บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 142 เจ้าจงแหกตาดูเสียให้ดี
บทที่ 142 เจ้าจงแหกตาดูเสียให้ดี
คำพูดเมื่อครู่ทำให้จูนจิ่วรู้สึกตกละตึงอยู่บ้าง แต่นางก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เฟิ่งเซียวน่าจะเห็นของวิเศษปรากฏตัวแล้ว เป็นห่วงว่านางจะมีอันตรายถึงเข้ามาหานาง จูนจิ่วจึงรีบถามศิษย์คนนั้นไปว่า “ตอนนี้ไท่ซ่างฮ่องอยู่ที่ไหน?”
“เห็นว่าตามหาเจ้าไม่เจอก็กลับไปแล้ว พวกเขานึกว่าพวกเจ้าตายไปแล้ว อีกอย่างพวกเจ้ามีกันแค่สี่คน แล้วก็แมวตัวหนึ่ง เหมือนมาเที่ยวเสียมากกว่า ไม่เหมือนมาร่วมงานฝึกซ้อม ” เสียงพูดท้ายๆของศิษย์คนนั้นฟังดูเบาลงมา แต่พวกจูนจิ่วก็ได้ยินอย่างชัดเจนอยู่ดี
พอพูดจบ ศิษย์ผู้นั้นยิ้มกรุ้มกริ่มและหันหลังจากไป
จากนั้นซือถูซิวและอาจารย์เจ้าเดินเข้ามาหา พร้อมบันทึกชื่อของพวกเขา ตอนที่บันทึกไปด้วย ซือถูซิวถามจูนจิ่วด้วยสายตาที่แฝงด้วยแผนการร้าย “จูนจิ่ว ตอนที่เจ้าอยู่ในเขาปู้หวังเจ้าเห็นเฟิ่งเทียนฉี่ไหม?”
“เฟิ่งเทียนฉี่หรือ? ไม่เคยเห็น” จูนจิ่วตอบกลับด้วยถ้อยคำเย็นชา
“ไม่เคยเห็นงั้นหรือ? เหอๆ” น้ำเสียงของซือถูซิวฟังดูผิดแปลก เขาต้องการพูดอะไรอีก อาจารย์เจ้าผลักที่เขาทีหนึ่ง เพื่อเร่งให้เขาไปเร็วๆอย่าหาเรื่อง
จากนั้นพวกจูนจิ่วก็ได้ยินเสียงพูดนินทาจากพวกลูกศิษย์
ลูกทีมของเฟิ่งเทียนฉี่ถูกฆ่าตายในเขาปู้หวังทั้งหมด และตัวเฟิ่งเทียนฉี่เองก็โดนหาบออกมา พร้อมส่งกลับไปที่พระราชวังแคว้นเทียนโจ้งโดยตรง สำหรับเรื่องที่เฟิ่งเทียนฉี่บาดเจ็บด้วยสาเหตุใด นอกจากซือถูซิวและอาจารย์เจ้าแล้วไม่มีใครทราบแน่ชัด ส่วนนักล่าสัตว์สองสามคนนั้นก็ถูกองครักษ์ลับของพระราชวังจับตัวไปแล้ว
เมื่อพูดถึงหงอิง มือทั้งสองข้างโดนฟันจนขาด มีบางคนที่เป็นบ้าพูดไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้จะถูกส่งกลับไปที่สำนักเทียนโจ้ง คนบ้าที่ไม่มีมือ สำนักเทียนโจ้งไม่รับไว้เช่นกัน
มีคนบางที่เห็นใจ แต่มากกว่านั้นคือการนินทาว่าเฟิ่งเทียนฉี่และหงอิงไปเจอใครมา ถึงถูกกระทำเช่นนี้ได้
“จูนจิ่ว” กู่ซงเอียงหัวมองมาที่นาง
จูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่ คนหนึ่งคนกับแมวหนึ่งตัวมองไปที่เขาพร้อมกัน ภาพเหตุการณ์นี้ดูแล้วไม่น่ารักเลยสักนิด เพราะแมวกับเจ้าของล้วนดูน่ากลัวโหดเหี้ยม ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องความน่ารักเลย
กู่ซงลูบตรงจมูก และพูดว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกศิษย์สำนักพูดกันว่า เดี๋ยวช่วงบ่ายจะมีการรวบรวมแกนสัตว์ จากนั้นจะออกเดินทางกลับสำนักเทียนโจ้งวันนี้เลย”
“กลับวันนี้เลย?” จูนจิ่วขมวดคิ้ว เวลานี้เร่งรีบไปไหม
เมื่อมองสังเกตบริเวณรอบๆ ศิษย์สำนักที่นี่มีเพียงหนึ่งร้อยกว่าคน แต่ตอนมา มีตั้งสามร้อยกว่าคน
หยูนเฉียวเปิดปากพูดบ้าง “เพราะมีการต่อสู้ภายในเขาปู้หวัง อาจารย์กังวลว่าการต่อสู้จะกระทบถึงพวกเรา ฉะนั้นจึงกลับวันนี้เลย ศิษย์ที่ยังกลับมาไม่ทัน จะมีอาจารย์สองท่านรอรับพวกเขาอยู่ตรงนี้”
แบบนี้นี่เอง จูนจิ่วเข้าใจแล้ว
นางพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเราไปพักผ่อนกันก่อน อีกสักครู่หลังจากที่รวบรวมแกนสัตว์เสร็จจะได้ออกเดินทางเลย ระหว่างทางกลับจะต้องเร่งการเดินทางแน่นอน”
ตอนที่พวกเขามาถึง เวลาก็เที่ยงกว่าแล้ว ช่วงบ่าย คงไม่เกินหนึ่งชั่วยามหรอก ต้องพักผ่อน ไปพักผ่อนตอนนี้เลยดีที่สุด พวกหยูนเฉียวพยักหน้าตอบรับ ไม่มีใครคัดค้าน แต่ทว่าตอนที่กำลังจะไปหาที่พักผ่อน ข้างหูก็ได้ยินเสียงตะโกนตกใจของลูกศิษย์สำนักเทียนโจ้ง “ศิษย์พี่จูนหยูนเสวี่ย”
“ศิษย์พี่จูนหยูนเสวี่ยศิษย์พี่กลับมาแล้ว พวกข้าเป็นห่วงศิษย์พี่มากเลยนะ เอ๋ ลูกทีมของศิษย์พี่ล่ะ?”
จูนหยูนเสวี่ยกลับมาแล้ว
พวกจูนจิ่วหันกลับไปดูพร้อมๆกัน กลับเห็นจูนหยูนเสวี่ยที่อยู่ในสภาพแต่งตัวเรียบร้อยดี ดีจนเห็นได้ชัดว่าตั้งใจแต่งองค์ก่อนกลับมา แต่ที่ขาของนางดูไม่เป็นปกติเดินไม่ค่อยนิ่ง แต่ท่าทางและสีหน้าดูปกติดี ดูท่าแล้วหลายวันที่ผ่านมา นางคงอยู่ดีมีสุขดี
นึกย้อนไปถึงตอนที่ถูกนางโยนลูกบอลสีดำใส่ ภาพที่ถูกแรงระเบิดจนตั้งรับไม่ทัน พวกหยูนเฉียวขบกรามแน่นอย่างเงียบๆ นางร้ายอายุยืนพันปีจริงๆ
จูนหยูนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาและมองดูพวกเขาอยู่ไกลๆ ภาพลักษณ์เทพธิดาดอกบัวขาวที่นางสร้างขึ้นมา ครานี้ในแววตากลับซ่อนความโหดร้ายและความโกรธแค้นไว้ไม่อยู่ จูนหยูนเสวี่ยมองข้ามทุกคน จ้องมองแต่จูนจิ่ว
ทันใดนั้น นางหระตุกยิ้มตรงมุมปาก ในสายตาคนอื่นอาจจะมองว่ามีรอยยิ้มที่งดงามและชวนมอง แต่ในสายตาของพวกจูนจิ่วกลับมองว่า รอยยิ้มนี้เป็นการคิดแผนการชั่วร้าย
จูนหยูนเสวี่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงฟังที่ชัดเจน “จูนจิ่ว ข้าได้พบคนสองคน พวกเขามาหาเจ้า”
ใคร?
ทุกคนมึนงง
ต่อด้วยเสียงฝีเท้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เดินออกมากจากในป่า สีหน้าของพวกเขาดูหยิ่งยโส เห็นท่าทีของพวกเขาที่มีสายตาดูถูกเหยียดหยาม สายตามองผ่านจูนหยูนเสวี่ยและไปหยุดอยู่ที่จูนจิ่ว สายตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที
แสงรัศมีแห่งความเย็นเยือก แฝงด้วยแรงอาฆาต และต้องการเอาชนะให้ได้
เสี่ยวอู่ถลึงตาเป็นแนวเดียว ร้องขู่เสียงต่ำ มันพูดว่า “เจ้านาย คนที่มาไม่ใช่มิตร”
คนที่จูนหยูนเสวี่ยพามาจะเป็นคนดีได้อย่างไร
จูนจิ่วลูบเบาๆตรงหลังของมัน ลูบตามแนวขนแมว แล้วเงยหน้าขึ้นมามอง สายตาเยือกเย็นไร้ความปรารี จูนจิ่วพูดว่า “ตามหาข้า? ข้าไม่รู้จัก”
“แน่นอนว่าเจ้าต้องไม่รู้จักพวกข้า แต่พวกข้ารู้จักเจ้า จูนจิ่ว ไปกับพวกเราเถอะ พวกข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” อย่าเอ๋อใช้นิ้วมือชี้มาทางจูนจิ่ว ท่าทีดูเหิมเกริมมาก
หลัวหยางจ้องมองจูนจิ่ว รู้สึกตกตะลึงในวินาทีแรก นางเด็กคนนี้งดงามยิ่งกว่าแม่นางจูนเสียอีก แต่เมื่อนึกถึงของวิเศษ เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที ท่าทีโอ้อวดจองหองแล้วพูดว่า “จูนจิ่วรีบมาเร็วเข้า พวกข้าไม่ได้มีเวลาที่จะมาเสียเปล่าเพราะเจ้า”
แบบนี้มันไม่เรียกว่าหาคนแล้ว หาเรื่องชัดๆ
ศิษย์สำนักเทียนโจ้งตกตะลึงและระวังตัวกัน สายตามองสลับกันระหว่างจูนจิ่วกับพวกหลัวหยาง จูนหยูนเสวี่ยในเวลานี้กลับหัวเราะอีกครั้ง นางพูดอย่างมีเลศนัย “จูนจิ่ว เจ้าไปกล้าไปไม่ใช่เพราะในใจกำลังรู้สึกผิดอยู่หรอกนะ?”
“แม่นางจูน นางกำลังต้องการส่งสัญญาณอะไรกันแน่? คนสองคนนี้พวกเราไม่รู้จักเลยนะ ” หยูนเฉียวดึงดาบออกมาพร้อมปกป้องอยู่ข้างกายจูนจิ่ว เขาขมวดคิ้วแน่นกำลังครุ่นคิด
คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำไมจู่ๆจะมาหาพวกเขา? ทั้งยังมาด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรเช่นนี้
กู่ซงเหมือนคิดอะไรออก เขามองไปที่จูนจิ่ว “จูนจิ่ว คงไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องนั้นหรอกนะ?”
“เจ้าทายถูกแล้ว” ได้ยินจูนจิ่วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเนิ่งเย็นชา กู่ซงขมวดคิ้วแน่น หยูนเฉียวสูดหายใจเข้าลึกๆ มาเพื่อหยกพันธุ์หยกทิพย์ แต่ว่าพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าหยกพันธุ์หยกทิพย์อยู่ในมือของจูนจิ่ว? เห็นอยู่ว่าตอนที่อยู่ในเขาปู้หวัง คนกลุ่มนั้นพลิกแผ่นดินตามหาก็ยังไม่รู้เลย
แน่นอนว่าจะต้องเป็นจูนหยูนเสวี่ย
วันนั้นที่จูนหยูนเสวี่ยหนีไป ตามด้วยหยกพันธุ์หยกทิพย์ปรากฏตัวขึ้น นางอยู่ใกล้แค่นั้น แน่นอนว่าจะต้องมองเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ แค่ลองคิดภาพตามว่าพวกจูนจิ่วที่อยู่ริมทะเลสาบ ก็จะรู้เองว่าหยกพันธุ์หยกทิพย์ตกอยู่ในมือของนาง
แต่ทว่าจูนจิ่วรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จูนหยูนเสวี่ยมีสิทธิอะไรที่จะคิดว่าสองคนนี้ที่นางพามาจะทำให้นางยอมส่งมอบหยกพันธุ์หยกทิพย์ออกมาให้?
พวกเขาคือใคร?
“ทำอะไรกันน่ะ พวกเจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักเทียนโจ้ง มาทำอะไรที่นี่ กล้ามาก่อเรื่องงั้นหรือ? รู้หรือไม่ว่าใครที่กล้าหาเรื่องสำนักเทียนโจ้งจะต้องลงเอยแบบไหน? ” ซือถูซิวมาพร้อมกับอาจารย์หลายท่าน เขาขมวดคิ้วเพ่งมองไปที่ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
“ฮือ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาคือใคร? สำหรับพวกข้าสำนักเทียนโจ้งจะนับประสาอะไรได้” คำพูดที่ยโสโอหังของอย่าเอ๋อทำให้ทุกคนโกรธเป็นไฟทันที
ซือถูซิวกระทืบเท้า “เจ้าช่างบังอาจ กล้าที่จะไม่เคารพสำนักเทียนโจ้งของเรา” “เจ้านั้นแหละ ที่ช่างบังอาจ กล้าตะโกนต่อหน้าคุณหนูอย่างข้า เจ้าจงแหกตาดูเสียให้ดี ดูให้ชัดๆล่ะ อันนี้คืออะไร?” อย่าเอ๋อนำบัตรคำสั่งออกมา