บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 949
บทที่ 949 พิษเถ่หลิงตังปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“กุ่ยเม่ย พวกเราไปที่สุสานร้างอีกครั้งเถอะ”
กู้อ้าวเวยพูดขึ้นขณะที่อยู่ในรถม้า
“ท่านอ๋องเคยพาคนไปดูมาแล้วไม่ใช่หรอ?”กุ่ยเม่ยดึงเชือกที่กำลังบังคับม้าให้ช้าลง แล้วทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้ข้ารับใช้รอบๆหยุดลง
“สิ่งที่ข้าอยากได้ไม่ใช่ศพ แต่เป็นกา”กู้อ้าวเวยเลิกผ้าม่านขึ้น แล้วยิ้มตาหยีมองไปทางกุ่ยเม่ย“ไม่ไปก็ได้ เจ้าไปช่วยข้าจับกลับมาสองตัว ขอเพียงแค่รู้อาการของกาพวกนั้น ก็น่าจะพอรู้ได้ว่าพวกเขาใช้ยาอะไรไปบ้าง”
ตาของกุ่ยเม่ยกระตุกเบาๆ เด็กสองคนที่อยู่ด้านหลังตอนนี้พิงอยู่ด้านข้างของโม่ซาน
ในโลกใบนี้มีสิ่งของที่กู้อ้าวเวยไม่กลัวหรือไม่!
พอคิดได้ดังนั้น กุ่ยเม่ยก็มองไปที่พวกเขาอย่างยอมรับชะตากรรม พาคนสองคนไปจับกาแถวนั้นกลับมา
พอหลังจากที่กลับขึ้นมาบนรถม้า กู้อ้าวเวยก็ยิ้มหน้าบาน นวดคลึงคิ้วเบาๆ แล้วพูดกับโม่ซานไปว่า“ตอนที่เจ้าอยู่หมู่บ้านประมงพบเหตุการณ์ประหลาดอะไรหรือไม่?”
“ไม่พบอะไรเลย เริ่มเข้าไปในหมู่บ้านประมงทุกอย่างดูปกติดี การใช้แหจับปลาก็ดูมีความชำนาญ สิ่งเดียวที่รู้สึกแปลกประหลาดนั่นก็คือ เหล่าผู้หญิงที่อยู่หมู่บ้านได้พูดมากเหมือนที่เคยเจอ ทำอะไรระมัดระวังรอบคอบ……”โม่ซานจับไปที่ศีรษะที่รู้สึกปวด แล้วนึกขึ้นมาได้ว่า“แต่เหมือนจะอะไรบางอย่างแปลกๆนะ”
“ตรงไหนที่แปลก?”
“ตอนนี้นึกขึ้นมาได้ ในหมู่บ้านประมงนั่นเหมือนจะไม่มีกลิ่นคาวปลาอะไรเลย ปลาตากแห้งก็ไม่มี”โม่ซานเกาไปที่จมูก ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองรึเปล่า
ในหมู่บ้านประมงไม่มีกลิ่นคาวปลาแม้แต่น้อย นี่เป็นปัญหาอยู่แล้ว
เพียงแต่คนที่เดินทางผ่านปกติก็น่าจะไม่ได้สังเกตถึงจุดนี้ กู้อ้าวเวยรู้ดีว่าปลาในหมู่บ้านประมงจะถูกส่งตรงไปยังหมู่ตึก ละแวกหมู่บ้านประมงไม่มีไร่นา ปกติก็ไม่มีใครไปตลาด ถ้าอย่างนั้นถ้าหากเสบียงของพวกเขาได้มาจากหมู่ตึกล่ะ อย่างนั้นต้องมีคนขนส่งเสบียงทางน้ำอย่างแน่นอน
“สายน้ำของหมู่บ้านประมงไปทะลุที่ไหน?มีที่ไหนมีปัญหาหรือไม่?”กู้อ้าวเวยถาม
โม่ซานเอียงศีรษะนึกไปครู่หนึ่ง“มีสถานที่แห่งหนึ่งจริงๆนั่นแหละ สถานที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าและอ๋องจิ้งด้วย”
“ที่ไหน?”
“บ้านริมน้ำโล่เสีย”โม่ซานมองไปที่นางอย่างตั้งใจ เพื่อไม่ให้นางลืมเรื่องนี้ ยังเล่าเรื่องทุกอย่างให้นางฟังทั้งหมด รวมไปถึงพวกขุนนางที่กลับเข้ารับตำแหน่งพวกนั้นอีก เรื่องการขนส่งยาพิษ
พอพูดเรื่องเก่าจบ กุ่ยเม่ยก็หิ้วกรงนกกลับมา ในกรงมีกาที่ตัวใหญ่กว่าปกติที่เคยเห็น ขนจางไร้ความเงา ปีกก็มีความหดตัว
“ข้าไปดูกาพวกนั้นก่อนนะ”ในสมองของกู้อ้าวเวยนึกถึงเรื่องของบ้านริมน้ำโล่เสีย อีกด้านหนึ่งก็จิ้มไปที่หัวของกา ลูบจับขนของมันแล้วหยิบมาวางบนผ้าเช็ดหน้า เอาน้ำแตะลงไปเล็กน้อย
ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม นางนำผ้าเช็ดหน้าวางไว้ในกล่องไม้ แล้วพูดกับกุ่ยเม่ยไปว่า“ส่งคนไปจัดการกาพวกนี้ซะ แล้วหาที่ไปเผาทิ้ง สุสานร้างนั่นก็ให้คนไปจัดการเก็บกวาดซะ”
“มีพิษหรอ?”
“มันเหมือนกับพิษเถ่หลิงตังที่ข้าเคยโดนในตอนนั้นมาก อย่างน้อยก็ขาดยาไปสองตัว”กู้อ้าวเวยรีบจัดการล้างมือตัวเองให้สะอาด แล้วพูดขึ้นมาว่า“ก่อนหน้านั้นที่ท่านปู่ยังอยู่ พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าพิษเถ่หลิงตังมีความเกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะ มาวันนี้เกรงว่าอยากจะหาประโยชน์จากการถอนพิษของพิษเถ่หลิงตัง”
“พิษชนิดนี้สามารถถอนได้อย่างนั้นหรอ?”โม่ซานปิดหูเด็กสองคนที่อยู่ข้างๆ
“วิธีถอนพิษน่ะมันมีอยู่แล้ว แต่พวกเขายังใส่ยาพิษประหลาดๆเพิ่มลงไปอีก กลับกันมันทำให้ไกลจากสูตรยายิ่งอยู่ยิ่งไกลมากยิ่งขึ้น ถ้าหากเป็นการวางยาพิษ คนที่ร่างกายแข็งแรงยังสามารถอดทนได้อีกอย่างน้อยครึ่งเดือน คนที่ร่างกายอ่อนแอหน่อยผ่านไปไม่กี่วันก็จะต้องตาย”กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วเป็นปม
ตอนนั้นที่พิษเถ่หลิงตังสามารถอยู่ในร่างกายของนางได้นานขนาดนั้น นั่นเป็นเพราะว่ามียาสองตัวที่ช่วยให้ฤทธิ์ของยาพิษกระจายช้าลง ยังมียาสมุนไพรที่ต้มดื่มอยู่ยังต้องเพิ่มตัวยาธรรมดาไปอีกเล็กน้อย ถึงจะสามารถทำให้พิษค่อยๆสลายไปได้
พอได้สติก็หันไปมองเด็กทั้งสองคน กู้อ้าวเวยถอนหายใจดังเห้อ“ถ้าหากรู้ว่าตอนนั้นจะเป็นเช่นนี้ ข้าก็น่าจะบอกเรื่องยาพิษกับทุกคน……”
“ถ้าหากเจ้านำสูตรยานี่ออกมา พอถึงขั้นเป็นอมตะ สุดท้ายต้องมีคนตายนะ”กุ่ยเม่ยนำกล่องยาที่นางใช้เมื่อครู่เอากลับมา เล่นอยู่ในมือ“คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ต่างหากที่……”
“ถ้าหากเขาไม่ใช่พี่ชายของซ่านจินจื๋อ หวังว่าเขาจะสามารถนอนไปจนถึงชาติหน้าได้”สุดท้ายกู้อ้าวเวยยังคงถอนหายใจอย่างหนัก กุ่ยเม่ยกับโม่ซานมองเห็นนัยน์ตาของนางมีความอาฆาตแวบผ่านนัยน์ตาไป
ถ้าหากซูพ่านเอ๋ออยู่ที่นี่ ต้องสังเกตเห็นสายตาของนางเป็นแน่ เป็นเหมือนตอนที่นางตัดเส้นเอ็นตรงข้อเท้าของกู้อ้าวเวยไม่มีผิด มีดเล็กๆที่เหน็บอยู่ตรงเอวของนางมาอยู่ในมือของนาง สุดท้ายมาตกอยู่บนฝ่ามือ“ถึงเวลานั้นค่อยดูเถอะ”
โม่ซานกลืนน้ำลายไปหนึ่งเอื๊อก
แต่กู้อ้าวเวยผลักกุ่ยเม่ยไปบังคับรถม้า
ตลอดทางที่มายังเมืองเทียนเหยียนไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ซ่านจินจื๋อได้พูดกับโม่อีแล้ว ว่าให้พวกเขาใช้ข้ออ้างว่าน้องสาวได้รับบาดเจ็บส่งเข้ามาในเมืองเทียนเหยียน
โม่อีขมวดคิ้วเป็นปม นั่งมองดุน้องสาวที่นอนได้รับบาดเจ็บอยู่ภายในรถม้า“ถ้าพี่สาวเจ้าถามขึ้นมาล่ะ?”
โม่ซานคิ้วก็ขมวดรวมกองอยู่ที่เดียวกัน ตั้งใจวิเคราะห์ปัญหานี้อย่างจริงจัง
มองดูพี่น้องทั้งสองสีหน้าวิตกกังวล กุ่ยเม่ยก็นึกถึงตอนที่ตัวเองเคยกังวลเรื่องของกู้อ้าวเวย จึงอดที่จะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ ถามกู้อ้าวเวยที่อยู่ข้างๆไปว่า“จะไปทานอะไรที่ร้านอาหารหน่อยไหม?”
“ไม่หิว”กู้อ้าวเวยนานๆจะพูดออกมา
สายตาของกุ่ยเม่ยเคร่งขรึมลงไปเท่าตัว เขาพินิจพิเคราะห์ไปที่ร่างกายของนาง สุดท้ายก็จับไปที่มือที่กุมท้องน้อยของตัวเอง แล้วพูดขึ้นมาว่า“รู้สึกไม่สบายที่ไหนใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นอะไรหรอก ข้าอาจจะได้รับยาพิษ”กู้อ้าวเวยดึงมือกลับ สีหน้าซีดลงไปมาก แต่ถือได้ว่าร่างกายไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก
กุ่ยเม่ยโล่งอก รีบบังคับรถม้าไปที่จวนของโม่อี จางเหยียงซานรออยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว พอเห็นกู้อ้าวเวยไม่สบายก็รีบลากคนเข้ามา ตำหนินางคชต่อหน้าทุกคนอย่างรุนแรง“เจ้าพึ่งรับยาไปหมาดๆ ไม่ทันไรก็ไปหายาพิษ เจ้าคิดว่าเจ้ามีชีวิตนานเกินไปใช่ไหม หรือว่าอยากให้มีคนเป็นห่วงเจ้าเพิ่มอีกห้ะ”
นางนางกดคออยู่บนเก้าอี้ กู้อ้าวเวยรู้สึกได้ถึงชีวิตนี้ไม่เคยได้รับการตำหนิอะไรขนาดนี้มาก่อน ทุกอย่างปรากฏในปีนี้ทั้งหมดแล้ว นางแกว่งเท้าไปมาอย่างไม่กล้าตอบโต้ ยังคงมีจางเหยียงซานที่รับหน้าที่จัดยาที่ขมและไม่อาจกลืนลงท้องได้กรอกลงไปที่ปากนางทั้งหมด ถึงกุ่ยเม่ยจะคิ้วขมวดก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ท่าทางของนางเหมือนโดยพวกเจ้ารังแกเลย”โม่ซานนอนหัวเราะอยู่บนเตียง
“นี่เป็นยาของเจ้า”โม่อีนำยาที่สีดำทะมึนไปวางไว้ที่ตรงหน้าของนาง โม่ซานรีบหันไปมองกุ่ยเม่ย แต่กุ่ยเม่ยกลับเกาเบาๆที่ใบหน้า เดินหนีออกไปจากห้องท่ามกลางสายตาของหญิงสาวทั้งคู่ที่มองมา“ข้าจะไปรายงานข่าวกับท่านอ๋อง”
กู้อ้าวเวยกลอกตามองบน แต่ก็ฮึดดื่มยาจนหมดไปในคราวเดียว
เสียงปึ้งดังขึ้นพร้อมกับถ้วยยาที่ขาวสะอาดเกลี้ยงถูกกระแทกลงกับโต๊ะ กู้อ้าวเวยเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“พิษของเด็กสองคนนั้น เจ้าน่าจะมีวิธีถินได้ใช่ไหม”
“มีสิ แต่ตอนนี้ข้ายังมีเรื่องหนึ่งต้องบอกเจ้าก่อน”จางเหยียงซานวางครกบดยาในมือลง แล้วมองไปที่กู้อ้าวเวย“ใต้เท้าเมิ่งบอกว่าเขาอยู่ในวัง ได้ยินมาว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อองค์หญิงหลิงเอ๋อร์”