บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 910
บทที่ 910 หลงทาง
“ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ซ่านจินจื๋อดึงนางให้ลุกจากเตียง กู้อ้าวเวยปล่อยให้เขาโยนตนเองลงเก้าอี้ จากนั้นก็รับสั่งสาวใช้ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางหลังผ้ากั้น พร้อมกับไล่ซ่านเชียนหยวนออกไป แล้วถามนาง “เจ้ายอมไปกับซ่านเซิ่งหานเองใช่หรือไม่”
ครั้งนี้ไม่ได้รับการตอบรับ กู้อ้าวเวยปล่อยให้สาวใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดให้นาง ผ่านไปสักพัก นางแค่มองเขาด้วยสายตาที่เฉยเมย “ข้าไม่ได้ยอม เขามีจุดประสงค์”
“อะไรนะ?”
“ไม่เจ็บไม่ตายทั้งชีวิต เจ้าไม่อยากได้หรือ?” กู้อ้าวเวยเดินมาตรงหน้าเขา แล้วดึงผมออกมาจากเสื้อผ้า สายตาที่เทาขาวจ้องมองเขา แววตาดอกซากุระในตอนนี้ราวกับเป็นแววตาของงูอสรพิษ มีความอันตรายเล็กน้อย “เพราะเช่นนั้น สิ่งที่สำคัญไม่เคยเป็นกู้อ้าวเวย”
ซ่านจินจื๋อแววตามีความกลัวเล็กน้อย ก็เห็นกู้อ้าวเวยเดินมาถึงโต๊ะ พร้อมกับกระดาษใบหนึ่ง นิ้วมือจับเบาๆ ที่แท่งวางหมึก “ละลายหมึก”
ซ่านจินจื๋อจึงเดินเข้าไป แล้วละลายหมึกให้นาง
เห็นนางเขียนสูตรยาและวาดรูปที่แปลกประหลาดลงบนกระดาษ ถึงจะเบี้ยวไปมา แต่ก็ดูออกว่าเป็นเวที และเลือดมังกรที่เขียนนั้นชัดเจนมากขึ้น ผ่านไปสักพัก นิ้วมือของนางลูบเบาๆ ที่ตัวหนังสือ ถึงจะยื่นไปให้ซ่านจินจื๋อ
“นี่เป็นสูตรยาครึ่งหนึ่ง รูปวาดนั้นใช้สำหรับก่อสร้างเวที” พูดอยู่นั้น นางก็ลุกขึ้นแล้วยื่นมือไปหาเขา “ข้าขอร่มหนึ่งคัน”
“เจ้าจะไปไหนหรือ?” ซ่านจินจื๋อวางสูตรยาไว้ด้านข้าง
“ข้าจะให้สูตรยาอีกสูตรกับซ่านเซิ่งหาน และยาชิ้นสุดท้าย อ้ายจือ กุ่ยเม่ยและยู่จือต่างก็รู้ มีสิ่งของไว้ต่อรอง การร่วมมือของพวกเจ้าจะแน่นแฟ้นมากขึ้น” นางประจบมือทั้งสองข้างแล้วตบเบาๆ “ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ปล่อยข้าได้แล้ว”
ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้ว ราวกับเมื่อก่อนที่เขาดูกู้อ้าวเวยไม่ออก จนวันนี้เขาก็ยังคงรู้สึกว่าคนปลอมตรงหน้าคนนี้ช่างแปลกนัก แต่ใบหน้าเฉยชา เสียงก็อ่อนโยน “เจ้าอยากไปมากเลยหรือ”
“เพราะข้าจะโดนพวกเจ้าบังคับจนจะบ้าแล้ว” กู้อ้าวเวยถอนหายใจแรง มือข้างหนึ่งจับอีกข้างเบาๆ บาดแผลในใจ ตอนนี้ถึงจะเหลือเพียงรอยจางๆ แต่ก็ยังทำให้นางรู้สึกเจ็บในใจ “พวกเจ้าบอกว่าข้ามีลูก แต่ข้าไม่เคยพบเห็น เจ้าบอกเจ้าแต่งงานกับข้าและพวกข้ารักกัน แต่ข้าก็ไม่เห็น ซ่านเซิ่งหานบอกจะดีกับข้า แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยข้า และคนอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาต้องการนั้นคือตัวของข้าเท่านั้น”
“แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตนคือใคร ทำไมต้องใช้สัญชาตญาณมาช่วยพวกเจ้า” เสียงของนางค่อยๆ แข็งมากขึ้น แขนเสื้อที่กว้างนั้นถูกย้อมไปด้วยหมึก แต่ก็ม้วนเก็บเข้าไปโดยไม่ใส่ใจใดๆ “ข้าเชื่อสัญชาตญาณของข้า ข้ารู้ว่าข้าชอบเจ้า และอยากอยู่กับเจ้า”
“ถ้าเช่นนั้นก็อยู่ต่อสิ ข้าไม่กักขังอิสระของเจ้าหรอก……” ซ่านจินจื๋อจับแขนของนาง และจับมือของนาง แต่กลับจับโดนรอยแผลเป็นเต็มไปหมด ในใจของเขาเฉยชาเล็กน้อย “แผลพวกนี้เจ้ายังจำได้หรือไม่?”
“เป็นเพราะว่าจำไม่ได้แล้วจึงน่ากลัว” กู้อ้าวเวยดึงมือของตนเองออก แล้วซ่อนเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
“แล้วทำไมเมื่อครู่นี้เจ้าตั้งใจทำเป็นไม่เหมือนตนเอง แล้วใช่ข้ออ้างนี้เพื่ออยู่ต่อ” ซ่านจินจื๋อเดินไปด้านหน้า ขวางทุกทางถอยของนาง “หากเจ้าอยากกลับไปกับซ่านเซิ่งหาน ก็สามารถทำได้โดยไม่ให้เขาเกิดความสงสัย ในตอนที่เจ้าทำให้เขาสงสัยนั้น เจ้ากำลังบอกกับเขาว่าเจ้าเป็นกู้อ้าวเวยปลอม เพราะเช่นนั้นพวกเรื่องไม่เจ็บไม่ตายไปทั้งชีวิต หรือเรื่องฟื้นชีพจากการตายนั้น เจ้าไม่รู้เรื่องสักอย่าง และเขาสามารถปล่อยเจ้าไว้ให้ข้าจัดการ แล้วเขาก็กลับไปหาทางใหม่เอง”
กู้อ้าวเวยถอยหลังด้วยสีหน้าที่ซีด
“และหลังจากที่เขารู้ว่าเจ้าเป็นกู้อ้าวเวยตัวจริง เจ้าค่อยใช้ข้ออ้างที่ว่าจะให้สูตรยาไปหาเขา แล้วทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตราย เป็นไส้ศึก?” ซ่านจินจื๋อจับคางของนาง บังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมามองตน “ข้าบอกไปกี่ครั้งแล้ว ให้เจ้านึกถึงตนเองซะบ้าง”
แต่สีหน้าของกู้อ้าวเวยนั้นยังคงซีดขาวจนน่าตกใจ
ซ่านจินจื๋อพยายามอดกลั้นความโกรธในใจ พยายามไม่พาลใส่กู้อ้าวเวย ค่อยๆ พูดจาเบาแล้วกอดนางเข้าอ้อม นิ้วมือจับผ่านคอของนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปลอบใจ “ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็ให้กู้อ้าวเวยคนนั้นเป็นตัวล่อกับเถอะ เจ้าก็อยู่ที่นี่อย่างสงบแล้วกัน”
คนในอ้อมตัวแข็งทื่อไม่พูดจาใดๆ ในตอนที่ซ่านจินจื๋อปล่อยนางออกถึงพบว่าสีหน้าของนางยังคงซีดขาวจนน่ากลัว ค่อยๆ ถามอย่างละเอียดว่านางเจ็บป่วยตรงไหนอย่างไร กู้อ้าวเวยทำเพียงส่ายหน้าไปมาแล้วสละตัวออกจากอ้อมของเขา เดินไปนั่งหน้าโต๊ะแล้วพูดว่า “ไม่ว่ายังไง ข้าก็จะเอาของอีกชิ้นไปให้ซ่านเซิ่งหาน”
“ข้าส่งคนไปเป็นเพื่อนเจ้า” ซ่านจินจื๋อกอดแขน นี่เป็นการถอยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
“ข้าสามารถรับประกันความยุติธรรม” กู้อ้าวเวยจับที่ชายเสื้อ
“หากเขาจะกักเจ้าไว้เพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง ข้าไม่มีโอกาสครั้งที่สองที่จะให้เจ้าสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย เขาปลูกลูกแดงไว้ไม่น้อย” ซ่านจินจื๋อจับที่ไหล่ของนาง “โม่ซานบอกว่าตอนนั้นเจ้าตื่นแล้ว เจ้าคงได้ยินแล้วสินะ”
“ข้าเตรียมยาไว้แล้วเรียบร้อย” กู้อ้าวเวยชี้ไปที่ปากของตนเอง “เขาไม่สามารถควบคุมข้าได้”
ซ่านจินจื๋อสูดอากาศเข้าลึก แล้วพูดด้วยความโมโห “ข้าไม่ยอม”
“ข้าอยากออกไปจากที่นี่” กู้อ้าวเวยเม้มปากเบาๆ
“ไม่ได้ ซ่านเซิ่งหานและเสด็จพี่ต่างจับตามองเจ้าอยู่” ซ่านจินจื๋อส่ายหน้าเบาๆ มือข้างหนึ่งจับที่โต๊ะ แล้วเอียงตัวเล็กน้อยสบตากับนาง “อยู่ข้างกายข้านะ”
กู้อ้าวเวยถอยหลังอีกครั้ง แล้วหันศีรษะออกไป ไม่พูดจาใดๆ
“ไม่มีความสุข?” ซ่านจินจื๋อจับที่ศีรษะของนาง นิ้วชี้จับที่หลังหูของนาง “อดทนอีกหน่อยนะ ท่านแม่บ่นถึงเจ้าตลอดเลย”
นางหลบนิ้วของซ่านจินจื๋อ กู้อ้าวเวยกอดแขนแล้วกลับไปนั่งลงที่เก้าอี้ “ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”
“เพราะเหตุใดหรือ?” ซ่านจินจื๋อก้มตัวลงกอดนางเข้าอ้อมกอด
“ไม่มีอะไร” มือของกู้อ้าวเวยจับที่คอของเขา จับอย่างเบาๆ ไปสองสามที จากนั้นก็ก้มหน้า “ข้าต้องโดนผูกมัดไว้กับเจ้าจริงหรือ?”
ซ่านจินจื๋ออึ้งเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากพูด “เจ้ากำลังสงสัยข้าหรือ?”
“หากข้าเป็นเพียงผู้ที่ถูกตระกูลยู่ล้างสมองล่ะ จะทำอย่างไร?” กู้อ้าวเวยเก็บเสียงเล็กน้อย ในตอนที่เห็นใบหน้านั้นที่เหมือนตนเองเป๊ะทุกอย่างนั้น นางก็รับรู้ได้ว่าไม่ถูกต้อง “ข้าสามารถมาที่นี่จากที่อื่นได้ ใครกันที่จะมาหาว่าข้าเป็นจริงเล่า?”
นางมองซ่านจินจื๋อด้วยความเจ็บปวด “เจ้าแน่ใจหรือ?”
ความทรงจำพวกนั้น สำหรับนางแล้ว เป็นเพียงบท ขนาดสัญชาตญาณของคน ยังสามารถลอกเลียนแบบได้เลย
ความโกรธแค้นในใจของซ่านจิงจื๋อหายสาบสูญในพริบตา มองดูแววตาสีเทาขาวคู่นั้นมีน้ำตาคลอ เขาทำเพียงจูบที่มุมปากของนางด้วยความเอ็นดู “บอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปสนใจ เจ้าแค่จำไว้ว่าเจ้าเป็นเจ้าก็พอ เดี๋ยวข้าจะส่งเจ้าไปที่ตำหนักองค์ชายสามเอง”
พวกเขาต่างบีบบังคับนางมากเกินไป