บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 922
บทที่ 922 ใจเดียวกัน
“ยังไงข้าก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”
กู้อ้าวเวยกินขนมที่เหลืออยู่โยนเข้าปากไป เมื่อได้ยินฉีหรัวเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นทุกอย่าง ในใจของนางก็มีคำสองคำโผล่ขึ้นมา —— เวรกรรม
นางเคยคิดที่จะหนีไป หนีไปให้ไกลไปทำอะไรที่อยากจะทำ
แต่ว่าชะตาชีวิตมันเล่นตลก ผู้ชายที่ทอดทิ้งนางในวันนั้นที่กลับตัว การกลับมาคืนดีในภายหลังทำให้นางรู้สึกโชคดีที่โชคชะตาเล่นตลก พยายามค้นหาตัวเองแล้วก็ทำร้ายซึ่งกันและกัน คิดร้ายต่อกันแต่ก็เปิดเผย แทบจะเป็นเรื่องปกติที่ถูกคนอื่นยั่วยุ
“หากเจ้าหนีรอด ตอนนี้ก็คงไม่กลับมาเพราะแค่ลางสังหรณ์หรอก” ฉีหรัวปากแห้งมาก นางยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าช่วยข้าอีกเรื่องได้ไหม” กู้อ้าวเวยรีบเติมน้ำชาให้นาง ปลายตาโค้งเชียว
ฉีหรัวมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเลย แต่ก็ยังรับปาก
เมื่อกุ่ยเม่ยกับโม่ซานกลับมา ฉีหรัวหยิบหนังสือมานั่งอ่านอยู่หน้าประตูห้องของกู้อ้าวเวย นางทำท่าทางให้พวกเขาห้ามส่งเสียง ทั้งสองก็เลยกลับออกไป วันนี้ออกไปอย่างรีบร้อนเลยไม่ได้เบาะแสอะไร
ตอนกลางดึก ฝนเริ่มตกลงมาปรอย ๆ มีเงา ๆ หนึ่งแอบออกไปทางประตูหลัง หลบทหารที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่ อาศัยความทรงจำคลำไปถึงประตูหลังของจวนอ๋องจิ้ง แล้วไปที่ห้องเก็บฟืนที่ฉีหรัวบอก แล้วไปเอาตะขอมาปีนขึ้นไปบนกำแพง แล้วก็หล่นลงมาบนกองหญ้า
บ่าวไพร่ที่เฝ้าประตูเหมือนตกใจตื่น เขาตะโกนขึ้นมาว่า “ใคร”
เขาถือโคมไฟเดินมาส่องแต่ก็ไม่เห็นเงาของใครเลย เห็นแค่เสี่ยวฮัวที่วิ่งมาจากเรือนมาเล่นหญ้าอยู่ บ่าวไพร่โล่งใจ เลยจับเสี่ยวฮัวมาเช็ดน้ำที่เปื้อนบนตัวออก “เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง หากพรุ่งนี้คุณหนูกู้ไม่เจอเจ้า จะต้องตามหาตัวเจ้าทั่วเรือนแน่”
เสียงของบ่าวไพร่เหมือนไกลออกไปแล้ว กู้อ้าวเวยออกมาจากกองหญ้า ตอนนี้ด้านหน้าเหมือนจะมีแค่ความมืดเท่านั้น นางไม่มีความทรงของเรือนด้านหลังนี้เลย นางเงยหน้ามองไปที่ต้นไม้ใหญ่ น่าเสียดายสายฝนยามค่ำคืนมันทิ้งความมืดดำเอาไว้
นางคลำตามกำแพงไปที่ทางเดิน หลบบ่าวไพร่ที่เข้าเวรเฝ้ายามไปสองคน
แต่นางก็ยังไม่เจอเงาของต้นไม้ นางรู้สึกร้อนใจมาก
ขณะที่นางตัดสินใจว่าจะกลับ ก็เห็นสาวใช้คนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ นางกัดฟันแล้วถอยดันประตูบานหนึ่ง แล้วหลบเข้าไปด้านใน นางมองลอดช่องประตูออกมาเห็นสาวใช้เลี้ยวแล้วหายตัวไป นางตบหน้าอกด้วยความโล่งใจ
นางยืนพิงประตูอยู่ครู่หนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมาฟังเสียงฝนที่เริ่มเบาลง
ส่วนเงาสีดำด้านหน้าทำให้นางเหม่อลอย นางนึกถึงในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส หยินเชี่ยวกับชิงต้ายเคยนั่งอยู่ข้าง ๆ นาง ที่เท้าของนางมันเป็นรากไม้ที่คดเคี้ยวทะลุหินอ่อนขึ้นมา ด้านบนหัวมีแต่กิ่งก้านของต้นไม้ หากโชคดีก็จะมีใบไม้ลอยจากเรือนอื่นลอยผ่านมาด้วย
ความทรงจำเหล่านี้มันเหมือนตอนที่ดอกไม้บาน แต่ตรงหน้ามันยังคงมืดดำ
นางค่อย ๆ เดินต่อไป ที่เท้าเต็มไปด้วยหินกระเบื้องใหม่ แต่ว่าทางเดินมันก็ไม่ได้เรียบ นางเดินผ่านเรือนไปหยุดที่ใต้ต้นไม้อย่างระมัดระวัง ด้านข้างมีโต๊ะกับเก้าอี้ที่ทำจากหิน คนเก่าคนแก่ไม่อยู่แล้ว ตอนนี้เหลือแค่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เดิมคิดว่าที่เจ้าทำอะไรให้มันซับซ้อนขนาดนี้ เพื่อจะลอบทำร้ายข้าซะอีก”
กู้อ้าวเวยสะดุ้งเบา ๆ แล้วหันกลับไป แต่ก็ถูกเสื้อคลุมบดบังสายตาทั้งหมด ความอบอุ่นจากมือกำลังจับมือของนางอยู่ เขาจูงมือนางเดินออกไป แล้วพูดว่า “เจ้าว่างลงเมื่อไหร่ ข้าคงจะไปตายได้สักที”
“ใครเขาพูดถึงความตายง่ายแบบนี้กัน” กู้อ้าวเวยดึงเสื้อคลุมหนาที่คลุมหัวอยู่ลงมา
“ก็เรียนรู้จากเจ้านั่นแหละ” ซ่านจินจื๋อน้ำเสียงเหมือนจะโมโหนิดหน่อย จนกระทั่งเดินไปถึงใต้หลังคา ซ่านจินจื๋อถึงได้หยิบเสื้อคลุมลงมาคลุมไหล่ให้นาง แล้วก็ปัดน้ำที่อยู่บนผมด้านข้างออกไป
ซ่านจินจื๋อจับไปที่มุมเสื้อคลุม นางเงยหน้าขึ้นมามองเขา “เจ้าสั่งฆ่าชิงต้ายเหรอ?”
“ใช่” ซ่านจินจื๋อพยักหน้า แล้วเก็บมือกลับมา
เมื่อได้ยินเขารับปาก ในใจของกู้อ้าวเวยเหมือนถูกรัดแน่น
“เจ้าไม่อธิบายหน่อยเหรอ?”
“ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แล้ว คิดว่าคงมีคนเล่าให้เจ้าฟังทั้งหมดแล้ว” ซ่านจินจื๋อถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ เขานึกถึงกระดูกมากมายที่ฝังอยู่ใต้ต้นไม้เหล่านั้น เขาพูดว่า “ข้ายังทำเรื่องที่เจ้าเองก็คิดไม่ถึงอีกมากมายเลย”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว” กู้อ้าวเวยเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว แล้วดึงเสื้อของเขาเอาไว้ “เพราะอย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้โกหกข้า”
ซ่านจินจื๋อตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาจับมือของนางเอาไว้ “ข้าคิดว่าเจ้า ……”
“เจ้าไม่เหมือนกับอ๋องจิ้งในความทรงจำของข้าเมื่อก่อนแล้ว แต่เจ้าฆ่าชิงต้าย เจ้าก็ควรชดใช้ให้นาง” กู้อ้าวเวยพูด แต่นางมองเห็นหน้าของซ่านจินจื๋อไม่ชัด นางยกมือขึ้นมาลูบไปที่ปากของนาง จากนั้นก็เขย่งตัวขึ้นไปจูบเขา
ยิ่งอยู่ยิ่งไม่เข้าใจเจ้าเลย
ซ่านจินจื๋อเห็นดวงตาที่ขาวเทามันเหมือนเลือนราง เขาโค้งตัวลงมาเพื่อจูบไปที่ปลายจมูกของนาง สองมือของเขาจับไปที่หน้าของนาง “อยู่ในร้ายยาเหย้าดีดี รอจัดการเรื่องทุกอย่างแล้ว …….”
“ข้าอยากไปที่สุสาน ต่อให้ข้าอยู่ร้ายยาเหย้ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไร” กู้อ้าวเวยรีบจับมือของเขาเอาไว้ แล้วเงยหน้ามองเขา “อีกอย่าง ข้าคนเดียวที่ลวนลามได้ แต่เจ้าไม่ได้”
“เจ้านี่บ้าอำนาจมากกว่าข้าอีกนะ” ซ่านจินจื๋อยอมปล่อยให้นางจับมือของเขาเอาไว้
“ก็เรียนรู้มาจากเจ้าไง” กู้อ้าวเวยตบไปที่หลังมือของเขา สายตาเหมือนกำลังยิ้ม “กุ่ยเม่ยกับโม่ซานไม่รู้ว่าข้าออกมา ไปกลับตอนนี้จะอยู่ถึงเมื่อไหร่กัน?”
“เจ้านี่ไม่ห่วงตัวเองเลย” ซ่านจินจื๋อหน้านิ่งแล้วบีบไปที่แก้มของนาง
“ก็ต้องเปลี่ยนไปตามสถานการณ์สิ” กู้อ้าวเวยพูดอย่างมั่นใจ
ปวดหัวขึ้นมาทันที ซ่านจินจื๋อเลยเก็บรอยยิ้มไป ท่ามกลางเสียงร้องที่ตกใจของนางเขาแบกนางขึ้นหลังไป แล้วพูดว่า “เอาเสื้อคลุมมันปิดหัวไว้”
กู้อ้าวเวยรีบดึงเสื้อคลุมขึ้นมาอีกหน่อย เลยคลุมหัวของซ่านจินจื๋อไปด้วย
แบกนางเอาไว้แบบนี้เขารู้สึกว่ามันเบามาก หัวของซ่านจินจื๋อตอนนี้กำลังคิดว่าพรุ่งนี้จะพานางไปกินอะไร จากนั้นก็ดีดตัวขึ้นไปบนหลังคา แล้วก็ออกจากจวนอ๋องจิ้งไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อลงมาบนถนนอย่างนิ่งแล้ว กู้อ้าวเวยกลับกอดคอของเขาเอาไว้ “ประตูเมืองปิดอยู่นะ เหมือนจะออกไปไม่ได้”
ซ่านจินจื๋อเดินไม่ค่อยนิ่งไปหลายก้าว เขาตบไปที่เอวของนางแล้วพูดว่า “ข้ามีวิธี”
“เจ้าสนิทกับทหารเฝ้าประตูหรือไง?” กู้อ้าวเวยถาม
“ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ข้าสนับสนุนขึ้นมาทั้งนั้น ภักดีไม่มีเปลี่ยน” ซ่านจินจื๋อพูดเสียงเข้ม แล้วพูดต่อว่า “ยัยไง่หงไปหาหลานเอ๋อร์ตั้งหลายครั้ง เหมือนจะเจอว่าพวกทหารเฝ้าประตูเมืองตอนกลางวันหลายคนมือเท้าไม่ค่อยจะสะอาดเท่าไหร่ ข้าส่งคนไปสืบแล้ว”
“เจ้าทำอะไรไม่ต้องให้คนต้องห่วงเลย” กู้อ้าวเวยถอนหายใจ แล้วก็ตีเขา “คนตายที่สุสานนั่นมันค่อนข้างเยอะ วันนี้ข้า ……”
“มีบางส่วนถูกส่งมาจากหมู่บ้านประมง ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นนักโทษที่ออกมาจากคุก” ซ่านจินจื๋อตอบอย่างเรียบง่ายเหมือนสายน้ำไหล เมื่อคนที่อยู่บนหลังไม่มีเสียงตอบรับ เขาก็พูดว่า “ดูท่าทางเราจะใจตรงกันเลยนะ”
“ท่านอ๋องจิ้งเดี๋ยวนี้หัดเล่นคำด้วยเหรอเนี้ย?” กู้อ้าวเวยเบะปากแบบไม่พอใจ แต่ในใจของนางกลับสบายใจขึ้นมาก
อย่างน้อยบนโลกใบนี้ ก็ยังมีคนที่มีความคิดเหมือนกับนางอยู่