บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 920
บทที่ 920 การแสดง
หญิงสาวที่ท้องมีนามว่าจี้ซู เป็นลูกสาวรองของจี้ซื่อหลาง นิสัยเงียบสงบไม่ชิงดีชิงเด่น เก่งวาดรูปและชอบเล่นพิณ ตอนนี้มาเป็นชายารองของตำหนักอ๋องจิ้ง ในใจจึงดีใจไม่น้อย
แต่ตงฟางซวนเอ๋อที่เข้าตำหนักเหมือนกันนั้น ในใจกลับไม่ยอม มองจี้ซูเดินลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง ก็รู้สึกอิจฉาริษยา แต่ใบหน้ากลับแสดงออกมาด้วยความเคารพ พูดแสดงความยินดีต่อกันไม่กี่ประโยคก็เดินเข้าตำหนักพร้อมพ่อบ้านเลย ได้ข่าวว่าตำหนักหลักนั้นกู้อ้าวเวยอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เช่นนี้ เสียมารยาทนัก”
“ในตำหนักอ๋องจิ้งนั้น สิ่งที่ท่านอ๋องพูดก็คือมารยาท ตอนนี้คุณหนูตงฟางเข้ามาในตำหนักอ๋องจิ้ง หากท่านอ๋องไม่ยอมพูดว่าท่านคือชายารอง พวกบ่าวไพร่ต่างก็ไม่มีใครกล้าเรียกคุณว่าฮูหยิน” พ่อบ้านพูดอย่างโอหัง แม้แต่ในแววตายังมีการเหยียดเล็กน้อย
ตงฟางซวนเอ๋อกัดฟัน ไม่ถกเถียงกับเขา
ในตอนที่เดินไปทางห้องรองนั้น กลับเห็นอ๋องจงผิงกันร่มคันเดียวกับฉีหรัว ในอ้อมยังอุ้มแมวที่เปียกอยู่สองตัว ในตอนที่เจอนั้น ฉีหรัวอึ้งเล็กน้อย แล้วหลบไปพิงข้างๆ ซ่านเชียนหยวน พูดด้วยเสียงต่ำ “หากให้นางเห็นเข้า เกรงว่าจะเป็นการซ้ำเติม”
“ก็ช่วยไม่ได้ เสด็จอาเลือกเอง ไม่รักเดียวใจเดียว” ซ่านเชียนหยวนกัดฟันพูดเสียงแข็งในประโยคหลัง และขยับฉีหรัวเข้ามาในอ้อมมากขึ้น พร้อมกับขยับร่มเล็กน้อย “กอดแน่นหน่อย น้ำฝนมันเย็น”
ฉีหรัวหน้าแดง แล้วตีเบาๆ ที่ไหล่ของซ่านเชียนหยวน จากนั้นก็ก้มหน้าเบาๆ ไปทางตงฟางซวนเอ๋อและจี้ซูด้วยความเคารพ ตงฟางซวนเอ๋อยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับพระชายาอ๋องจงผิง วันมงคลนั้นตระกูลตงฟางต้องถวายของอันมีมูลค่าแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ ดีที่ได้สูตรยาจากหมิงเย็น ตอนนี้ตำหนักฉีของข้าค้าขายได้ยอดดีมาก” ฉีหรัวยิ้มแล้วพูด อีกทางก็ดึงเบาๆ ที่ชายเสื้อของซ่านเชียนหยวน แล้วพูดเสียงต่ำ “อีกอย่าง ข้ายังไม่สมรสกับเขา ข้ารับคำเรียกพระชายาอ๋องจงผิงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
พูดจบ ฉีหรัวจึงพาซ่านเชียนหยวนเดินออกไปเลยโดยไม่หันกลับมา
ตงฟางซวนเอ๋อสีหน้าซีด จี้ซูที่อยู่ข้างๆ กลับหัวเราะออกเสียง “ท่านพี่ทำความเข้าใจกับสถานะของพวกข้าให้เร็วจะดีกว่านะเจ้าคะ ตอนนี้มาถึงตำหนักอ๋องจิ้งไร้ซึ่งที่พึ่งพิง ข้าว่าพวกข้าทั้งสอง……”
“นี่พึ่งเข้าตำหนัก เจ้าก็จะหาคนร่วมแล้วหรือ อยากทำให้อ๋องจิ้งกริ้วโกรธสินะ” ตงฟางซวนเอ๋อไอเบาๆ เล็กน้อย แล้วรีบเดินตามฝีเท้าของพ่อบ้าน ไม่สนใจเลยว่าสีหน้าของหญิงด้านหลังจะเขียวอย่างไร
พ่อบ้านมองดูคุณหนูทั้งสอง หลังจากที่ส่งไปถึงตำหนัก จึงพูดด้วยเสียงต่ำ “ท่านอ๋องไม่ชอบให้คนไปรบกวน หากคุณหนูทั้งสองไม่มีการใดสามารถเดินเล่นรอบตำหนักได้ แต่ห้องสมุดและตำหนักหลักนั้นไปไม่ได้เชียวนะขอรับ”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น แบ่งสาวใช้สองสามคนเสร็จจึงเดินจากไป
ตงฟางซวนเอ๋อและจี้ซูต่างก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะถูกจัดให้อยู่ในตำหนักเดียวกัน ทั้งสองคนต่างพาคนของตนเองเดินเข้าไปในห้องสองห้อง ส่วนพ่อบ้านนั้นมาทูลเรื่องราวที่ห้องของซ่านจินจื๋อ ซ่านจินจื๋อหนังตากระตุกไม่หยุดเลย “ตำหนักอ๋องจิ้งคงจะวุ่นวายอีกแล้วสินะ”
“ข้าน้อยจะคอยดูคุณหนูทั้งสองดีๆ ขอรับ” พ่อบ้านก้มศีรษะแสดงความซื่อสัตย์
“ไม่เพียงแต่ดูแลพวกเขา แต่ต้องจำไว้ว่าต้องส่งยาไปให้ร้านยา และคนที่อยู่ตำหนักหลักก็ห้ามละเลย นอกจากประตูใหญ่ ก็ปล่อยพวกนางไปเถอะ” ซ่านจินจื๋อขยี้ศีรษะเบาๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้น กำลังคิดอยู่ว่าวันนี้จะไปที่ร้านยาเหย้าไหม
ไปเยี่ยมกู้อ้าวเวยนั้นคงดีกว่าเผชิญหน้ากับเรื่องวุ่นวายในตำหนักเยอะเลย
และฉีหรัวนั้นทิ้งสองอาหลานซ่านไปก่อน ถือโอกาสที่ซ่านเชียนหยวนไปหาซ่านจินจื๋อ ตนเองจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าไปที่ร้านยาเหย้า เห็นกู้อ้าวเวยต้มยาอยู่ที่ทางเดิน โม่ซานคอยเติมฟืนอยู่ข้างๆ ร้ายยาเหย้าที่เงียบมานานหลายปี ตอนนี้มีกลิ่นหอมของยาเพิ่มขึ้น ทำให้นางจามไปสองสามทีต่อกัน
“ยานี้เข้มไปหน่อย” ฉีหรัวเองก็ไปยกเก้าอี้มานั่งข้างๆ กู้อ้าวเวย
“ไม่เข้มไม่ได้ ยาที่ข้าซ่อนไว้ในนี้ตั้งแต่ตอนนั้น เน่าหมดเลย แล้วยังมีต้นพิษอีกสองต้น ถ้าไม่กำจัดกลิ่นสักหน่อย ดมไปแล้วก็ไม่ดี” กู้อ้าวเวยยื่นผ้าให้ฉีหรัว แล้วชี้ไปที่ผ้าบางๆ บนใบหน้าของตน
ฉีหรัวจึงเอามาปิดจมูกและปาก แล้วพูด “ตงฟางซวนเอ๋อและจี้ซูโดนส่งตัวมาแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าอ๋องจิ้ง……”
“มีอะไรที่ต้องกลัว? หากเขาไม่อยาก หญิงสองคนนั้นจะสามารถบังคับเขาหรือ….อุปส์……”
โม่ซานตาไว รีบปิดปากของนาง แล้วมองด้วยหน้าแดง “ยิ่งไร้สาระเข้าไปใหญ่แล้ว กลางวันแสกๆ เช่นนี้”
กู้อ้าวเวยโบกมือเล็กน้อย ให้โม่ซานปล่อยมือ นางจึงยิ้ม “ข้าก็แค่ล้อเล่น ตอนนี้เขาไปรับหญิงสาวมาสองคน หลังจากนี้อย่าคิดว่าจะได้แตะต้องข้าแม้แต่ปลายนิ้ว”
“เจ้ามีศักดิ์ศรีนัก” ฉีหรัวส่ายหน้า
“นี่เขาเรียกว่าคนเปลือยเท้าไม่กลัวคนมีรองเท้าใส่ ในเมื่อลูกสองคนของข้ามีพ่อแม่ของข้าคอยดูแล และคนรักของข้าก็ไปชอบคนอื่นแล้วเขาไม่ใจจดใจจ่อ ถึงข้าจะไปติดกับเอง เข้าไปเป็นตัวประกันในวัง หรือตายในเงื้อมมือของตนเอง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” กู้อ้าวเวยยิ้มออกเสียง แต่แววตาสีเทากลับเฉยเมย
ฉีหรัวสบตาโม่ซาน ทั้งสองทำได้เพียงไม่พูดหัวข้อนี้อีกต่อไป
รอให้ต้มยาเสร็จแล้ว กู้อ้าวเวยจึงตักหนึ่งถ้วยแล้วยกเก้าอี้ไปนั่งหน้าประตูอีกห้อง รอให้ดื่มหมดแล้วจึงถามฉีหรัว “เพียงแต่ว่าข้ายังไม่เคยพบเห็นอี้จื๋อ เลยรู้สึกไม่ยอมเท่านั้นแหละ”
นางไม่ใช่คนโลกนี้อยู่แล้ว ถึงจะไปแล้วก็แค่รู้สึกเสียดาย แต่ไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย
ฉีหรัวยักคิ้ว “เจ้าไม่รักษาชีวิตของตนเพียงนี้เชียวหรือ?”
“หากมีชีวิตอยู่แล้วเป็นการต่อรอง เจ้าจะรักษาหรือไม่?” กู้อ้าวเวยชี้ที่ศีรษะของตนเอง “ข้ามีแผลทั้งตัวยังสามารถมีชีวิตได้ถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพราะวิชารักษาคนหรือสมองหรอกนะ ถึงจะเปิดเผยความลับเรื่องไม่เจ็บไม่ตายนี้ แต่ตอนนี้ข้าก็กลายเป็นเป้าของทุกคน และฮ่องเต้ก็ไม่ลงมือกับข้าเสียที ก็เพื่อสูตรไม่เจ็บไม่ตายนี้ไม่ใช่หรือ”
แอบรู้สึกว่าคำพูดนี้มีความหมายอย่างอื่น ฉีหรัวขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ก็แค่อยากเข้าใจในเรื่องบางเรื่อง” กู้อ้าวเวยวางถ้วยยาเปล่าลงบนพื้น แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดมน พูดเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้จะฆ่าข้า แต่ตอนนี้กลับให้ข้าอยู่ ทางฮ่องเต้นั้นต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ทำให้เขาคิดว่าไม่เจ็บไม่ตายสามารถทำให้คนฟื้นคืนชีพ ถ้าเป็นเช่นนี้ หยูนซีต้องโดนเขาลักพาตัวไปแน่ๆ และเรื่องในอดีตต่างเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหลินเอ๋อร์ และตอนนี้ก็ไม่เกี่ยวกับองค์หญิงหลินเอ๋อร์ที่เสียไปแล้วจริงๆ หรือ?”
นางทำตาหยี ความทรงจำและข่าวพวกนั้นหมุนไปมาในสมองไม่หยุด “หากตระกูลตงฟางอยู่ที่ที่ทิ้งศพเพื่อทำงานให้ฮ่องเต้ งั้นแสดงว่าปัญญาชนที่ข้ารักนั้นต้องตายไปโดยมีอะไรบางอย่างแน่ และอีกอย่าง ข้าเองก็ไปที่ทิ้งศพ แต่กลับมีชีวิตไม่โดนฆ่าปิดปาก ที่กลับกันคือท่านพี่ยู่จือหายตัวไป และเบื้องหลังนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ฉีหรัวยังคงไม่เข้าใจ “เรื่องพวกนี้สามารถพิสูจน์อะไรได้”
“ในอดีตไม่ฆ่าข้าเพราะจะเหลือทางไว้ให้ตนเอง และสองสามเดือนก่อนจะฆ่าข้าเพราะอาจจะเป็นเพราะว่าเกิดเรื่องบางอย่างกับพี่สาวของยู่จือ เลยคิดว่าการฟื้นคืนชีพนั้นไม่มีความหวังแล้ว และตอนนี้เก็บข้าไว้ แล้วยังจะให้ข้าเข้าวัง ก็คือหาความหวังได้ใหม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าพี่สาวของยู่จือกำลังตกอยู่ในอันตราย” กู้อ้าวเวยค่อยๆ หลับตา เรื่องหลายๆ อย่างค่อยๆ ชัดเจน “ตระกูลตงฟางหาเรื่องมาโดยตลอด แต่พวกเขาก็แค่ปกป้องตนเอง เป็นเพราะว่าพวกข้านั้นคิดมากไป”
“แล้วองค์หญิงหลินเอ๋อร์ล่ะ?” โม่ซานคิดไม่ออกว่าคนหนึ่งคนเสียไปแล้วจะทำอะไรได้
“ทำไมโลงศพขององค์หญิงหลินเอ๋อร์นั้นว่างเปล่า? ใครมั่นใจได้ว่านางเสียไปแล้วจริง? และพี่สาวของยู่จือนั้นเป็นคนตระกูลยู่ ทำไมฮ่องเต้ถึงเชื่อนางแล้วพานางไป?” กู้อ้าวเวยยิ้มที่มุมปาก “บางทีอาจจะเป็นพี่สาวของยู่จือช่วยองค์หญิงหลินเอ๋อร์ไว้ก็เป็นไปได้