บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 850
บทที่ 850 เลือดมนุษย์จุ้ยเวี่ยน
บังคับรถเข้าสู่เมืองหลวงเย่นเจียงอย่างเนิบนาบ เวลานี้อีกไม่กี่วันก็เข้าสู่หน้าหนาวแล้ว ลมหนาวของเย่นเจียงนั้นขมุกขมัว เมืองหลวงที่รบราฆ่าฟันกันนั้นว่างเปล่าขาวโพลน กลัวว่าคงต้องรอให้พ้นปีอีกหลายวันกว่าจะครึกครื้นขึ้นกว่านี้
ในรถม้าเพิ่มคบเพลิงกระจกกับเตาทำความร้อน กระดาษหนาๆ หนึ่งพับล้วนเป็นร่องรอยของถ่านไม้ซึ่งสะดวกกว่ามากเมื่อเทียบกับหมึกพู่กัน
วันเวลาส่วนใหญ่ กู้อ้าวเวยนั้นจะห่อตัวด้วยขนมิงค์กอดหมอนผ้าฝ้ายขดตัวอยู่ในรถม้า จรดปลายพู่กันเขียนไม่หยุด พักบ้างเป็นครั้งคราวส่วนใหญ่ล้วนถามไถ่ความลับในตระกูลยู่ และให้ยู่จือเขียนหนังสือของยาพิษหนอนแมลงฉบับเล็กๆ เพื่อใช้อ้างอิง นับว่าเริ่มมีความคืบหน้าบ้างแล้ว
ตลอดทางโม่ซานกลับมองเห็นทิวทัศน์เย่นเจียงไม่น้อย และขับรถม้าเป็นเพื่อนกุ่ยเม่ยเอาดื้อๆ เลี่ยงมิให้ทูตเหล่านั้นมองเห็นลักษณะอันค่อนข้างน่ากลัวของกู้อ้าวเวยในตอนนี้
แกว่งขาสองข้างเบาๆ โม่ซานหันหน้าเข้าหาเมืองหลวงแสนหดหู่ก็อดบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้ “ชำรุดทรุดโทรมรอการบูรณะช่างยากเย็นเหลือเกิน นับประสาอะไรที่มีทาสตั้งเท่าไรยังไม่เคยเงยหน้าสู้ฟ้าเลย”
“คงต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกระมัง แต่ว่ามนุษย์จากรุ่นสู่รุ่นทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ คงนับวันก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดี” กุ่ยเม่ยดึงเชือกบังเหียน อ้อมตามทูตไม่กี่คนเบื้องหน้าไปถึงได้เหลือบเห็นโรงเตี๊ยมของเย่นเจียง
กุ่ยเม่ยเหลือบมองอาคารหลังเล็กสองชั้นปราดหนึ่ง เอ่ยปากกับโม่ซานว่า “โรงเตี๊ยมนี้เมื่อก่อนเป็นสำนักศึกษาเอกชนที่เปิดโดยตระกูลร่ำรวย ชายชราอายุมากรับลูกบุตรธรรมเอาไว้ยี่สิบกว่าคน คอยอบรมสั่งสอนทุกเมื่อเชื่อวัน ตอนนี้สามารถเลี่ยงไฟสงครามในฐานะที่เป็นโรงเตี๊ยมได้ นับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์แล้ว”
“ท่านเป็นคนเย่นเจียง?”
“ข้าเกิดที่ชางหลาน เพียงแต่ติดตามนางเป็นเวลายาวนานเหลือเกิน นานวันไปก็ชื่นชอบอ่านพงศาวดารท้องถิ่นพวกนี้อยู่เหมือนกัน” กล่าวถึงตรงนี้ เขากลับเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา เกาศีรษะ “ถ้าหากเจ้าชอบเดินเล่นละก็ จากนี้ไปข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมเอ่อตานก็ได้นะ คนท้องถิ่นที่นั่นค่อนข้างเป็นกันเอง คนที่เรียนวิทยายุทธ์ก็มีมากเช่นกัน”
กู้อ้าวเวยที่อยู่ในม่านรถสายตาวาววับขึ้นมา ก่อนหัวเราะเบาๆ หนึ่งที
โม่ซานก็ยังพยักหน้าอย่างไม่ใคร่ไยดีนัก จากนั้นจึงหันหน้าไปถามกู้อ้าวเวยที่อยู่ในม่านรถ “หัวเราะอะไร?”
“หาความคืบหน้าพบหนึ่งอย่างแล้ว ยังขาดวัสดุยาบางส่วน หน้าหนาวหาได้ค่อนข้างยาก” กู้อ้าวเวยยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาให้กุ่ยเม่ย ถือโอกาสโผล่หน้าออกมาด้วย ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “ตาชักเริ่มจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ช่วยข้าหาหมอที่ฝีมือฝังเข็มดีๆ สักคนด้วย”
อึ้งงันเล็กน้อย กุ่ยเม่ยขยำกระดาษในมือจนยับยู่ยี่ หมุนกายไปบีบหน้าของนางเอาไว้ มองดูดวงตาคู่นั้นมันแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ อีกอย่างสีของรูม่านตาก็กำลังจืดจางลง สายตายะเยือก “ตาไม่ดียังเขียนหนังสืออีก”
“เพื่อถอนพิษก็ช่วยไม่ได้ ข้าไม่เข้าวังเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว” กู้อ้าวเวยรีบถอยกลับไปทันที
กุ่ยเม่ยค่อนข้างโกรธ โม่ซานที่อยู่ข้างๆ กลับตบไหล่เขา “อย่าหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับปากกับท่านแล้วหรือ เรื่องท่านหมอกับวัสดุยานี้มอบให้ข้าก็พอ”
ได้แต่ยื่นใบรายการส่งไปให้ ไม่กี่คนมาถึงด้านในโรงเตี๊ยม กลับมองเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาสองคนกำลังยืนอยู่หน้าประตู กุ่ยเม่ยไม่ได้ตกใจที่เหตุใดอ้ายจือถึงมาอยู่ที่นี่ อย่างไรเสียฮ่องเต้เอ่อตานก็ทรงบัญชาลงมาด้วยองค์เอง ให้อ้ายจือมาตรวจสอบเรื่องที่ตระกูลอ้ายทำลงไปทั้งหมดในปีนั้น ส่วนล่ายเสวียนที่อยู่อีกฝั่งยังคงปั้นหน้าเย็นชาตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งสองดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกโรคกัน
ตอนที่กู้อ้าวเวยยกม่านรถขึ้นก็ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะ
ถ้าหากอ้ายจืออยู่ที่นี่ บางทีอาจจะมีประโยชน์ต่อเรื่องที่พวกนางจะถอนพิษอยู่ก็ได้
แต่ตอนที่อ้ายจือมองเห็นยู่จือกระโดดลงมาก็ปั้นหน้าเย็นชาทันที ยู่จือกลับยิ้มตาหยีปรี่เข้าประชิดข้างลำตัวของนาง ร้องเรียกว่าลูกศิษย์ๆ ไม่หยุดปาก กู้อ้าวเวยก็ได้แต่ลงจากรถ กุ่ยเม่ยโบกมือให้ล่ายเสวียนที่อยู่ต่อหน้า “กู้อ้าวเวย เกิดเรื่องนิดหน่อยจึงต้องให้นางมาอยู่ในโรงเตี๊ยม กู้จี้เหยากลับมาหรือยัง?”
“หลายวันให้หลังถึงจะกลับมา ขอแค่เอายาแก้พิษมาให้ฮ่องเต้ พวกท่านก็สามารถเอ่ยเงื่อนไขต่อไปได้” ล่ายเสวียนกอดอก มองไปที่ผ้าโปร่งสีขาวบนหน้าของกู้อ้าวเวยอย่างไม่เข้าใจ พลางมองอ้ายจือปราดหนึ่ง “ในคุกใต้ดินของตระกูลอ้ายมีโครงกระดูกมนุษย์หลายร้อยคนวางอยู่ ดูเหมือนพวกเขาก็คิดทดลองวิธีแห่งความเป็นอมตะเหมือนกัน นางพบความคืบหน้าบ้างแล้ว ให้พวกนางได้หารือกันพอดีเลย”
ความหมายนอกเหนือจากคำพูดก็คือแม่นางทั้งหลายอย่างพวกนางรออยู่ที่นี่ ให้แต่กุ่ยเม่ยเข้าวังเพียงคนเดียวนั่นเอง
กู้อ้าวเวยถูกกุ่ยเม่ยหอบเข้าไปในโรงเตี๊ยม มีสาวใช้สองคนคิดจะปรี่เข้ามา ยัยไง่หงที่กระตือรือร้นอยู่ด้านหลังได้เข้ามารับเอาข้าวของไว้เรียบร้อยแล้ว ยิ้มตาหยี “คุณหนูของข้าไม่ชอบของที่ผ่านมือคนอื่น ทุกอย่างเอามาให้ข้าเถิด พวกพี่สาวแค่รับผิดชอบเรื่องอาหารการกินก็พอแล้ว คุณหนูของข้าชอบกิน…”
ยัยไง่หงพูดพล่ามยืดยาวเหมือนคนที่ท่องมา กุ่ยเม่ยจัดแจงบรรจุสัมภาระเล็กน้อยก่อนลงไปข้างล่าง สบสายตากับอ้ายจือ “ดูแลนางให้ดี”
“เข้าใจแล้ว ใต้เท้ากุ่ยเม่ย” อ้ายจือพยักหน้าอย่างจริงจัง พลางปัดยู่จือที่อยู่บนบ่าลงมาโยนกลับไปในอ้อมอกของยู่หง ไม่กี่คนพบหน้ากันนับว่ารู้จักกันมาแล้ว คราวนี้กุ่ยเม่ยจึงตามล่ายเสวียนเข้าวัง
กู้อ้าวเวยเดินไปหย่อนกายนั่งลงในห้อง มักรู้สึกว่าเมืองหลวงของเย่นเจียงนั้นเย็นยะเยือกอยู่หลายขนัด
ยัยไง่หงยกชาร้อนขึ้นมา ยู่จือกับอ้ายจือจึงมานั่งที่หน้าโต๊ะ อ้ายจือเอ่ยปากหน้าขมขื่น “ท่านพ่อและพี่ชายของข้านั้นเห็นได้ชัดว่าต่างก็รู้เรื่องความเป็นอมตะ ซ้ำยังทำการศึกษาไม่น้อย ตัวอย่างต้นฉบับถูกนำเอาไปมากมายทีเดียว เหลือเพียงแต่เศษซากบางส่วน ดูเหมือนบอกว่าต้องส่งคนไปที่นรก เป็นเช่นนี้แล้ว จึงสามารถให้ท่านยมบาลฉีกบันทึกความเป็นความตายของท่านได้”
“เจ้าก็เชื่อเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” ยู่จือหัวเราะอย่างเย็นชา ค่อนข้างไม่พอใจกับเด็กสาวที่ละทิ้งแนวทางปฏิบัติกระทั่งทรยศสำนักคนนี้อยู่น้อยๆ แต่ท้ายที่สุดก็เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของตน ไม่อยากปล่อยมือ ถึงได้ราวีเยี่ยงนี่
อ้ายจือเหลือบมองนางปราดหนึ่ง “ก็เพราะไม่เชื่อ ดังนั้นข้าถึงได้ตรวจสอบต่อไป จนค้นพบสมุนไพรที่ดูประหลาดๆ เข้า ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
กล่าวพลาง นางหยิบกล่องไม้หนึ่งกล่องออกมา ด้านในมีกล่องหยกแกะสลักขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่ ดูเหมือนจะประเมินมูลค่าไม่ได้ แต่ด้านในกลับมีเพียงตะกรันยาสีแดงก่ำเท่านั้น
ว่ากันว่า สมุนไพรไม่น้อยหลังจากที่เคี่ยวนานเกินไปจะเปลี่ยนเป็นสีดำเข้มหรือสีกรมท่า แต่ตะกรันยานี้เห็นได้ชัดว่ายังเป็นสีแดงอยู่ แม้แต่ยู่จือก็ยังรู้สึกงงงวย หลังจากที่อ้ายจือพยักหน้าจึงค่อยๆ ดมกลิ่นดู แล้วย่นจมูก “กลิ่นอะไรกัน…”
กู้อ้าวเวยได้แต่ปลดผ้าโปร่งคลุมหน้า ปรี่เข้าไปสูดดมภายใต้สายตาประหลาดใจของอ้ายจือ
หวานเลี่ยน
กลิ่นเหมือนกับเลือดที่นางเคยได้กลิ่นก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
“นี่คือกลิ่นของเลือดมนุษย์ พวกท่านดมดูไม่รู้หรือ?” นางลูบปลายจมูก ก่อนหน้านี้นางกระทั่งเคยลิ้มลองดมกลิ่นเลือดของสัตว์ แต่เลือดของสัตว์ล้วนเป็นกลิ่นสนิมเหล็ก มีเพียงกลิ่นเลือดมนุษย์ที่หอมกรุ่น ตะกรันยาครั้งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ทั้งสองต่างส่ายหน้า อ้ายจือปิดฝากล่องเอาไว้ ขมวดคิ้ว “อีกอย่างตอนแรกข้าเข้าใจว่าของสิ่งนี้มีพิษ แต่ต่อมาให้หนูทดลองแล้ว หนูยังกระโดดโลดเต้นอยู่”
“ในเมื่อไม่มีพิษ เหตุใดเจ้าถึงได้เอาใส่กล่องหยก มันเป็นราคามากหรือ?” ยู่จือถาม
อ้ายจือเหลือบมองนางปราดหนึ่ง “แน่นอนว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่น ตะกรันยานี้ถึงจะไม่คร่าชีวิตสัตว์ แต่ถ้าหากมนุษย์แตะต้องเข้า นั่นย่อมเป็นพิษรุนแรง ข้างกายข้ามีคนๆ หนึ่งช่วยข้าเก็บรวบรวมวัสดุยา หลังจากเวลาหนึ่งก้านธูปก็ล้มพับไป ตอนนี้นอนแผ่บนเตียงฝืนบังคับถอนพิษอยู่เลย”
ศิษย์อาจารย์ทั้งสองคนต่างรู้สึกงงงวยไม่เข้าใจ
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย เปิดกล่องหยกนั้นออกอีกครั้ง มองสำรวจอย่างละเอียดสักพัก แล้วมองไปที่ลายสักบนหน้าของยู่จือ “ดูเหมือนข้าจะคิดผิดแล้ว สิ่งที่ขาดหายไปไม่ใช่วัสดุยา แต่เป็นต้นไม้ต่างหาก”
กล่าวถึงจุดนี้ ทั้งสองอึ้งงันก่อนเป็นสิ่งแรก จากนั้นอ้ายจือปั้นหน้าเย็นชาขึ้นมา “จุ้ยเวี่ยน ที่อยู่บนภูเขาเทียน”