดินออกไปเล็กน้อย หลีกทางให้ แล้วจ้องปลายรองเท้าของตนอย่างกังวลใจ หัวใจเต้นระส่ำรุนแรง
คนขับรถม้าผู้นั้นสั่งสอนนางหลายประโยค ขณะที่กำลังจะออกไป กู้อ้าวเวยกลับได้ยินเสียงคนผู้นั้นลงมาจากรถม้า ยู่จือและยู่หงพารถม้าเข้ามาแล้ว นางครุ่นคิด กุมท้องหมุนกายออกไป ข้อมือกลับถูกคนผู้นั้นคว้าหมับ ในปากยังบ่นพึมพำ “มีปัญญาหนี แต่ไม่มีปัญญาทิ้งเชือกแดงที่เขาให้ท่านไว้หรือ?”
ไม่ไกลนัก ยู่จือและยู่หงก็พลอยหยุดฝีก้าวเช่นเดียวกัน ทอดมองจากไกลๆ ดูเหมือนจะเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรบางอย่าง
กู้อ้าวเวยดึงหมวกปีกเอาไว้อย่างแน่นหนา “ข้าก็แค่…”
“ใครบอกว่าตัวเองตายแล้ว ยังมอบตำแหน่งองค์หญิงน่าปวดหัวอะไรนั่นให้ฉีหรัวอีก ตอนนี้ถูกข้าพบเข้าอยู่ที่เย่นเจียง ถ้าหากท่านให้รัชทายาทกับฝ่าบาทมาพบเข้า ก็รอไปปรนนิบัติอย่างดีอยู่ในห้องบรรทมของท่านเสียเถิด” เสียงคนผู้นั้นช่างแสนชั่วร้าย ทว่าสายตากลับโปรยตกไปบนหมวกปีกและแขนเสื้อกว้าง ปั้นหน้าขรึมแล้วยกคนขึ้นแบกเดินไปในป่าเขาด้านข้าง และพูดกับทูตคนอื่นๆ ไปพลางว่า “พักผ่อนหย่อนกายก่อน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อ”
“พวกเราประวิงเวลามาไม่น้อยตลอดทางแล้ว…”
“เร่งทันแน่” คนผู้นั้นปริปากเสียงเย็นชา
กู้อ้าวเวยก็แสนว่าง่ายอย่างยากพบเห็น มือสองข้างดึงหมวกปีก และถูกเขานำตัวไปโดยไม่ขัดขืน ยู่จือกับยู่หงสบตากันปราดหนึ่ง ต่างรู้สึกว่าช่างน่าลึกลับ ยู่หงก็ไม่ใคร่สะดวกตรงดิ่งเข้าไปไถ่ถาม ได้แต่พายู่จือขึ้นบนต้นไม้ คอยตามโดยไม่ทิ้งระยะห่างมากนัก
ส่วนกุ่ยเม่ยก็ไม่ได้ดึงนางเข้ามา แต่มือข้างหนึ่งคว้าที่เอวของนางไว้ พลางกล่าวว่า “มีชายหนึ่งหญิงหนึ่งตามมาทางด้านหลัง เป็นคนที่ท่านรู้จัก?”
“นับว่าใช่กระมัง” กู้อ้าวเวยยังคงกอดหมวกเอาไว้ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นเด็ดขาด
เปลือกตาของกุ่ยเม่ยพลอยกระตุกขึ้นมาตาม ช่วงฟ้าสางตอนอยู่ที่เอ่อตานเขารู้ข่าวเข้านั้นรู้สึกโกรธมากเพียงใด พลอยให้ฉูหลี่และฉูห้าวโกรธจนทุบโต๊ะ เขายังก้าวไปข้างหน้าเพื่อขัดขวาง ตอนนี้มองเห็นกู้อ้าวเวยมีท่าทีปกปิดอย่างระวัง ทั้งยังเห็นรอยแผลแปลกประหลาดบนข้อมือของนาง ในใจจึงยิ่งโกรธกรุ่น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถลงมือได้
ได้รับการตอบสนอง เขาก็วางตัวนางนั่งลงข้างๆ ลำต้นไม้อย่างสบายใจ กู้อ้าวเวยยังคงขดตัว แทบรอไม่ไหวอยากมุดหน้าลงดิน ในใจกุ่ยเม่ยยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ “เง้างอด?”
“เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ตีฝีปากด้วยซ้ำ” ในใจกู้อ้าวเวยก็โกรธเช่นกัน
อยู่ดีไม่ว่าดีดันพบกุ่ยเม่ยเข้า เมื่อคิดถึงว่าใบหน้าดวงนี้ของตนถูกผู้อื่นมองเห็นเข้า ก็แทบทนไม่ไหวอยากโขกหัวจนตัวตาย เผลอๆ กุ่ยเม่ยอาจจะมองนางอย่างเป็นห่วง แล้วหอบนางกลับเอ่อตานเสียเลย
ถูกประโยคนี้ของนางทำให้โกรธจนหัวเราะ กุ่ยเม่ยยกมือขึ้นตบหัวนางเบาๆ “ท่านอย่าคิดสลัดข้าเสีย สวรรค์รู้ว่าท่านพ่อและน้องชายของท่านพอดาลโทสะขึ้นมาน่ากลัวแค่ไหน หากไม่ใช่ว่าข้าวิ่งไว พ่อท่านเกือบจะฟันแม้กระทั่งข้าแล้วเชียว บอกว่าเมื่อก่อนข้าตามใจท่าน จนท่านมีนิสัยเอาแต่ใจแก้ไม่หายแล้ว”
กู้อ้าวเวยนิ่งเงียบ ปลายจมูกแสบร้อนขึ้นเล็กน้อย “เดิมทีข้าก็ดื้อรั้นมากอยู่แล้ว”
“ถ้าท่านมีปัญญาก็ไปบอกพ่อท่านนู่น” กุ่ยเม่ยตบนางต่อไป ยังถามอีกว่า “ครั้งนี้ข้ามาที่เย่นเจียง ก็เพื่อเชื่อมสัมพันธ์เย่นเจียงกับเอ่อตาน ในเมื่อท่านแกล้งตายโร่มาถึงที่นี่ ก็น่าจะคิดมุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือกับกู่เซิง?”
“ข้าคิดจะยืมนามของทูตเย่นเจียงกลับเทียนเหยียนอีกครั้ง ข้าไม่เชื่อว่าซ่านต้วนโฉงจะปล่อยท่านแม่ข้าไปง่ายดายแบบนี้ และยิ่งไม่เชื่อว่าเขาจะปล่อยข้าไปด้วย” กู้อ้าวเวยปริปากเสียงต่ำ “อีกอย่างเรื่องที่เขาคิดจะทำไม่ได้เรื่องดีอะไร ข้าต้องไปขัดขวางเขา”
“ท่านต้องแส่หาเรื่องให้ได้เลย? หนีไปจากที่นี่ โยนมรสุมพวกนั้นให้ท่านอ๋องเป็นคนจัดการไม่ได้หรือ?” ในใจกุ่ยเม่ยข่มกลั้นลมหายใจหนึ่งเฮือกเอาไว้
“เรื่องอะไรไม่ให้ข้าแส่หาเรื่อง เขาเป็นพ่อของลูกข้า หากเจ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขา ข้าก็ต้องช่วยชีวิตเจ้าเหมือนกัน” กู้อ้าวเวยเองก็สวนคืนกลับไป และกล่าวอย่างรำคาญใจอีกว่า “ในตอนแรกเจ้ายังไปอยู่แนวหน้าเพื่อให้ข้ากังวลใจด้วยใช่หรือไม่ ถ้าเปรียบความดื้อรั้น เราสองคนก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก!”
“ดื้อดึง!”
“รอวันหน้าเจ้ามีแม่นางที่ชื่นชอบแล้ว ก็ต้องบุกน้ำลุยไฟเหมือนกันนั่นแหละ ฉูห้าวให้เจ้าเป็นข้าราชสำนักแบบไม่เต็มเวลา สอนเจ้าหลายสิ่ง อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะแปรพักตร์แล้ว ยังพูดว่าฟังความข้าทั้งหมดอะไรกัน ข้าเชื่อเจ้าสิน่าแปลก!” กู้อ้าวเวยเอ่ยปากพรั่งพรู ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ
กุ่ยเม่ยที่ทั้งนิ่งเงียบและฟังคำก่อนหน้านี้ล้วนถูกพรากไปแล้ว!
กุ่ยเม่ยรับฟังจนเริ่มมีน้ำโห ดึงตัวนางกลับมาอีกครั้ง “เช่นนั้นก็เดินทางไปด้วยกัน ข้าจะปกป้องท่านเอง ไม่เช่นนั้นท่านเกิดเรื่องอะไรอีก หัวข้าคงร่วงลงมาจริงๆ แน่”
“เจ้าไม่ขวางข้า?” กู้อ้าวเวยอึ้งงันเล็กน้อย
“ขวางท่านทำไมกัน ถ้าหากท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ข้าก็จะกอดโถเถ้ากระดูกของท่านไปที่หน้าหลุมศพของชิงต้าย บอกว่าชั่วชีวิตนี้ของท่านไม่เคยมียางอายเลย ที่ใดมีอันตรายก็ตรงดิ่งไปที่นั่น ไม่ทันได้บรรลุข้อตกลงที่บอกจะเดินทางไปรอบโลก นั่นก็เพราะท่านมาด่วนตาย ต่อไปท่านก็โขกศีรษะขอโทษนาง ชั่วชีวิตนี้ท่านจะเป็นสาวใช้เป็นวัวเป็นม้าให้แก่นาง” กุ่ยเม่ยสั่งสอนนางกระปอดกระแปด
กู้อ้าวเวยกลั้นลมหายใจหนึ่งเฮือกอยู่ในอก ไม่มีทางโต้แย้งได้เลย
กุ่ยเม่ยพูดน้ำไหลไฟดับขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย หมวกปีกก็ถูกดึงออกโดยไม่ทันตั้งตัว นางยังคิดจะปกปิดใบหน้าเอาไว้ กุ่ยเม่ยกลับชิงดึงแขนทั้งสองข้างของนางเอาไว้ก่อนหนึ่งก้าว มองพวงแก้มของนางอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนรู้สึกถึงการสั่นระริกเบาๆ ของกู้อ้าวเวย เขาจึงสวมหมวกปึกให้นางอีกครั้งอย่างใจเย็น “ถอนพิษได้หรือไม่?”
“…ได้” กู้อ้าวเวยคว้าหมวกปีกเอาไว้ด้วยจิตใจระส่ำระสาย ก้มหน้างุด
“อายุยืนร้อยปีได้หรือไม่?”
“ทำนองนั้น…” กู้อ้าวเวยเริ่มหมดความมั่นใจขึ้นทุกที กลัวเหลือเกินว่าจะทำให้กุ่ยเม่ยเป็นห่วง
นางเคยชินจัดการเรื่องราวต่างๆ เพียงลำพังเสียแล้ว ความเป็นห่วงของผู้อื่นกลับกลายเป็นภาระของนาง ทำให้นางอดที่จะหลีกหนีไม่ได้…หลีกหนีจากสายตาเป็นห่วงพวกนั้นไปให้ไกล
กุ่ยเม่ยพูดอะไรสักอย่างขึ้นมาจริงๆ ทว่าท่านอ๋องเคยบอกเขา กู้อ้าวเวยแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนไหนๆ คนที่ดูผิวเผินเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด ทว่าก็อาจจะถอนตัวด้วยเรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่ง…ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนกันทั้งนั้น
“ท่านจะต้องกลับไปช่วยท่านอ๋องที่เทียนเหยียนให้ได้?”
“ใช่” ตอบคำถามครั้งนี้ กู้อ้าวเวยกลับมิได้มีความลังเลเลยแม้เพียงครึ่งเสี้ยว “เขาคือคนที่ข้าเลือก ถ้าหากข้าไม่ปกป้องเขา เมื่อถึงคราวเดินสู่จุดจบ ก็ไม่มีใครปกป้องเขาแล้ว”
ใบหน้าของกุ่ยเม่ยเจือความจนปัญญาหลายขนัด ก่อนนั่งขัดสมาธิอยู่ต่อหน้าของกู้อ้าวเวย “ผู้ชายปกป้องผู้หญิงถึงจะเป็นความถูกต้องเที่ยงธรรม ท่านกำลังตีโพยตีพายอะไรอยู่?”
“ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ ปกป้องคนที่รัก ไยต้องแบ่งแยกหญิงชาย ตอนที่เขาลำบากข้าจะไม่ถอยหนีเด็ดขาด วันหน้าข้าลำบาก เขาก็จะปกป้องข้า ข้าไม่กลัว” กู้อ้าวเวยหดขาเล็กน้อย รู้สึกได้ว่ากุ่ยเม่ยที่อยู่ต่อหน้าไม่ยอมเอ่ยคำเลย ในใจก็รัวกลองรบขึ้นมา
กุ่ยเม่ยคงจะไม่พานางกลับเอ่อตานจริงๆ หรอกกระมัง…
“ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน กอปรกับชีวิตนี้ ข้ายังติดหนี้ท่านอ๋องอยู่” กุ่ยเม่ยยกมือขึ้นดึงนางขึ้นมาเบาๆ และกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “อีกอย่าง ท่านก็ต้องเรียกข้าว่าพี่ชายด้วย”
“อะไร!?” กู้อ้าวเวยร้องเสียงหลง
“อายุที่บอกท่านก่อนหน้านี้นั้นไม่เป็นความจริง จากนั้น ข้าสอนวิทยายุทธ์ให้น้องชายท่าน พ่อท่านนึกอยากให้ข้ากลายเป็นมือขวาของน้องชายท่านในอนาคต ดังนั้นจึงรับข้าเป็นลูกชายด้วย” กุ่ยเม่ยหัวเราะขึ้นมา “ดังนั้น ตอนนี้ข้ามีเหตุผลจะคอยมองน้องสาวและน้องเขยของข้า”
กู้อ้าวเวยเบิกตากว้าง จากนั้นเดินตามฝีเท้าของกุ่ยเม่ยหลายก้าว แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างระแวดระวังอีกครั้ง “ไม่เป็นห่วงข้าแล้ว?”
“ท่านบอกเองแล้ว ว่าถอนพิษได้ และมีอายุยืนถึงร้อยปีได้ ข้าไยต้องสนท่านให้ทรมานด้วย เรื่องใส่ใจสั่งสอนท่านเหลือไว้ให้ท่านอ๋องดีกว่ากระมัง” กุ่ยเม่ยหัวเราะ โน้มกายลงมาดื้อๆ แล้วตบหลังแปะๆ “ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้ว ขาไม่ดีก็อย่าฝืน”
“ซ่านจินจื๋อจะหึงเอานะ” กู้อ้าวเวยก็ยังปีนขึ้นไปอยู่ดี
“ใครใช้ให้เขาไม่ดูแลน้องสาวข้าให้ดีเล่า สมควร!”
กู้อ้าวเวยฟุบลงบนหลังของเขาแล้วหัวเราะไม่หยุด