บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 849
บทที่ 849 รักแรกพบ
นำคนไปส่งบนรถม้าโดยตรง กุ่ยเม่ยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเกี่ยวกับใบหน้าของนาง ทำเพียงเกณฑ์คนไปซื้องอบโปร่งกลับมา มองเสื้อโปร่งสีทองบนไหล่ของนางอย่างประหลาดปราดหนึ่ง รู้สึกว่าคุ้นตา แต่กลับพูดไม่ออก
กู้อ้าวเวยฟุบอยู่ในรถม้ากวักมือให้ยู่จือและยู่หง ยู่หงส่งยู่จือไปรออยู่ในรถม้าของตัวเอง แล้วออกไป เตรียมจะไปเรียกเด็กสาวอีกสองคนกลับมา คราวนี้กู้อ้าวเวยจึงวางใจมาอยู่ในรถม้า กุ่ยเม่ยมองสำรวจนางทั้งหน้าหลัง “กินเร็วยังไม่มีเนื้อมีหนังอีก”
“เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว” นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่กุ่ยเม่ยคนก่อนจะพูดเลยสักนิด
“ต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้ว ตอนนี้ข้ายังมีเรื่องมากมายต้องทำ โกลาหลวุ่นวายเสียยิ่งกว่าปีนั้นที่ตามท่านไปวิ่งจ้าละหวั่นอยู่ในป่าเขามากทีเดียว” กุ่ยเม่ยเองก็จนปัญญา คิดไม่ถึงว่าตลอดการเดินทางนี้นางไม่สงบนิ่งเลย
กู้อ้าวเวยเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ยื่นใบสั่งยาของตนเข้าไป กุ่ยเม่ยไม่ได้ไปด้วยตัวเอง ทำเพียงสั่งการให้คนไปเอามา อีกด้าน ทั้งสองต่างก็แลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ให้กันฟัง
ไม่พูดแผนเดิมของกู้อ้าวเวย การมาครั้งนี้ของกุ่ยเม่ย คิดจะทำข้อตกลงกับเย่นเจียง เอ่อตานมีผืนดินอุดมสมบูรณ์ ถึงแม้มีช่างฝีไม้ลายมือ แต่ทางด้านการตีรูปและการถลุงนั้นยังขาดกำลังคนมีฝีมืออยู่ แม้กระทั่งฝีมือสิ่งทอก็ยังเทียบกับอีกสองแคว้นใหญ่ไม่ได้ แต่เก่งด้านวิทยายุทธ์ ดังนั้นจึงคิดจะร่วมมือกับสองแคว้น ทำกิจการบางอย่าง เงื่อนไขเบื้องต้นก็คือสองแคว้นต้องมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
หลังจากได้ยินถ้อยคำของกู้อ้าวเวย กุ่ยเม่ยก็ยังพยักหน้า “วิธีนี้ของท่านดูเหมือนจะไม่เลว แต่ครั้งนี้ข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ต่อให้พวกเขาต้องลองเสี่ยงว่าตัวตนของท่านจะถูกเปิดโปง ก็ต้องส่งท่านไปอย่างแน่นอน”
“แต่ถ้าเจ้ากลับไปเทียนเหยียนกับข้า แล้วจะอธิบายกับทางท่านพ่อกับฉูห้าวอย่างไร?”
“ย่อมมีคนส่งจดหมายให้อยู่แล้ว อีกอย่างก่อนหน้านี้ท่านช่วยองค์ชายสามคิดวิธีไม่น้อย องค์รัชทายาทยังตั้งหน้าตั้งตาให้ท่านกลับไปช่วยเหลือเขาโดยเร็ววันอยู่ และชิงจือยังชักชวนให้พี่น้องตระกูลจูมาสอนวิทยายุทธ์ให้เขา จูเซชื่นชอบชิงจือกับอี้จื๋อเป็นพิเศษ แล้วก็มีคนในดวงใจแล้วด้วย นั่นก็คือนักวิชาการคนนั้นที่จูเย่นไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง…” กุ่ยเม่ยหัวเราะพลางเอ่ยถึงเรื่องสนุกๆ ที่เอ่อตาน ลามไปถึงเรื่องที่ชิงจือฝึกวิทยายุทธ์หามรุ่งหามค่ำ ไหนจะเรื่องสนุกๆ ตอนที่อี้จื๋อยังเล็กๆ ก็พูดจนหมด กู้อ้าวเวยก็รับฟังอย่างอิ่มเอมใจ
รอกระทั่งคนสี่คนอยู่ข้างนอกรวมตัวกันแล้ว โม่ซานสะพายดาบไว้ที่หลัง รู้สึกไม่เข้าใจ “ผู้ชายอะไร? นางไม่ได้บอกว่าจะไม่เปลี่ยนผู้ชายหรอกหรือ?”
“ข่าวซุบซิบมีประโยชน์อะไร จับ…ไม่ใช่ ต้องดูถึงรู้ว่าเป็นใคร” ยัยไง่หงยกชายกระโปรงวิ่งรุดหน้ามาอย่างกุลีกุจอ ถูกทูตเอ่อตานขวางเอาไว้ก็ไม่ยอมหยุด ทำเพียงชะโงกหน้าแล้วกล่าวเสียงพึมพำ “คุณหนูของข้าให้กำเนิดบุตรตั้งสองคนแล้ว พวกเจ้าจะปล้นชิงหญิงชาวบ้านไม่ได้นะ”
กู้อ้าวเวยที่อยู่ในรถม้าเกือบพ่นน้ำออกมา
คนที่อยู่รอบๆ ต่างทยอยมองสำรวจ พลางชี้ชักพยักหน้า
กุ่ยเม่ยได้แต่ยกม่านขึ้น สบสายตากับยัยไง่หงหนึ่งที ทั้งสองต่างตกตะลึง ยัยไง่หงโดดผลุงขึ้นมาด้านบน กุ่ยเม่ยยังดึงนางเอาไว้ ในปากก็บ่นพึมพำ “เด็กคนนี้เหตุใดนับวันถึงซุกซนทุกที”
“ที่แท้ไม่ใช่ผู้ชายป่าเถื่อน ข้าตกใจแทบแย่” ยัยไง่หงหัวเราะ แล้วไปจัดแจงข้าวของที่วางระเกะระกะในรถม้าให้เข้าที่เป็นระเบียบด้วยความเคยชิน กล่าวอีกว่า “พวกเราจะเดินทางด้วยกันหรือ?”
“อืม” กู้อ้าวเวยพยักหน้า ค่อนข้างจนปัญญา “เจ้านั่งตรงนี้หรือว่านั่งคันหลัง?”
“นั่งคันหลังนั่นดีกว่า ดูแล้วแม่นางยู่เป็นพวกมีเล่ห์เหลี่ยม ต้องคอยปรนนิบัติพัดวีให้ดี” จัดข้าวของเสร็จสรรพแล้ว ก็โจนออกไปข้างนอก “แต่ว่าคันหลังรถม้ามันเล็กไปหน่อย ข้าให้คุณหนูโม่ซานมาดีกว่า นางสะพายดาบ ที่นี่กว้างขวางกว่าหน่อย”
กู้อ้าวเวยพยักหน้า อย่างไรเสียยัยไง่หงก็รู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองดี ให้นางไปอธิบายก็พลอยวางใจ
โม่ซานปีนขึ้นบนรถม้าอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เห็นว่าพื้นที่กว้างขวาง จึงเอาดาบวางลงข้างลำตัว แล้วมองกู้อ้าวเวย “คนอื่นมีศิษย์เต็มบ้านเต็มเมือง นี่ท่านมีดอกรักเต็มบ้านเต็มเมือง ทั้งในและนอกชางหลานกินเรียบแล้ว?”
กู้อ้าวเวยสำลักน้ำจนได้ กุ่ยเม่ยตบหลังนางเบาๆ แล้วมองสำรวจแม่นางเบื้องหน้าเล็กน้อย มีความแตกต่างจากสตรีสวมชุดกระโปรงที่เขาเห็นในทุกๆ วันเล็กน้อย แต่มีความคล้ายคลึงกับอ้ายจืออยู่หลายส่วน ช่วงหว่างคิ้วเจือแววองอาจ โดยเฉพาะดาบเล่มนั้นที่วางอยู่ ถึงแม้จะถูกห่อด้วยผ้า แต่อาศัยแค่ความรู้สึก ก็รับรู้ได้ว่านี่หาใช่ของธรรมดาทั่วไปไม่
“นี่คือน้องซานของใต้เท่าโม่อี ส่วนนี่คือ…”
“พี่ชาย” กุ่ยเม่ยรีบร้อนออกปาก ไม่รอกู้อ้าวเวยมองเข้ามาด้วยสายตาประหลาด เขาได้มองไปทางดาบเล่มนั้นในมือโม่ซานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กล่าวว่า “นางค่อนข้างน่าปวดหัว รบกวนท่านแล้ว”
กู้อ้าวเวยแทบจะสูดหายใจติดขัด ทั้งที่นางช่วยเหลือคนมากมายแท้ๆ ไฉนพออยู่ในปากกุ่ยเม่ยถึงกลายเป็นตัวปัญหาเสียได้ คิดถึงตรงนี้ ภายในอกก็พลันปวดแปลบขึ้นมาอีกครั้ง ก้มหน้างุด โม่ซานขมวดคิ้วมุ่น เอาขวดยายื่นเข้าไปให้ ใบหน้าเจือรอยยิ้ม “ปวดกระมัง สมน้ำหน้า”
กุ่ยเม่ยกลับยกมือขึ้นรับขวดยาเอาไว้ เปิดแล้วนำมาจ่อที่เรียวปากของกู้อ้าวเวย ถามว่า “ตลอดการเดินทางต้องเร่งกีบม้า เจ้ายังไหวหรือไม่?”
โม่ซานชักมือกลับอย่างอักอ่วน เกาแก้มรู้สึกค่อนข้างละอายใจ มิอาจล้อเลียนเสียดสีต่อหน้าพี่ชายผู้อื่นได้ทุกกรณีนี่นา แต่ว่าดูเหมือนเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ
โม่ซานมองสำรวจกุ่ยเม่ยอย่างละเอียดเล็กน้อย บนมือมีตุ่มพุพอง กำลังภายในเต็มเปี่ยมยิ่งยวด รูปร่างใต้อาภรณ์จักต้องล่ำสันที่สุดเป็นแน่ สวมใส่ชุดข้าราชสำนักของเอ่อตานอยู่บนตัว และเป็นเนื้อผ้าอย่างดีของผู้ฝึกวิทยายุทธ์ เสริมให้ตัวบุคคลยิ่งดูผึ่งผาย แต่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่น่าใช่พวกในรั้วในวังแบบเต็มฝีจักร กลับมีความเคยชินของคนในยุทธภพซุกซ่อนอยู่ในภายใน ตัวอย่างเช่นมือข้างหนึ่งลดระดับลงเล็กน้อย เป็นเพราะสะดวกต่อการถอดดาบได้ตลอดเวลา หัวไหล่กลับเรียบตรงและมั่นคง กายส่วนล่างจักต้องมั่นคงเป็นแน่
รับรู้ถึงสายตาของโม่ซานแล้ว กุ่ยเม่ยก็ยังไม่ใส่ใจมากนัก กำชับคนให้มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงของเย่นเจียง
รถม้าเริ่มเคลื่อนช้าๆ กู้อ้าวเวยขดตัวงีบหลับอยู่ในมุมอับทั้งอย่างนั้น
ฝั่งโม่ซานและกุ่ยเม่ยเปิดเผยข้อมูลกัน จากนั้นทั้งสองยังคุยกันค่อนข้างถูกคอ โม่ซานนั้นยิ่งชื่นชอบอยู่ร่วมกับนักวรยุทธ์ แต่ยู่หงถึงแม้จะเรียนวิทยายุทธ์แต่กลับมีนิสัยไม่ดี ตอนนี้ได้พบกุ่ยเม่ย จึงพูดคุยกันอยู่หลายประโยค กุ่ยเม่ยยิ้มตอบ “คนยุทธภพนั่นช่างอิสรเสรี ดีจริงเชียว”
“เข้ารั้ววังแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหาร ไม่ดีกว่าหรือ?” โม่ซานยังย้อนถาม
“บางคนชอบความมั่งคั่งรุ่งเรือง บางคนก็ชอบความอิสรเสรี ข้ากลับไม่มีสิ่งที่ชอบเป็นพิเศษ ถึงได้ทำหน้าที่ส่วนนี้ ก็ถือว่าเป็นจุดที่ได้พบกับผู้มีตำแหน่งสูง” กล่าวพลาง เขายังมองกู้อ้าวเวยปราดหนึ่ง วางงอบผ้าโปร่งไว้ด้านข้าง เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำว่า “ร่างกายนางเป็นอย่างไรกันแน่?”
“สถานการณ์ไม่สู้ดี ได้ยินว่าตาคู่นั้นก่อนหน้านี้ใช้วิธีบางอย่างถึงได้กลับมามองเห็นอีกครั้ง ปัจจุบันดูเหมือนพิษนี้จะแว้งกัดเข้าให้แล้ว” โม่ซานส่ายหน้า แล้วกล่าวว่า “ถ้าหากเป็นพี่ชายข้า ต้องไม่ปล่อยให้ข้าเอาตัวเข้าเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ปล่อยให้ข้าตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ แต่ท่านไม่เหมือนกัน”
“ก่อนหน้านี้ข้าเป็นองครักษ์ลับในตำหนักอ๋องจิ้ง” กุ่ยเม่ยอดกล่าวประโยคนี้ไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยอย่างจนปัญญา “นางถือเป็นแค่น้องสาวบุญธรรมของข้า เอาแต่ทำให้ข้ากังวลใจทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนนี้ข้าปลดแอกแล้ว นางยังคงอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ไม่ได้ออกมา”
“เช่นนั้นท่านจะไม่ขวางหรือ?” โม่ซานเลิกคิ้ว ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
“ยืมคำนางมาพูด นั่นคือเจ้ายังไม่ทันได้พบคนที่ควรค่าแก่การมอบความไว้วางใจไปตลอดชีวิต เมื่อครั้นพบแล้ว ชั่วชีวิตนี้ของเจ้าก็จะหลงเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น” ดวงตาคู่นั้นของกุ่ยเม่ยโปรยตกลงบนร่างของโม่ซาน ปลายตาเจือรอยยิ้มที่ยากจะรับรู้ได้ แล้วพูดพ่นคำที่สามนั้นออกมา “ครึ่งชีวิตของข้าจะต้องติดแหง็กอยู่กับเจ้าเสียแล้ว”
โดยไม่มีเหตุผล โม่ซานรู้สึกว่าถูกจ้องเสียจนเริ่มไม่เป็นธรรมชาติ