บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 890
บทที่ 890 ความทรงจำที่หลับใหล
นักปราชญ์ในความฝัน ก็ยังคงใส่ชุดสีเทา ในมือถือหนังสืออยู่
มักจะมาพอนางในมุมที่ไม่มีใครรู้ ส่วนนางก็มักจะชอบใส่เสื้อผ้าของชาวบ้าน ไม่สวยงามและไม่หรูหรา แต่นักปราชญ์คนนั้นก็เหมือนว่าจะจูงมือนางเดินไปทั่วทุกมุมของเมืองเทียนเหยียน ทางหลังถนนทิศตะวันตกมีช่องสุนัขผ่านที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีคนซ่อม ในแม่น้ำหรือไม่ก็ทะเลสาบนั่น มีปลามากมาย ในเกี๊ยวน้ำของบางร้านก็มีกุ้งแห้งอยู่ในนั้นด้วย จำนวนมากมายเหลือเกิน
ความทรงจำ มันก็เหมือนโคมไฟที่ไม่มีเสียง พอถึงตอนที่กู้อ้าวเวยกลับมาที่ที่ทิ้งศพอีกครั้ง นางก็ได้ยินเสียงอีการ้องอยู่ในหัวนาง จากนั้นเสียงร้องของอีกาก็กลายเป็นเสียงคลื่นน้ำกระแทกแผ่นไม้
ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ตอนที่นางฟื้นขึ้นมาก็เห็นเป็นยู่จือที่คอยดูนางตรงข้างเตียงตลอดทั้งคืน ยู่จือก็เลยบีบคางของนางส่ายไปมา พร้อมถามว่า “หลับไปร้องไห้ไป เจ้าฝันว่าอะไรละ?”
กู้อ้าวเวยก็ปล่อยให้นางทำไป เงาคนตรงหน้าก็มองไม่ชัด นิ่งไปสักพัก นางก็พูดขึ้นว่า “ข้าจำไม่ได้แล้ว”
ยู่จือก็เลยปล่อยมือออกมา แล้วก็เอาเรื่องที่นางไปนอนบนดาดฟ้าและข้อสันนิษฐานของตนเองบอกนางไป
กู้อ้าวเวยก็เกาหัวลุกขึ้นจากที่นอน แล้วก็เอามือจัดผมที่ยุ่งเหยิง แล้วก็บอกว่า “ปริมาณของจุ้ยเวี่ยน ไม่น่าจะมีปัญหา อีกอย่างถ้าข้าสลบไปจริงๆ ก็คงจะไม่หาที่เพื่อให้ตนเองนอนลงได้”
ยู่จือก็พูดไม่ออก นางเองก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร
กู้อ้าวเวยก็มองไปยังด้านนอกเรือ แล้วก็กังวลว่า “ข้าหลับไปนานเท่าไร”
“เจ้าหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ถ้าเมื่อครู่ข้าไม่ห้ามไว้ หมอพวกนั้นก็จะเข้ามาแล้ว” ยู่จือกอดอกมองนาง “ข้าได้แยกกับยู่หงแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าอีก ข้ากลัวว่าจะเผยตัวตนออกมาแล้ว”
“เจ้ายังจำตัวของตนเองได้อีกหรือ” กู้อ้าวเวยมองบน แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาด เดินออกไปข้างนอกพร้อมกับยู่จือ ด้านนอก นางก็เดินเอามือดึงแขนเสื้อของยู่จือ แล้วก็เดินไปยังห้องครัวอย่างเชื่อฟัง คิดว่า แม่ครัวน่าจะยังเหลืออาหารอะไรให้นางกินบ้าง
แต่เสียดายที่แม่ครัวก็ไปตามคนรับใช้สองคน มาพานางกลับไปยังชั้น2 บอกว่าฐานะของทั้งสองไม่ควรมากินอะไรในห้องครัว ยู่จือที่โมหิว ก็เกือบจะทะเลาะกับแม่ครัว กู้อ้าวเวยก็เลยต้องลากนางกลับชั้น2 แล้วก็ตั้งใจพูดว่า “พวกเขาว่ามันเป็นมารยาท ก็คือมารยาท”
“ทำไมจะกินที่ห้องครัวไม่ได้ ข้าจะได้สั่งในสิ่งที่ข้าอยากกิน กว่าพวกเขาจะยกขึ้นก็เย็นพอดี ยู่จือก็เอามือกุมท้องแล้วนั่งลง ท่าทางหิวมาก”
กู้อ้าวเวยก็ขี้เกียจเถียงกับนาง พออาหารเช้าถูกยกขึ้นมา มุมปากของนางก็กระตุกขึ้นมา
ตรงหน้า มีเพียงเกี๊ยวน้ำถ้วยเล็กๆ ชิ้นเกี๊ยวก็มีไม่กี่อัน แต่มีผักเยอะ ด้านข้างก็มีของหวาน2ชิ้น แล้วก็ไม่มีอะไรอีก
ยู่จือโมโหตะโกนออกมา แล้วให้คนรับใช้ที่เอาอาหารมา ให้เอากับข้าวและซาลาเปามาเพิ่ม กู้อ้าวเวยก็เลยพูดบ้าง “ตอนเช้า กินน้อย สมองไม่มีแรงคิด”
“ถึงว่าหุ่นของสาวๆ เมืองเทียนเหยียน ถึงได้หุ่นดีกันนัก ถ้าข้ากินเกี๊ยวน้ำที่มีผักมากกว่าเกี๊ยวทุกวัน ต้องมีหุ่นแบบนั้นแน่ๆ ” ยู่จือก็กินเก่งพอๆ กับกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยก็ทำหน้าไม่ถูก พอรีบกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว นางก็ไปนั่งตรงมุมหนึ่ง แล้วแกะสลักต่อ ใครเรียกก็ไม่ไป
ส่วนคนที่ควรจะมาก่อกวนอย่างตงฟางซวนเอ๋อ ก็ยังไม่มา
ครั้งนี้ ไม่มีใครมารบกวนกู้อ้าวเวยแล้ว ตงฟางซวนเอ๋อก็คิดว่ายู่ชีงคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดา ก็เลยดูสถานการณ์ไปก่อน
เรือชมวิวแล่นไปวันที่สอง ก็ใกล้จะค่ำแล้ว กู้อ้าวเวยเห็นเงาคนทางหน้าต่าง ไม่ใช่ยู่จือ พอคิดว่าของซ่านจินจื๋อที่ส่งมาดูแลนาง ก็อยู่บนเรือ พอเดินมาตรงทางเดิน ก็เห็นที่พื้นมีรอยน้ำอยู่ แต่นางไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าใดๆ
ยังไม่รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร แล้วก็มีมือมาปิดปากนางไว้ แล้วก็นำตัวนางกลับมายังห้องพัก กู้อ้าวเวยก็เอามือคลำดูลายเสื้อผ้าที่แขนเสื้อ ก็วางใจให้คนคนนั้นพากลับห้อง แล้วนางก็ถูกโยนลงบนเก้าอี้ ซ่านเชียนหยวนสะบัดแขนเสื้อ ปลายชุดนั้นเปียกน้ำ แล้วก็พูดหน้านิ่ง “เจ้านี่กล้ามากเลยนะ”
“ก็ซ่านจินจื๋อบอกว่ามีคอยดูแลข้า” กู้อ้าวเวยชี้เขา “แต่ข้าไม่รู้ว่าจะเป็นเจ้า”
“ไม่น่ารักเอาเสียเลย ถ้าไม่ใช่ข้า ไม่แน่ว่า เมื่อครู่นี้ เจ้าอาจจะถูกฆ่าปิดปากแล้วก็ได้” ซ่านเชียนหยวนพูดเสียงต่ำ นั่งลงตรงหน้ากู้อ้าวเวย ดูว่ารอยสักบนหน้านางมีรอยหลุดร่วงหรือไม่ แล้วก็พูดต่อว่า “คนพวกนั้นมันว่ายน้ำมาจากฝั่ง เตรียมการมาดี แต่ไม่รู้จุดประสงค์”
กู้อ้าวเวย ก็เอามือบีบนิ้วที่ปวด แล้วพูดว่า “จุดประสงค์ของเขานางคือตงฟางซวนเอ๋อหรือ?”
“หมายความว่าอย่างไร?” ซ่านเชียนหยวนขมวดคิ้ว
“ข้าก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่าแปลกๆ ทำไมตงฟางซวนเอ๋อต้องให้ลูกสมุนของพวกขุนนางพวกนั้น ขึ้นเรือมาด้วย แสดงว่า พวกนั้นมันไม่สำคัญ หรือว่ามีประโยชน์ด้านอื่น?” กู้อ้าวเวยสงสัยกับเรื่องนี้ ปกติแล้วมีการต่อเวทีร้องรำทำเพลงบนเรือชมวิว มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าให้พวกนักปราชญ์ขึ้นมาโต้วาทีกันนั้น มันดูแปลกๆ
ซ่านเชียนหยวนก็หัวเราะขึ้นมา “นอกจากหนังสือที่บันทึกสถานที่ ภูมิศาสตร์ โลก โบราณประวัติศาสตร์ ฯลฯ และหนังสือการแพทย์แล้ว เจ้าไม่ได้อ่านอย่างอื่นเลยหรือ?”
“หมายความว่าอย่างไร?” กู้อ้าวเวยสงสัย
“คนพวกนั้นเป็นหูตา ที่พวกขุนนางส่งมาสอดส่อง ก็เพื่อจะจ้องมองพวกเจ้า ราชวงศ์ของชางหลานยอมให้พวกขุนนางมาตรวจสอบเหล่าคณะราชทูต ดังนั้น เจ้าไม่ต้องคิดมาก” ซ่านเชียนหยวนส่ายหัว
กู้อ้าวเวยเอามือถูหน้าผาก “เอาเถอะ ข้าคิดมากไปเอง”
“เช่นนั้น จุดประสงค์ของพวกเขา น่าจะเป็นพี่สาม หรือไม่ก็ตงฟางซวนเอ๋อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว ทั้งหมดนั้น ให้ข้าจัดการเอง” ซ่านเชียนหยวนชี้หน้าสั่งนางจนเกือบจะโดนจมูก “ถ้าเจ้ายังออกไปเหมือนเมื่อครู่นี้อีกละก็ ข้าก็จะจับตามองเจ้าอยู่อย่างนี้”
กู้อ้าวเวยสีหน้าเปลี่ยน แล้วก็ตอบรับ แล้วมองซ่านเชียนหยวนออกไปอย่างเงียบๆ
อยู่ในห้องคนเดียว ก็เบื่อหน่าย ได้แต่เอนหลังอยู่บนเตียง นอนฟังเสียงน้ำไหล นางก็นึกขึ้นได้ว่าตนเอง ก็น่าจะเคยขึ้นเรือ และมันนานมาก และไม่ใหญ่ขนาดนี้ ของก็ไม่เยอะขนาดนี้ และไม่มีอ้อมกอดที่อบอุ่น
นางถูกความคิดของตนเองทำให้ตกใจจนต้องลืมตา แล้วก็ยื่นมือมาคลำขอบเตียงอีกด้าน จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น นางไม่รู้ว่าตอนนั้น คนที่นอนข้างๆ นาง นั้นเป็นใคร และก็จดจำใบหน้าของเด็กสองคนนั้นไม่ได้
จากนั้น นางก็อยากไปหายู่จือ จนกระทั่งมีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้นมา มีทั้งเสียงสูงและเสียงต่ำสลับกันไปมา ตรงทางเดินมีคนวิ่ง กู้อ้าวเวยก็ตกใจ เอามือมาคลำที่ประตู แล้วแง้มออก แล้วก็มีทหารรีบมาปิดประตูของนางไว้ แล้วตะโกนบอกนางว่า “แม่นางยู่ชีง เชิญหลบอยู่ในห้องดีกว่า”
“พวกมันเอาน้ำมันไฟมาด้วย!” มีคนตะโกนอย่างตกใจ