บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 153 จิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า
บทที่ 153 จิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า
เฟิ่งเซียวมองไปที่ฮ่องเต้ด้วยความเย็นชา สีหน้าผิดหวังมาก เขาข่มความโกรธเอาไว้ และเปิดปากพูดเสียงหนักแน่น “ทำไมเจ้าไม่ลองถามดูว่า เขาทำอะไรลงไป? จนทำให้เสี่ยวจิ่วต้องทำร้ายเขา”
“ไม่ว่าองค์ชายรัชทายาทจะกระทำผิดอันใด เขาเป็นรัชทายาทของแคว้นเทียนโจ้งและจะเป็นฮ่องเต้คนต่อไปในอนาคต ล้วนไม่สมควรที่จะต้องกลายเป็นแบบนี้ เสด็จพ่อ ทำไมท่านไม่ลองคิดดู หลานชายของท่านถูกกระทำจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ แคว้นเทียนโจ้งในอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร?” ฮ่องเต้โกรธจนเกือบจะกระทืบเท้าอยู่แล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเฟิ่งเซียวที่ออกหน้าปกป้องจูนจิ่วท่าเดียวและเขาเองก็กลัวเฟิ่งเซียวละก็ เกรงว่าคงจะสั่งให้คนจับตัวจูนจิ่วไว้ตั้งนานแล้ว
ฮ่องเต้ทั้งโกรธและแค้นมาก ต่อให้จูนจิ่วจะเป็นลูกสาวของจูนหมิงเย่กับม่างตงก็ตามก็ไม่มีสิทธิทำร้ายองค์ชายรัชทายาทเด็ดขาด นัยน์ตาฮ่องเต้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่ร้อนแรง “จูนจิ่ว เจ้ากำลังดูหมิ่นอำนาจแห่งราชวงศ์ ดูแคลนศักดิ์ศรีของจักรพรรดิ เจ้าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับแคว้นเทียนโจ้งทั้งแคว้นเลยหรือ?”
“ข้าสามารถทำให้เจ้ามีลูกได้อีก ไม่เพียงแค่คนเดียว”
“อะไรนะ?” คำพูดของจูนจิ่ว ทำให้ฮ่องเต้ตกตะลึง นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่
จูนจิ่วพิงไปตรงเสาด้านหลังอย่างขี้เกียจ เงยหน้าช้าๆมองไปทางฮ่องเต้ ที่จริงนางแค่เงยหน้าเฉยๆ กลับทำให้ฮ่องเต้รู้สึกว่านางกำลังมองเขาด้วยสายตาขวาง ต่อด้วย เขาฟังจูนจิ่วพูด
จูนจิ่วพูด “เฟิ่งเทียนฉี่มีคุณสมบัติฮ่องเต้ที่เหมาะสมแล้วจริงหรือ? ที่เขาสามารถนั่งครองตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทไว้อย่างมั่นคง นั่นเป็นเพราะเขาเป็นองค์ชายเพียงหนึ่งเดียว ถ้าหากให้เขาที่โง่เขลาสืบทอดบัลลังก์จริงๆ เวลาสิ้นยุคของแคว้นเทียนโจ้งก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”
“เจ้า” ฮ่องเต้ที่เพิ่งชี้นิ้วไปที่จูนจิ่วกลับถูกเฟิ่งเซียวใช้ฝ่ามือตบให้วางลง
เฟิ่งเซียวทำเสียงเย้ยหยัน “ชี้นิ้วอะไรกัน หุบปากแล้วฟังเสี่ยวจิ่วพูดให้จบก่อน”
ฮ่องเต้ตกตะลึงตาค้าง นี่ยังเป็นเสด็จพ่อของเขาอยู่ไหม? เชื่อฟังคำพูดของจูนจิ่วถึงเพียงนี้ ปกป้องจูนจิ่วเหมือนกับทหารผู้ติดตามก็มิป่าน ไม่หลงเหลือมาดความเป็นไท่ซ่างฮ่องเลยแม้แต่น้อย
“เฟิ่งเทียนฉี่ก็ทุพพลภาพไปแล้ว ฮ่องเต้แค่ให้กำเนิดลูกๆอีกหลายๆคน อบรมเลี้ยงดูใหม่ คงไม่โง่และไร้ประโยชน์เหมือนเฟิ่งเทียนฉี่อีกหรอกมั้ง?”
“เจ้าเด็กหญิงน้อยช่างไร้ยางอายเสียจริง การมีลูกใช่ว่าจะมีก็มีได้เลย?” ฮ่องเต้ถลึงตาใส่
เขาเองก็ใช่ว่าไม่อยากมีลูกอีก แต่ว่าตอนนั้นลูกสองคนล้วนเสียชีวิตจากไป สภาพร่างกายของฮองเฮาได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่สามารถมีลูกได้อีก ส่วนเขาก็ถูกไท่ซ่างฮ่องกำชับว่าจะต้องซื่อสัตย์ต่อฮองเฮาไม่แปรเปลี่ยนและไม่สามารถมีสนมนางในได้ มิเช่นนั้นเขาคงมีลูกไม่รู้เท่าไหร่เป็นเท่าไหร่ไม่ตั้งนานแล้ว
จูนจิ่วหัวเราะ “ข้าเคยพูดแล้ว ข้าสามารถทำให้เจ้ามีลูกได้อีก ซึ่งมันก็ต้องมีวิธีอยู่แล้ว”
“ฮองเฮาล่ะ? ไปเรียกฮองเฮามา ให้เสี่ยวจิ่วดูอาการของนางหน่อย อาจเป็นไปได้ว่าก่อนตรุษจีนปีนี้ พวกเจ้าอาจจะตั้งครรภ์ลูกชายก็เป็นได้” เฟิ่งเซียวออกคำสั่งขันทีและนางกำนัลโดยตรง ให้ไปเชิญฮองเฮามาที่นี่
ฮ่องเต้ที่มองดูอยู่ ตกตะลึงตาค้าง
สีหน้าแบบนั้น เชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเฟิ่งเซียวจะต้องถูกประตูหนีบหัวแล้วแน่ๆ ถึงได้เชื่อใจจูนจิ่วขนาดนี้ เด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงวัยแต่งงาน จะมีทักษะทางการแพทย์ได้อย่างไร? การที่ข้างนอกเลื่องลือกันเรื่องหมอเทวดาจูนจิ่ว มันก็แค่เรื่องหลอกลวง เชื่อได้หรือ?
แต่ก็ไม่กล้าขัดใจเฟิ่งเซียว ฮ่องเต้ทำได้เพียงอัดอั้นอารมณ์ไว้ สายตาอาฆาตเหมือนกำลังโยนมีดไปที่ร่างกายของจูนจิ่ว
พวกเขามาถึงตำหนักด้านข้าง ฮองเฮาเดินเข้ามาหาโดยที่มีคนคอยดูแลอยู่รอบตัว แต่ว่าหลังจากที่เห็นเฟิ่งเซียว ฮองเฮารีบผลักคนซ้ายขวาออก ยกกระโปรงขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปเอง โค้งคำนับเฟิ่งเซียวด้วยความสง่างามและจริงจัง “ขอกราบบังคมเสด็จพ่อ ขอให้เสด็จพ่อทรงพระเกษมสำราญสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์”
“ชิวชิว รีบลุกขึ้นมานั่งเร็ว นี่คือเสี่ยวจิ่ว ให้นางช่วยเจ้าตรวจดูร่างกายหน่อย ดูสิว่าควรจะบำรุงรักษาอย่างไร” เฟิ่งเซียวโบกมือเรียกฮองเฮา
ฮองเฮาที่ได้ยินแบบนั้นมองไปที่จูนจิ่วด้วยความตกใจอยู่บ้าง นางไม่รู้จักจูนจิ่ว และยิ่งรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมไท่ซ่างฮ่องถึงให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาตรวจชีพจรให้นาง แต่ว่าฮองเฮากลับไม่ได้ต่อต้าน นางส่งยิ้มและเดินเข้าไปหาจูนจิ่ว และวางมือไว้ข้างบน
การมาครั้งนี้ จูนจิ่วยังสังเกตเห็นปฏิกิริยาที่น่าสนใจอันหนึ่ง
ฮ่องเต้ที่เห็นฮองเฮาใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด สีหน้าที่อ้าปากแล้วก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ส่วนฮองเฮาตั้งแต่เดินเข้ามาก็ไม่แม้แต่จะสบตาฮ่องเต้เลย ครอบครัวจักรพรรดิช่างน่าสนใจดี
จูนจิ่วยกมือขึ้นมาตรวจชีพจรให้กับฮองเฮา ซึ่งฮองเฮาเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง นางใช้พลังจิตตรวจไปหนึ่งรอบ ปัญหาทั้งหมดล้วนสำแดงออกมา
เมื่อจูนจิ่วเก็บมือเข้าที่ พูดเสียงเรียบนิ่งว่า “ตอนที่มีครรภ์ครั้งสุดท้าย เกิดเหตุทำให้ต้องแท้งลูกทำให้สภาพจิตถูกกระทบกระเทือน แต่ทว่านี่เป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือในตอนนั้นฮองเฮา หลังไปกระแทกโดนก้อนหิน จนกดทับเส้นประสาท ทำให้ช่องท้องได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งสาเหตุนี้กลับไม่เคยมีคนตรวจพบและทำการรักษาเลย ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถมีลูกได้”
เดิมจูนจิ่วอยากพูดคำว่ามดลูก แต่เมื่อคิดๆดูแล้วพวกเขาล้วนฟังไม่รู้เรื่องหรอก คำว่ามดลูกเปลี่ยนเป็นช่องท้องเถอะ ฮองเฮาเข้าใจความหมายนี้ก็พอ
เมื่อฟังนางพูดจบ ฮ่องเต้รีบออกเสียงทันที “หื้ม หมอเทวดาจูนจิ่วอะไรกัน? พูดจามั่วซั่ว หมอเถื่อนชัดๆ กระแทกโดนก้อนหินอะไรกัน? จริงๆเลย…… ”
“เจ้าหุบปาก”
“เจ้าหุบปาก”
เฟิ่งเซียวและฮองเฮาพูดเป็นเสียงเดียวกัน ตะคอกใส่ฮ่องเต้พร้อมๆกัน
ตะคอกจนฮ่องเต้ตะลึงงัน สติสตังหลุดไปตั้งนาน ฮองเฮากับเฟิ่งเซียวสบตากันหนึ่งครั้ง ฮองเฮายิ้มส่งให้แบบขอโทษ จากนั้นรีบมองตรงไปที่จูนจิ่ว ฮองเฮากำหมัดแน่น นางถามด้วยความตื่นเต้น “เจ้าคือหมอเทวดาจูนจิ่วหรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเคยกระแทกโดนก้อนหิน? เรื่องนี้ผ่านไปแล้วตั้งแปดปี”
“เรื่องนี้มีเพียงข้าและแม่นมเท่านั้นที่รู้ เพราะว่าหมอหลวงและนักกลั่นยาในตำหนักล้วนตรวจไม่เจอ ข้านึกว่าตัวเองคิดไปเองเสียอีก ต่อมาก็ไม่หายสักที และไม่เคยคิดว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้” ฮองเฮากระตุกตรงมุมปากอย่างข่มขืนใจ
ฮ่องเต้ประหลาดใจ “ฮองเฮา ตอนนั้นเจ้ากระแทกโดนก้อนหินจริงหรือ?”
“ใช่” ฮองเฮาไม่แม้แต่จะมองฮ่องเต้ นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ภายใต้สายตากลับแฝงความโกรธแค้นเอาไว้
จูนจิ่วไม่มีกะจิตกะใจไปสนว่าในใจของฮองเฮาเก็บซ่อนความโกรธแค้นเรื่องใดไว้ นางเขียนรายการยาไปสองแผ่น หลังจากส่งมอบให้กับฮองเฮาแล้ว จึงพูดว่า “ถึงแม้จะกลายเป็นโรคประจำตัว แต่ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ นี่คือสูตรยาสองแผ่น แผ่นหนึ่งเป็นยาที่ต้องต้มสุก ซึ่งมันง่ายมาก ส่วนอีกแผ่นหนึ่งจำเป็นต้องให้นักกลั่นยาเป็นคนกลั่นยา หากไม่มีคนสามารถกลั่นออกมาได้ เจ้าสามารถไปซื้อที่งานประมูลของบ้านตระกูลหยูน”
“นั่นเป็นยาที่เจ้าเป็นคนกลั่นเองถูกไหม?” ฮองเฮาถาม
จูนจิ่วพยักหน้าตอบรับ ฮองเฮากระตุกยิ้มมุมปาก นางมองไปทางเฟิ่งเซียวและมองมาทางจูนจิ่ว เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง ฮองเฮาเอ่ยปาก “แม่นางจูนหมายความว่า ร่างกายของข้ายังพอมีทางรอดและยังสามารถตั้งครรภ์ได้อีกงงั้นหรือ?”
“ใช่”
“ดี งั้นในที่สุดข้าก็สามารถพูดความจริงได้สักที เสด็จพ่อ ฮ่องเต้ ตอนนั้นตอนที่ข้าแท้งลูกมันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นเพราะองค์ชายรัชทายาท ไอ้สารเลวนั้นต่างหากที่ผลักข้า ทำให้ข้าต้องแท้งลูกไป”
“อะไรนะ” เฟิ่งเซียวกับฮ่องเต้พูดเป็นเสียงเดียวกันอย่างตกตะลึง
นัยน์ตาของฮองเฮาเต็มไปด้วยความโกรธ “พวกท่านไม่เชื่อข้าหรือ? ในตอนนั้นหมอหลวงมาตรวจท้องข้าและวินิจฉัยว่าในท้องข้าจะเป็นองค์ชายน้อย จากนั้นไม่นานองค์ชายรัชทายาทก็เชิญข้าไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้และเขาก็ผลักข้า ซึ่งเขาเองก็เป็นลูกชายแท้ๆของข้าเช่นกัน ข้าจะทำลายเขาได้ลงคอหรือ? ”
“ความอำมหิตโหดร้ายแบบนี้ จิตใจมันเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า เขากลัวว่าลูกในท้องของข้าจะไปแย่งตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทของเขา หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าตอนนั้นผลวินิจฉัยคือข้าตั้งท้องไม่ได้อีก และเหลือเพียงเขาที่เป็นลูกชายคนเดียวในการสืบทอดบัลลังก์ ข้าจะทนเก็บเรื่องนี้มาจนถึงวันนี้ทำไม ต้องทนเขามาทั้งหมดแปดปีเต็มๆ