บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 881
บทที่ 881 เหมาะสมกว่า
“เสียชีวิตได้อย่างไร?” ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้ว ใบหน้าเข้มๆ ของเขาตอนนี้เกร็งมาก ปากปิดแนบสนิทกัน สายตาก็มองกวาดไปทางตัวของสิงปู้ชื่อหลาง (นายสนองกระทรวงราชทัณฑ์) แล้วก็ยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย พร้อมกันตำหนิด้วยความน่าเกรงขามว่า “ทำไมให้นักโทษคนสำคัญมาตายในคุกได้?”
สิงปู้ชื่อหลาง (นายสนองกระทรวงราชทัณฑ์) ก็เหงื่อแตกพลั่ก แล้วรีบตอบว่า “เรื่องนี้มันมีเงื่อนงำ…..”
“เงื่อนงำอะไรกัน?” เสียงของซ่านจินจื๋อไม่ดัง แต่ตอนที่สายตามองไปทางสิงปู้ชื่อหลาง (นายสนองกระทรวงราชทัณฑ์) นั้น สิงปู้ชื่อหลาง (นายสนองกระทรวงราชทัณฑ์) ก็ก้มหน้าลง แล้วเอามือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พร้อมตอบอย่างตัวสั่นว่า “ไอ้คนนั้นมันก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร แล้วมาจากไหน บอกอย่างเดียวว่ายาพิษนั่นได้มาจากข้างหลังของจวนตงฟาง……….”
“หรือจะบอกว่าข้าเป็นคนทำร้ายใต้เท้าทุกท่านอย่างนั้นหรือ!” คนตงฟางทางด้านข้าง ก็รีบเดินขึ้นหน้ามา ใช้สายตาที่กำลังโกรธ แล้วขุนนางแก่ๆ ด้านหลังสองคนก็เข้ามาดึงตัวคนตระกูลตงฟางไว้ พร้อมกับห้ามไว้
“ไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่เขาบอกเช่นนั้น กระหม่อมก็ต้องจัดการตามกระบวนการทางกฎหมาย จะต้องสืบให้แน่ชัด แต่กระหม่อมยังไม่ได้ให้คนไปส่งข่าวบอกทางจวนตงฟาง แต่ทหารเวรยามของเรือนจำก็รีบเข้ามารายงาน บอกว่านักโทษนี่ถูกปาดคอตายเสียแล้ว กระหม่อมก็เลยรีบมา เหลือเพียงร่างของเขา ส่วนหัวนั้นหายไปแล้ว ก็เลย……” สิงปู้ชื่อหลาง (นายสนองกระทรวงราชทัณฑ์) ร้อนลนจนเหงื่อแตกเต็มหน้า มีการฆ่าคนในเรือนจำได้ ก็แสดงว่าเขาจัดการไม่ดี
แต่น่าเสียดาย ครั้งนี้คนตระกูลตงฟางยังไม่เอ่ยปาก แต่ซ่านจินจื๋อก็เงยหน้าจับรายงานขึ้นมาหนึ่งฉบับ พูดว่า “คนที่วางยาในวังหลังนั้น ยังหาตัวไม่พบ เกิดเรื่องในวันงานของตระกูลตงฟางของฮองเฮา ตอนนี้ยังจะมาตัดหัวคนร้ายไปซ่อน ใต้เท้าทุกท่านคิดว่า คนคนนี้จะซ่อนอยู่มุมไหนของวังหลวง?”
พอสิ้นเสียงพูด ขุนนางทุกคนก็ต่างพากันคุกเข่าลง เหงื่อตกไปตามๆ กัน
ซ่านจินจื๋อก็พูดออกมาตรงๆ ก็เหมือนกับว่าคนร้ายก็คือหนึ่งในกลุ่มขุนนางนี้ แต่ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข เย่นเจียงแคว้นเอ่อตานก็ส่งหนังสือมาสงบศึก พวกนั้นจะมีใจมาทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ได้อย่างไร ทุกคนก็ต่างพากันร้องห่มร้องไห้ อธิบายให้ซ่านจินจื๋อ โดยไม่ได้สงสัยคนข้างกาย
ตระกูลตงฟางก็ไม่ซักถามต่อ เพราะถึงอย่างไรไอ้คนนั้นก็บอกว่าได้ยาพิษมาจากหลังจวนของเขา พอพูดจบ ไอ้คนนั้นก็ตายไป ถ้าเป็นเช่นนี้ บ้านของเขาก็น่าสงสัยไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
พอจัดการเรื่องวุ่นวายวันนี้ไปคร่าวๆ ซ่านจินจื๋อก็โบกมือ พอกลุ่มขุนนางกำลังจะกลับนั้น ก็พูดขึ้นมาว่า “ใต้เท้าทุกท่านต้องขยี้ตาให้สว่างไว้ อย่าให้ใครมาทำให้ตาฝาดไปเสียได้”
เหล่าขุนนางก็พากันทำความเคารพแล้วจากไป โดยในใจแต่ละคนก็คิดวางแผนอยู่
ตอนที่ซ่านต้วนโฉงยังครองราชย์นั้น ก็นับว่าเขาเป็นกษัตริย์ที่ดี น้อมรับฟังความเห็นของขุนนางเก่าแก่ แต่ซ่านจินจื๋อมีวิธีการเป็นของตนเอง ถ้าเป็นข้อเสนอที่ซื่อตรงถึงแม้จะไม่เข้าหู แต่เขาก็รับฟัง แต่ถ้าเป็นคำพูดที่เห็นแก่ตัว เกรงว่ามีกี่หัวก็ไม่พอให้เขาตัด
ตอนที่เมิ่งซู่กำลังจะจากไปนั้น เขาเสียอาการ จนสิงปู้ชื่อหลาง (นายสนองกระทรวงราชทัณฑ์) ต้องเข้ามาเรียกไว้ “ใต้เท้าเมิ่ง”
“ใต้เท้าหลี่” เมิ่งซู่ยกมือคำนับเบาๆ พร้อมกับโค้งตัว เขานั้นเกิดในตระกูลผู้มีความรู้ ถึงแม้ตอนนี้จะมีตำแหน่งสูงส่ง แต่ก็ยังมีความเคารพต่อขุนนางผู้ใหญ่ สิงปู้ชื่อหลาง (นายสนองกระทรวงราชทัณฑ์) เองก็ต้องมองเขาใหม่อีกแบบ แล้วพูดว่า “เรื่องของทางจวนตงฟาง ใต้เท้าเมิ่งคิดเห็นว่าอย่างไร……….”
“อ๋องจิ้งคงจะมีวิธีการจัดการเอง” เมิ่งซู่มองไปทางด้านหลังของตระกูลตงฟาง สิงปู้ชื่อหลาง (นายสนองกระทรวงราชทัณฑ์) ก็เข้าใจได้ถึงความหมายที่สื่อออกมา เรื่องนี้มันไม่ต้องให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยว
“ขอบคุณใต้เท้าเมิ่ง”
เมิ่งซู่เพียงแต่ยิ้มส่งใต้เท้าหลี่ด้วยสายตา จากนั้นก็มีขันทีน้อยเดินมาตรงหน้าเขา แล้วพูดว่า “ท่านอ๋องจิ้งบอกว่า หวังว่าใต้เท้าเมิ่งจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากหน่อย แล้วอีกอย่าง เรื่องที่ต้องต้อนรับขับสู้ราชทูตจากเย่นเจียง ก็ให้ท่านจัดการให้เรียบร้อยด้วย”
เมิ่งซู่ก็ขมวดคิ้วเล็กๆ เรื่องสำคัญเช่นนี้ทำไมต้องให้เขาเป็นคนจัดการ
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นขุนนางคนอื่น เรื่องแรกที่ซ่านจินจื๋อจะทำก็คือ ยึดอำนาจคืน แต่เมิ่งซู่มองว่า ซ่านจินจื๋อจะทำเรื่องอื่น แต่ไม่อยากให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยว จากนั้นก็ พยักหน้าตอบรับบัญชา
แต่มันน่าจะหมายความว่า ให้เขาไปตาหากู้อ้าวเวยมากกว่า
“รบกวนท่านกงกงไปรายงานท่านอ๋องจิ้งด้วยว่า เดี๋ยวกระหม่อมจะไปเรือนรับรองราชทูตเลย”
ขันทีน้อยก็มองส่งเมิ่งซู่จากไป แล้วก็กลับไปยังห้องหนังสือ และตอนนั้นซ่านต้วนโฉงก็กำลังสวมชุดมังกรนั่งตรงโต๊ะ เพื่อปรึกษาเรื่องแคว้นชางหลานกับซ่านจินจื๋อ พอเห็นขันทีน้อยจะเข้ามารายงานคำพูดของเมิ่งซู่ ซ่านต้วนโฉงก็ยักคิ้วพูดขึ้นว่า “ซ่านจินจื๋อ เจ้ากำลังจะลดตำแหน่งเขาหรือ?”
“อำนาจข้างกายของเมิ่งซู่และตระกูลตงฟางมีไม่น้อย อีกอย่างตระกูลซู๋ของฮองเฮาองค์ก่อน ก็ได้ผลประโยชน์ไม่น้อย คนที่อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษต้องเป็นฝั่งใดฝั่งหนึ่งแน่นอน จะต้องทำลายอำนาจทั้งสามนี้ คนร้ายถึงจะโผล่ออกมา” ซ่านจินจื๋อถือหนังสือรายงาน พร้อมกับยกคิ้วมองซ่านต้วนโฉง “ราชทูตแคว้นเอ่อตานกลับไปแล้ว กู้อ้าวเวยรู้หรือยังว่าหยุนหว่านยังอยู่ในเมืองเทียนเหยียน”
“เจ้ากลัวนางจะไม่กลับมาเองหรือ?” ซ่านต้วนโฉงก็สังเกตมองปฏิกิริยาของเขา “ช่วงนี้เจ้าก็ไปมาหาสู่กับหญิงสาวตระกูลยู่บ่อยๆ เจ้ามีใจเป็นอื่นหรือว่าอะไรกัน………”
“ถึงแม้นางจะเหมือนกู้อ้าวเวยค้อมหัวยู่บ้าง แต่เป็นคนฟังคนง่าย” พอพูดถึงจุดนี้ ซ่านจินจื๋อก็ต้องแสยะยิ้มมุมปากขึ้นมา “แล้วอีกอย่างตระกูลนางก็ไม่มีมลทินมัวหมอง ให้มาอยู่ข้างกายข้าก็ถือว่าวางใจ”
ซ่านต้วนโฉงก็มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าหญิงสาวตระกูลยู่เกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษ วันนั้นนางบอกว่าเจ้าไม่ถูกกับตงฟางซวนเอ๋อ มันหมายความว่าอย่างไร………”
“ไม่ใช่นางคนเดียว แม้แต่การทำนายของยู่จือเองก็บอกเช่นนี้” ซ่านจินจื๋อส่ายหัว “เช่นตอนนี้ อำนาจของตระกูลตงฟางมีมากนัก ถึงแม้ฮองเฮาตอนนี้ยังไม่มีความผิดอะไร แต่คนตระกูลของนาง ก็จะมีพวกได้คืบจะเอาศอกอยู่ พอพูดถึงเรื่องบ้านเมือง ยังจะต้องมาขอความเห็นจากทางข้าด้วย คิดไปเองมากเกินไปหน่อย”
พอพยักหน้าอย่างพอใจ ซ่านต้วนโฉงก็ถามอีกว่า “ก็แสดงว่า พระชายาที่เจ้าจะเลือกนั้น………..”
“ทางที่ดีให้ตำแหน่งมันว่างไว้ก่อนดีกว่า ตอนนี้ คนพวกนั้นเพิ่งได้มีโอกาสเข้ามา” ซ่านจินจื๋อลุกขึ้น “อีกอย่าง ยิ่งข้าแสดงออกว่ารักยู่ชีง คนเบื้องหลังพวกนั้นก็จะหาทางลงมือกับนางเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนี้ ถ้าต้องการหาตัวคนร้าย มันก็จะง่ายมากขึ้น”
ซ่านต้วนโฉงทำตาหยี แล้วก็ถามๆ แบบลองใจว่า “เจ้าจะใช้ยู่ชีงเป็นตัวล่ออย่างนั้นหรือ? ไม่กลัวนางจะหาความเดือดร้อนมาให้เจ้าหรือ?”
“ในโลกนี้มีใครที่ไหนที่มีพลังวิเศษ ตอนนี้แคว้นเจียงเยี่ยนก็ถูกยึดด้วยเย่นเจียง ตอนนี้ตระกูลยู่เป็นรองคนอื่นเขา แล้วความสามารถพิเศษพวกนั้นก็กลายเป็นข้อแลกเปลี่ยนมากกว่า ตอนนี้ต้องมารับใช้คนอื่น แล้วจะสร้างปัญหาขึ้นได้อย่างไร?” ซ่านจินจื๋อเอาเล่มหนังสือรายงานโยนใส่มือของขันทีน้อย แล้วเดินออกไป
พอมองด้านหลังของน้องชาย ดวงตาของซ่านต้วนโฉง ก็เกิดเป็นประกายขึ้นมา นิ้วมือก็เคาะบนมือจับของเก้าอี้ แล้วก็ถามหวางกงกงว่า “ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ น่าจะเหมาะกับเขามากกว่านะ”