บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 999
บทที่ 999 ล่ามไว้ไม่อยู่
“โตก…”
“ปัง…”
เสียงดังสองทีดังขึ้นข้างหู กู้อ้าวเวยยังไม่ทันรู้ตัว ก็เห็นหยูนซีถูกซางนิงจับกดไว้บนโต๊ะ แล้วด้านข้างมือของนาง มีปิ่นปักไว้หนึ่งอัน แทงลงกลางโต๊ะอย่างสั่นไหว
แสดงให้เห็นว่าหยูนซีใช้แรงเยอะแค่ไหน
ผ้าที่พันตัวไว้ค่อยๆล่วงลง เผยให้เห็นใบหน้าหยูนซีที่คล้ายกู้อ้าวเวย
ทั้งคู่มองตากัน กู้อ้าวเวยตื่นตกใจ ยกมือจับหน้าตัวเองอย่างคาดไม่ถึง
ซางนิงกดไหล่นางไว้แน่น มองดูกู้อ้าวเวยพร้อมพูดว่า “พระองค์บาดเจ็บตรงไหนไหม?”
“ไม่เป็นไร” กู้อ้าวเวยส่ายหัว ปล่อยให้นางกำนัลเข้ามาจับไหล่ของนางไว้
หยูนซีกัดฟันไว้แน่นดวงตาแดงก่ำ ถูกซางนิงโยนกลับไปยังตรงมุมเดิม สาวใช้สองคนถือโซ่ที่ล่ามไว้คนล่ะข้าง เกือบจะจับทั้งตัวของนางติดอยู่ตรงพื้นมุมกำแพง และปิ่นปักผมนั้นก็ถูกซางนิงหยิบขึ้นมายื่นให้กับนางกำนัลด้านข้าง มองดูหยูนซีแล้วพูดว่า “เจ้าคิดอยากทำอะไรกันแน่? นางเป็นคนเดียวที่สามารถรักษาชีวิตเจ้าไว้ได้”
มองดูซางนิงแปบหนึ่ง กู้อ้าวเวยค่อยรู้ว่าซางนิงก็รู้เรื่องพวกนี้ดี จึงยกมือกอดอกรอฟังคำตอบอยู่เงียบๆ
กลับเห็นสีหน้าหยูนซีบูดเบี้ยว ดวงตาคู่นั้นจ้องมองดูหน้ากู้อ้าวเวย พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงข้านั้น จะยิ่งทำให้ข้าตายเร็วขึ้น”
“ถึงข้ากับเจ้าต่างก็เป็นผู้หญิงหยุนเซ่อ แต่ระหว่างเราน่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด” กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว
“ก็เพราะเจ้าไม่ใช่สายเลือดข้า แต่มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน ทำให้ข้าต้องตกอับขนาดนี้” หยูนซีดิ้นรนขึ้นมา ข้อมือถูกโซ่ที่หนักขูดจนถลอก แต่นางกลับไม่รู้ตัวเลย หัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ตอนนี้มีเจ้าแล้ว เขายิ่งจะไม่เก็บข้าไว้แล้ว”
“เขา?” กู้อ้าวเวยอึ้งเล็กน้อย
และในตอนนี้ ประตูถูกเปิดออก ซ่านต้วนโฉงที่สวมด้วยชุดคลุมมังกรสีเหลืองค่อยๆเดินเข้ามา
ทุกคนคุกเข่าถวายบังคม กู้อ้าวเวยเพียงยืดหลังตรง เดินกลับไปที่โต๊ะอีกครั้ง คิดถึงวันนั้นที่ไปล่าสัตว์ครั้งแรก ฮ่องเต้มองดูนางอยู่สักพัก ตอนนั้นนางคิดเพียงว่าฮ่องเต้ต้องการความลับในมือนางเท่านั้น ตอนนี้ลองคิดดูแล้ว เกรงว่าตั้งแต่ตอนนั้น ฮ่องเต้ก็ไม่ชอบหน้าตัวเองแล้ว
ทั้งคู่มองตากัน แล้วก็ทำให้คิดได้ถึงความทรงจำเก่าๆ
สายตาของฮ่องเต้มองผ่านกู้อ้าวเวยอย่างเฉยเมย เหมือนกับมองดูเด็กเอาแต่ใจที่ยังไม่โต แต่สายตาที่มองดูหยูนซี กลับเยือกเย็น พูดขึ้นด้วยเสียงเข้มว่า “หากนางตาย ชีวิตของเจ้านี้ข้าก็จะไม่เก็บไว้”
“หากนางตายแล้ว คนที่สามารถเข้าใกล้ความมีชีวิตนิรันดร์ก็จะมีเพียงแค่คนเดียว” เมื่อหยูนซีเห็นเขา ก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน ไม่สนใจว่าตนเองนั่งอยู่ในมุมหนึ่งโดยสภาพที่ย่ำแย่ ตรงไหล่ที่ถูกจับกดไว้ยังรู้สึกเจ็บปวด
ซ่านต้วนโฉงเงียบไม่พูดอะไร
“นางมีรูปร่างหน้าตาสู้ข้ายังไม่ได้เลย ทำไมเจ้าถึงได้โปรดปราณนางถึงขนาดนี้?” หยูนซีเปลี่ยนคำพูดในทันใด อย่างค่อนข้างน้อยใจ
คำพูดนี้ฟังแล้วก็ค่อนข้างน่าแปลก
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วมองดูนาง “ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฮ่องเต้ หากพูดตามความจริงแล้ว เขาเป็นเสด็จพี่ของข้า”
ยังไงซ่านจินจื๋อก็เรียกเขาว่าเสด็จพี่ กู้อ้าวเวยก็ยอมรับในเรื่องนี้แต่แรกแล้ว พูดไปก็ไม่เห็นว่าจะไม่เหมาะสม
แต่เมื่อฟังเข้าหูซ่านต้วนโฉง กลับทำให้เกิดคลื่นระลอกเล็ก เขาไอเบาๆหนึ่งที สีหน้าฉายแววโกรธเคือง “น่าขำยิ่งนัก เจ้าจินจื๋อไม่ได้อยู่ด้วยกันถูกต้องตามธรรมเนียม ตอนนี้ก็เข้ากันกับข้าไม่ได้เหมือนดั่งไฟกับน้ำ เจ้ายังกล้าเรียกข้าว่าเสด็จพี่?”
เมื่อพูดเสร็จ สีหน้ากู้อ้าวเวยที่เฉยเมยก็กลายเปลี่ยนเป็นเย็นชา ตบโต๊ะแล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอพนันกับเจ้า เจ้าไม่ต้องตามหาฮองไทเฮาอีกแล้ว ข้าเองก็จะไม่ผิดสัญญา”
“หากซ่านจินจื๋อฆ่าพี่น้องและแม่ เจ้าจะทำอย่างไร?” สายตาซ่านต้วนโฉงเฉียบคม
“งั้นข้าก็จะไปปรโลกเป็นเพื่อนเจ้ากับฮองไทเฮา ให้เขาซ่านจินจื๋อเฝ้าสุสานเพียงลำพังไปชั่วชีวิต” กู้อ้าวเวยพูดถึงตรงนี้ แล้วก็ตบฝ่ามือลงบนโต๊ะอย่างแรงพร้อมพูดขึ้นว่า “วันนี้ที่เจ้ามา ก็เผื่อเร่งเร้ายาของยู่จุน ตอนนี้ข้าก็จะพูดเงื่อนไขของข้า”
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเสนอเงินไข?” ซ่านต้วนโฉงหัวเราะเย้ย
พวกองครักษ์ที่หลบอยู่ในที่มืดต่างก็เดินหน้ามา แววตาเย็นชามองมาอย่างนับไม่ถ้วน
การถูกกักขังไว้ที่นี่ คนส่วนใหญ่มักจะถ่อมตนเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง
แต่กู้อ้าวเวยรู้สึกเพียงภายในหัวใจเจ็บปวดขึ้นมาเป็นพักๆ และภายในลำคอก็เหมือนมีก้อนเลือดก้อนหนึ่งดันขึ้นมา หายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งแล้วก็พูดว่า “งั้นเจ้าก็ให้ยู่จุนนอนไปตลอดกาลเถอะ”
“เจ้าคิดว่าบนโลกนี้มีเพียงเจ้าคนเดียวหรือที่รู้ยาถอนพิษ ยู่จือรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นทุกอย่าง ขอเพียงข้าตามหานางเจอ….”
“นางรู้อยู่แล้วว่าหลังจากที่ข้าตายแล้วฟื้นด้วยวิธีอะไร แต่นางเคยรู้มั้ยว่าข้าเคยถูกพิษเถ่หลิงตัง หลังจากนั้นก็ดื่มยาพิษมากมายจนถูกวางพิษกู่ ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ซ่านจินจื๋อ ยังไม่รู้เรื่องเลย แล้วฮ่องเต้เอาความเชื่อมั่นมาจากไหน” กู้อ้าวเวยเดินอ้อมโต๊ะไปอย่างไม่เกรงกลัว เดินตรงไปอยู่ตรงหน้าซ่านต้วนโฉง
แสงดาบมากมายวางอยู่บนบ่าของนาง จ่ออยู่ตรงคอของนาง
แต่นางก็เพียงกำหมัดแน่น ยืดหลังตรงและเงยคางขึ้นมองดูเขา แล้วพูดว่า “ข้ากล้ามั่นใจว่า บนโลกนี้คนที่สามารถช่วยยู่จุนได้ มีเพียงข้าคนเดียว”
โอหัง
ซ่านต้วนโฉงมองดูผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่าตัวเองอย่างมาก ภายในดวงตากลับเผยให้เห็นความตั้งใจเหมือนเมื่อตอนที่ซ่านจินจื๋ออายุได้สิบขวบ ในตอนนั้นซ่านจินจื๋อก็บุกมาตรงหน้าของเขายังไม่กลัวตาย พูดทุกคำทุกประโยคว่าเขาต้องการที่จะไปสู้รบ สังหารศัตรูให้สิ้นซาก
มีความสามารถอยู่แล้ว จึงไม่กลัวตาย
คนประเภทนี้ แม้แต่โซ่ตรวนก็ล่ามไว้ไม่อยู่
“ข้าจะฆ่าเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้” ซ่านต้วนโฉงระงับความโกรธที่อยู่ในใจ ยกมือจับปลายคางของนางไว้แน่น จนเขียวม่วงไปหมด
“ลองดูก็ได้” กู้อ้าวเวยหยิ่งผยองอย่างไม่ยอมถอย
หยูนซีที่อยู่ตรงมุมมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้อยู่อย่างเงียบๆ รอจนเมื่อในที่สุดซ่านต้วนโฉงยอมปล่อยมือ ปลายคางของกู้อ้าวเวยเจ็บปวด กลับได้มาเพียงคำพูดง่ายๆว่า “เงื่อนไขอะไร?”
“ต่อไปให้องค์ชายสามสืบราชบัลลังก์ อ๋องจิ้งอ๋องจงผิงมีอาณาบริเวณปกครอง หากข้าตาย ให้ไปฝังที่แคว้นเอ่อตาน หากข้ามีชีวิตอยู่ ต้องให้ข้าไปมาแคว้นชางหลานได้ตามใจ”
เงียบอยู่เนิ่นนาน ซ่านต้วนโฉงค่อยมองนางแล้วพูดว่า “ข้าต้องการให้นางฟื้นขึ้นมา”
“ข้าจะตั้งใจให้ถึงที่สุด”
พูดเสร็จ ซ่านต้วนโฉงก็จากไปอย่างไม่หันกลับมา
มีเพียงกู้อ้าวเวยที่ล้มนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ยังไม่ทันรอให้นางกำนัลเข้ามาเช็ดเหงื่อให้ ก็ได้อ้วกเลือดออกมาแล้วหนึ่งก้อน
เปื้อนกระดาษขาวบนโต๊ะจนกลายเป็นสีแดง ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นก็กลายเป็นสีแดงไปด้วย
คนที่สัมผัสจุ้ยเวี่ยน ไม่มีใครอายุยืน
นางกำนัลเข้ามาช่วยเช็ดมุมปากให้นางอย่างตื่นตระหนก นางกลับยกมือขึ้นมาเช็ดเอง แล้วก็หัวเราะพร้อมพูดว่า “เป็นตายฟ้าลิขิต จัดการเก็บบนโต๊ะนี้ให้เรียบร้อยก็พอ”
นางกำนัลคนนั้นจึงรีบจัดการเก็บบนโต๊ะให้เรียบร้อย กู้อ้าวเวยเดินอ้อมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทางด้านหลังฉากกั้น
มองดูตัวเองในกระจก ถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เข้าใจถึงปฏิกิริยาของยาจุ้ยเวี่ยน ปลายนิ้วมือลูบลำคอ แล้วก็ไออยู่หลายที เลือดในปากที่ยังไม่ได้อ้วกออกมามีรสชาติหวาน
บ้าไปแล้วจริงๆ