บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 983
บทที่ 983 พิษในครรภ์
สียาในแก้วน้ำเปลี่ยนสี กู้อ้าวเวยมองดูความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในแก้วอย่างตั้งใจ
หายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง แล้วก็เอายาถอนพิษของพิษหลิงตังใส่เข้าไปภายใต้สายตาของจางเหยียงซาน สีนั้นไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด จางเหยียงซานไม่เข้าใจความหมายนั้น เห็นสีหน้ากู้อ้าวเวยเคร่งขรึมลงไปมาก เอาแก้วนั้นไปวางอีกข้างด้วยแววตาเคร่งเครียด แล้วยกมือกุมขมับ
“นี่หมายความว่ายังไง”จางเหยียงซานมองดูสีในแก้วใบนั้นที่ยิ่งอยู่เข้มอย่างไม่เข้าใจ จึงหยิบเอาเข็มเงินจุ่มลงไป เข็มเงินเปลี่ยนกลายเป็นสีดำม่วงทันที
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยตรวจพบว่านางถูกพิษหรือป่วยเลย ทุกอย่างเหมือนเป็นธรรมชาติ”กู้อ้าวเวยค่อยๆถอนหายใจ ยื่นมือขยับแก้วนี้ไปไกลหน่อย สั่งหลี่ซินที่อยู่ด้านนอกว่า “ไปที่เรือนกู้ซวง แล้วเอาเลือดมาหน่อย
ซ่านจินจื๋อที่พักผ่อนอยู่ด้านข้างเงยหัวขึ้นมาพูดว่า “พบอะไรหรือ?”
“พิษนี้ได้มาจากพ่อแม่ของพวกนาง จึงไม่สามารถตรวจเจอได้ง่ายๆ หมิ่นเอ๋อที่เป็นบ้าก็ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด แต่ตอนเด็กมีคนเคยป้อนยาบางอย่างเพื่อถอนพิษ แต่เสียดายพิษนี้ได้กลายพันธ์ในร่างกายของแม่แล้ว ยาถอนพิษจึงใช้ไม่ได้ผล กลับทำให้กลายเป็นบ้า”กู้อ้าวเวยพยุงโต๊ะลุกขึ้นยืน มือกำหมัดแน่น “ตอนนี้ดูแล้ว น่าจะเป็นพิษที่ได้มาจากร่างกายแม่ ปล่อยทิ้งมาตั้งนาน ถึงตอนนี้จะอยากถอนพิษ ก็เป็นเรื่องยาก
กระดาษจดหมายในมือซ่านจินจื๋อถูกกำขนยับ
สักพัก หลี่ซินก็เอาเลือดของกู้ซวงมา
กู้อ้าวเวยใช้วิธีก่อนหน้านี้ทดลอง แล้วสีก็เปลี่ยนจริงๆ แต่พิษไม่ลึกเท่าพิษที่อยู่ในร่างกายหมิ่นเอ๋อ
จางเหยียงซานกำลังแปลกใจในวิธีการตรวจพิษแบบนี้ ซ่านจินจื๋อสั่งคนไปตามหลิงเอ๋อร์มา สีหน้ากู้อ้าวเวยเคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่านางตาบอดมาแต่กำเนิด หรือเป็นเพราะพิษในร่างกายแม่ของนาง”
“หากเป็นพิษ มีวิธีถอนพิษได้ไหม?”ซ่านจินจื๋อก็ไม่ยอมหยุด
“ลองดูก่อนก็ได้ แต่อย่าคาดหวังมาก นี่เป็นพิษที่ได้มาตั้งแต่กำเนิด”กู้อ้าวเวยค่อยๆส่ายหัว ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเซียวเซียวกับหยินซี่งดังมาทางด้านหน้าประตู นางมองดูไกลๆผ่านหน้าต่าง กำลังเห็นหมิ่นเอ๋อถูกเด็กสองคนล้อมอยู่ตรงกลาง คนที่ในมือถือลูกอมยกมือขึ้นสูงๆ เล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน
ส่วนหลิงเอ๋อร์ก็เดินตามสาวใช้มาถึงประตูอย่างช้าๆ ได้ยินเสียงหัวเราะของหมิ่นเอ๋อ ก็พูดขึ้นว่า “หมิ่นเอ๋อไม่รู้เรื่องอะไร ให้ข้าเล่าดีกว่า”
สาวใช้ประคองนางนั่งลงด้านข้าง หลี่ซินสั่งคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปแต่แรกแล้ว ให้พวกเขาได้คุยกันอย่างสะดวก
หลิงเอ๋อร์ได้ยินเสียงประตูที่ถูกปิดลง แล้วค่อยพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “เสด็จอา ตอนนั้นตอนที่ข้าไปอยู่กับอาจารย์ของท่านก็เพราะต้องการหาถุงน้ำดีหงส์กับเลือดมังกร นี่เป็นคำสั่งของเสด็จพ่อ”
พูดออกมาตรงๆเลยแบบนี้ทำให้ซ่านจินจื๋ออึ้งไป “ตอนนั้นเสด็จพี่ยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้”
“ตอนนั้นเสด็จปู่ป่วยหนักจนจากไป เสด็จอาท่านไม่รู้สึกแปลกหรือ?” หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ตอนนั้นข้ายังเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไร แต่รู้ว่าหมิ่นเอ๋อเป็นน้องสาวแท้ๆของข้า หากข้าหาถุงน้ำดีหงส์กับเลือดมังกรมาไม่ได้ หมิ่นเอ๋ออาจต้องทุกข์ทรมานอยู่ในวัง ข้าจึงต้องรับปาก และก่อนที่ข้าจะไป เสด็จพ่อก็ลงมือกับเสด็จปู่แล้ว”
เสด็จปู่ที่หลิงเอ๋อร์พูดถึง ก็คือฮ่องเต้องค์ก่อน
เห็นทั้งสองคนเงียบไม่พูดอะไร หลิงเอ๋อร์จึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้นออกมา
“ตอนนั้นเสด็จปู่ฟังคำพูดใส่ร้าย คิดว่าเสด็จอาท่านเป็นดาวเคราะห์ร้าย โหดเหี้ยมยากที่จะควบคุม จึงได้มีราชโองการลับให้เสด็จพ่อลงมือ ในราชการลับบอกว่าขอเพียงเสด็จพ่อฆ่าท่านแล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ต่อไปก็จะเป็นของเขา เสด็จพ่อไม่ยอม เสด็จย่าจึงออกความคิดเห็นว่า ให้วางยาพิษในอาหารของเสด็จปู่”พูดถึงตรงนี้แล้ว หลิงเอ๋อร์กำมือแน่น แล้วก็พูดต่อว่า “ตอนนั้นข้าคิดที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกเสด็จปู่ จึงถูกเสด็จพ่อไล่ไปตามหาถุงน้ำดีหงส์กับเลือดมังกร….”
“บนเขานั่นไม่ใช่สถานที่ที่ถุงน้ำดีหงส์กับเลือดมังกรสามารถเจริญเติบโต” กู้อ้าวเวยยิ่งไม่เข้าใจ “ต่อให้เจ้าไป แล้วจะหาเจอได้อย่างไร?”
ถามถึงตรงนี้ ท่าทีหลิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไป เอียงหัวครุ่นคิดอยู่แปบหนึ่ง แล้วค่อยเม้นปากพูดขึ้นว่า “ในมืออาจารย์ของเสด็จอามี ตอนนั้นเพื่อช่วยชีวิตหมิ่นเอ๋อ จึงต้องขโมยออกมาถุงน้ำดีหงส์ แต่ข้าหาเลือดมังกรไม่เจอ…..”
ที่แท้ถุงน้ำดีหงส์ในตอนนั้นถูกขโมยไป
เป็นอย่างที่กู้อ้าวเวยคิดไว้ ซ่านจินจื๋อที่อยู่ด้านข้างกลับยิ่งขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ในมืออาจารย์จะมีสิ่งของนี้ได้อย่างไร?”
ในความทรงจำของเขา อาจารย์เป็นคนยุทธภพที่รักอิสระคนหนึ่ง วรายุทธก็ไม่ได้นับว่าดีที่สุด รูปร่างหน้าตาฐานะทางครอบครัวก็ธรรมดา ส่วนถุงน้ำดีหงส์กับเลือดมังกรนี้ได้มาจากไหน
“เสด็จอาไม่รู้เรื่องมาตลอดหรือ?” หลิงเอ๋อร์พูดออกมาอย่างตกใจ
“รู้เรื่องอะไร?”
“อาจารย์และอาจารย์หญิงของเสด็จอาไม่ใช่เสด็จย่าเป็นคนเลือก แต่เป็นท่านหญิงตระกูลหยุนที่อยู่ข้างกายเสด็จปู่เป็นคนเลือก อาจารย์และอาจารย์หญิงของท่านกับท่านหญิงตระกูลหยุนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกัน ตอนที่ท่านคลอด ก็เป็นนางที่ใส่ร้ายว่าท่านเป็นดาวเคราะห์ร้าย ต้องส่งไปปราบปรามสิ่งชั่วร้ายที่นั่น ไม่ใช่ชินเทียนเจียนพยากรณ์” หลิงเอ๋อร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ กลับพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันหมด เสด็จอาไม่รู้เรื่องมาตลอดหรือ?”
เป็นท่านหญิงตระกูลหยุนอีกแล้ว?
ในใจกู้อ้าวเวยแอบนับอายุ หากทุกราชวงศ์มีการส่งท่านหญิงตระกูลหยุนมา บวกกับการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ที่รวดเร็ว ประมาณสิบห้าปีก็จะต้องมีการส่งท่านหญิงตระกูลหยุน งั้นท่านหญิงตระกูลหยุนคนนี้ก็น่าจะเป็นคนก่อนท่านแม่
เรื่องนี้ส่วนมากซ่านจินจื๋อแค่เคยได้ยิน ถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็กข้างกายไม่มีใครจึงไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว
ตอนนี้เมื่อคิดแล้ว เขาเพียงแค่มองสบตากู้อ้าวเวยแล้วพูดว่า “เสด็จแม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย”
“บางทีฮองไทเฮาอาจจะไม่ได้อยากทอดทิ้งเจ้าตั้งแต่แรก และท่านหญิงตระกูลหยุนอาจจะมองอะไรออก ให้เจ้าไปอยู่กับอาจารย์ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งชิงกันเมืองเทียนเหยียน” กู้อ้าวเวยเอนหลังพิงเก้าอี้ และยังคิดอย่างละเอียดอยู่เนิ่นนาน
ตระกูลยู่กับตระกูลหยุนเป็นตระกูลเดียวกัน ต่อให้มีใครคิดแสดงละครจริงๆก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกู้อ้าวเวยหรือซ่านจินจื๋อ ทั้งสองคนต่างก็รู้เรื่องในตระกูลของตัวเองน้อยมาก จึงทำให้ขาดเบาะแสไปเยอะมาก หากเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดที่หลิงเอ๋อร์พูดมาก็สามารถอธิบายทั้งหมดแล้ว
“ข้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ตอนนั้นหลังจากที่ข้าขโมยถุงน้ำดีหงส์ไปแล้วก็ได้รับบาดเจ็บ ตอนที่ฟื้นขึ้นมาก็ได้กลับมายังเมืองเทียนเหยียนแล้ว ตอนนั้นเหมือนหมิ่นเอ๋อทำร้ายเสด็จพ่อเพื่อนข้า ต่อมาพวกเราสองคนยังไม่ได้เห็นเสด็จพ่อ ก็ถูกส่งไปยังหมู่ตึก มีชีวิตอยู่อย่างลำบาก ข่าวการตายของข้าก็ร่ำลือกันไปทั่วแคว้นชางหลาน….” หลิงเอ๋อร์แค่เม้นริมฝีปากกับเรื่องนี้
กู้อ้าวเวยเหมือนได้ยินน้ำเสียงร้องไห้แฝงอยู่ จึงเดินหน้าเข้าไปตบไหล่ของนาง “ขอบใจที่เจ้าเล่าเรื่องพวกนี้ให้กับพวกข้า ตอนนี้ก็ถึงเวลาทานข้าวแล้ว ไปทานข้าวด้วยกันก่อนไหม?”
จางเหยียงซานทีอยู่อีกข้างได้เก็บขวดที่เปลี่ยนสีแล้วนั่นไว้
หลิงเอ๋อร์กลับกระพริบตาด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ จับชายแขนเสื้อของกู้อ้าวเวยไว้ แล้วพูดว่า “แต่ในหมู่ตึกนั่น….”
“หมู่ตึกนั่นไม่หนีไปไหน เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้” กู้อ้าวเวยยิ้มแล้วดึงนางมากอด หลังจากส่งสายตาให้กับซ่านจินจื๋อแล้ว ก็ได้พาเด็กทั้งสองคนกับสองพี่น้องคู่นี้ไปทานข้าวด้วยกัน
จางเหยียงซานมองดูซ่านจินจื๋อที่แววตาดูเคร่งเครียด “เรื่องพิษนี้ รออีกสักพักค่อยบอกนางเถอะ”
“ขอบใจ” ซ่านจินจื๋อสะบัดแขนเสื้อแล้วลุกขึ้น ยังไงก็ไม่คิดไม่ถึงว่าเสด็จพี่ที่ค่อนข้างเข้าข้างคนของตัวเองคนนั้น จะทำแบบนี้กับลูกสาวแท้ๆของตน ถึงขั้นใช้ชีวิตของลูกสาวเพื่อบีบบังคับลูกสาวอีกคน