บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 158 งานแต่งของจูนหยูนเสวี่ยกับเฟิ่งเทียนฉี่
บทที่ 158 งานแต่งของจูนหยูนเสวี่ยกับเฟิ่งเทียนฉี่
โม่อู๋เยว่หรี่ตาหน่อยๆ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์รู้สึกสนใจตัวแทนทูตจากอู๋อจงหรือ?”
“ข้ารู้สึกสนใจอู๋อจง เห็นคนก็เหมือนได้เห็นอู๋อจง ถ้าหากล้วนเป็นเหมือนพวกหลัวหยาง อู๋อจงข้าก็ไม่ไปดีกว่า เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเปล่า ” จูนจิ่วพูด สำนักเจี้ยนจงของหลัวหยาง ในใจนางตัดทิ้งไปได้เลย
ในสายตาของผู้คน ตามหลักคืออู๋อจงจะเป็นฝ่ายคัดเลือกคน แต่ในสายตานาง ตัวนางเองที่เป็นฝ่ายเลือกอู๋อจง ขอแค่นางได้เลือกแล้ว ก็ไม่มีที่ที่หมอเทวดาจูนจิ่วเข้าไปไม่ได้
นางบีบลำตัวของเสี่ยวอู่และให้มันขยับตัวลงไป จูนจิ่วลุกขึ้นยืน “โม่ฮู๋เยว่ ไปห้องหนังสือเป็นเพื่อนข้าหน่อยข้าจะเลือกหนังสือสักสองเล่มที่เกี่ยวกับเพลงวิทยายุทธหรือท่าประสารมือเจว๋หน่อย”
“ได้”
จูนจิ่วมีสิทธิเข้าห้องหนังสือได้สามชั้น สำหรับผู้ที่ชนะการฝึกซ้อมอันดับที่หนึ่งสามารถเข้าห้องหนังสือสี่ชั้นได้ ครั้งนี้นางเลือกทีเดียวสองเล่มเลยดีกว่า คิดไปคิดมาการไปหาคนอื่นสู้หาโม่อู๋เยว่ไม่ได้ เขาสามารถช่วยนางเลือกดู หากเลือกจนเหนื่อยแล้ว ยังสามารถชื่นชมความหล่อเหลาของคนบางคนให้ตื่นตัวชื่นใจเสียหน่อย
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า โม่อู๋เยว่ที่เมื่อเข้ามาถึงในห้องหนังสือ กวาดสายตาไปหนึ่งรอบ โบกมือหยิบหนังสือท่าประสารมือเจว๋สองเล่มออกมากจากชั้นสามและชั้นสี่ ให้ลอยลงมาตกอยู่ในมือ โม่อู๋เยว่กระตุกยิ้มมุมปาก “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์นอกจากสองเล่มนี้ที่มีประโยชน์ต่อเจ้าอยู่บ้าง นอกนั้นล้วนเป็นเศษขยะ”
จูนจิ่ว “……”
การที่มีโม่อู๋เยว่มาด้วย นี่มันไม่ต้องเลือกเลยนะ เขาเลือกให้นางเสร็จเรียบร้อย
ในใจรู้สึกประหลาดใจเหมือนกัน จูนจิ่วรับหนังสือสองเล่มที่อยู่ในมือของโม่อู๋เยว่มา บนหน้าปกหนังสือแต่ละเล่มเขียนไว้ว่า “เฟิงสิง” กับ “เล๋ยหยู่” จูนจิ่วเปิดหน้าหนังสือออกกวาดตามองไปหนึ่งรอบ เฟิงสิงเป็นเพลงวิทยายุทธที่เกี่ยวกับฝีเท้า แค่ชื่อหนังสือก็บ่งบอกความหมายแล้ว ให้เดินดั่งวายุ ยากแก่การตามหาร่องรอย
ส่วนเล๋ยหยู่ เป็นเล่มที่เกี่ยวกับท่าประสารมือเจว๋ เปลี่ยนพลังจิตเป็นหยดน้ำฝน ท่ามกลางฝนตกปรอยๆ แฝงไปด้วยแรงกำลังสายฟ้า กำลังยิ่งสูงพลังสายฟ้าก็ยิ่งแข็งแกร่ง การจู่โจมสามารถทำให้ศัตรูรู้สึกตัวชาเป็นอัมพาตได้ ถ้ายิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกบางทีสามารถช็อตศัตรูให้ตายได้
น่าสนดี แต่ว่ามีเพียงสองเล่มนี้เองหรือที่เหมาะสมกับนาง? จูนจิ่วยักคิ้วพุ่งไปทางโม่อู๋เยว่
โม่อู๋เยว่พูด “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ สองเล่มนี้เป็นเพียงตัวพื้นฐาน รอเจ้าเรียนรู้เสร็จแล้ว จะมีลำดับที่สูงขึ้นไปอีกหนึ่งชั้นคือ เฟิงเซิ่นปู้ กับ เล๋ยอวี้ สองสิ่งนี้สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ พลังอำนาจนั้น มันรุนแรงยิ่งกว่าที่เจ้าคิดหลายเท่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูนจิ่วรู้สึกแปลกใจ “เพลงวิทยายุทธสองเล่มนี้มีพลังอำนาจขนาดนั้นเชียว?”
นางเปิดอ่านหนังสืออีกครั้ง มือเรียวยาวข้างหนึ่งยื่นเข้ามาบังหน้าหนังสือไว้ โม่อู๋เยว่โน้มตัวเข้าใกล้ เส้นผมของเขาช่อหนึ่งตกใส่ใบหน้าของจูนจิ่ว ภายใต้แสงอาทิตย์ผมสีดำเปลี่ยนเป็นสีเงินในพริบตา
ที่จริงเขามีผมและคิ้วเป็นสีเงิน และมีลักษณะท่าทางเหมือนตัวมารมาก
โม่อู๋เยว่เสยคางของนางขึ้นมา ให้มองตรงมาที่ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย นัยส์ตาของโม่อู๋เยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาพูดว่า “ภายในสองเล่มนี้มองไม่เห็นหรอก เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เรียนพื้นฐานจากสองเล่มนี้ให้เป็นก่อน ที่เหลือข้างหลังข้าจะสอนเจ้าเอง”
“เจ้าสอนข้า?”
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะว่าข้าเป็นอาจารย์ของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไง ไม่ใช่หรือ?” เสียงหัวเราะที่ยั่วยุซุกซน เหมือนกำลังดีดสายเครื่องเล่นดนตรี จูนจิ่วรู้สึกซาบซึ้งใจหน่อยๆ
ทันใดนั้นจูนจิ่วรู้สึกว่า โม่อู๋เยว่มีแผนการซ่อนอยู่ สำหรับประโยชน์ของหนังสือเพลงวิทยายุทธสองเล่มนี้มีมากเพียงใดไม่สำคัญ สิ่งที่โม่อู๋เยว่ต้องการก็คือหลังจากนี้เขาจะสอนนางด้วยตัวเอง ทั้งหมดสามารถมองทะลุถึงไส้ถึงพุงได้อย่างชัดเจน จูนจิ่วกระตุกยิ้มมุมปาก “ก็ดีนะ”
โม่อู๋เยว่จะสอน ทำไมนางต้องไม่เอาล่ะ? คนที่เป็นศิษย์ก็ต้องเอาความรู้แจ้งจากอาจารย์มาให้หมด
เดิมที่คิดว่าการเลือกหนังสือจะใช้เวลาทั้งวัน แต่ผลปรากฏว่าใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว จูนจิ่วกลับไปด้วยความเบื่อเซ็ง และเจอพวกหยูนเฉียวกำลังเก็บเมล็ดทานตะวันและห่อขนมอยู่พอดี ดูท่าแล้วเหมือนจะออกไปเที่ยวปิกนิกข้างนอกเลย แต่ตอนนี้มันเข้าสู่ฤดูใบไม่ร่วงแล้วนะ นี่จะไปดูต้นเมเปิ้ลกันหรือ?
เมื่อเห็นนางกลัลมา หยูนเฉียวรีบวิ่งเข้ามา ยิ้มตรงมุมปาก แล้วพูดว่า “ไปๆๆ แม่นางจูนพวกเราไปดูละครเด็ดกันเถอะ”
“ละครเด็ดอะไรกัน?”
“แม่นางจูน เจ้าลืมไปแล้วหรือ? งานแต่งงานของจูนหยูนเสวี่ยกับเฟิ่งเทียนฉี่ไงล่ะ คือวันนี้แล้ว หากไม่ใช่เช้านี้ที่ฮ่องเต้เป่าประกาศไปทั่วหล้า พวกข้าก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะแต่งงานกันวันนี้ แม่นางจูนเจ้าไปหรือไม่? ” หยูนเฉียวกระพริบตาถี่ๆ
จูนหยูนเสวี่ยกับเฟิ่งเทียนฉี่แต่งงานกันวันนี้ เร็วขนาดนั้นเชียว?
จูนจิ่วขอกดไลค์รัวๆให้กับความรวดเร็วของฮ่องเต้เลย จากนั้นมองไปที่พวกหยูนเฉียวที่กำลังเก็บข้าวของ จูนจิ่วปรบมือ “ไม่ต้องเก็บแล้ว ขี้เกียจถือ ไปที่งานแต่งโดยตรงเลย ยังจะกังวลว่าไม่มีเมล็ดทานตะวันกับขนมกินอีกหรือ?”
“แล้วถ้าหากในงานแต่งมียาพิษล่ะ?” จูนเสี่ยวเหล่ยพูดด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
หยูนเฉียวหยักหน้าเห็นด้วย หรือแม้แต่กู่ซงที่อยู่ด้านข้างยังแสดงสีหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของจูนเสี่ยวเหล่ย จูนจิ่วอยากพูดว่านางเป็นถึงนักกลั่นยาจะกลัวยาพิษอะไรกัน? แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว นางก็คงกินอาหารในงานแต่งของจูนหยูนเสวี่ยกับเฟิ่งเทียนฉี่ไม่ลงหรอก ดังนั้น จึงให้พวกหยูนเฉียวเก็บข้าวของต่อเลย
เมื่อได้รับอนุญาตจากจูนจิ่ว ทั้งสามคนก็รีบไปเก็บของอย่างมีความสุข รอถึงตอนที่พวกเฟิ่งเซียวมารับพวกเขา เห็นว่าข้างหลังมีสิ่งของถุงเล็กถุงใหญ่อดไม่ได้ที่จะหน้าดำใส่ “นี่พวกเจ้าจะย้ายบ้านหรือไง?”
“ไม่นะ ไปดูละครเด็ดต่างหากล่ะ” จูนเสี่ยวเหล่ยพูดเสียงสดใส
สำหรับจูนหยูนเสวี่ยการแต่งงานกับเฟิ่งเทียนฉี่นับว่าเป็นฝันร้าย แต่สำหรับพวกเขากลับเป็นละครเด็ดที่ร้อยปีก็ไม่ได้ชมครั้งหนึ่ง เหอจงตายแล้ว จะปล่อยจูนหยูนเสวี่ยไปได้อย่างไร? แล้วก็ผู้ชายเฮงซวยนั่นด้วย ให้พวกเขาได้ครองคู่กันระหว่างหญิงร้ายชายเลว ปล่อยให้พวกเขาจองเวรซึ่งกันและกันเถอะ
หลังจากที่มีเฟิ่งเซียวเป็นรองหัวหน้า โม่อู๋เยว่ “อาจารย์” คนนี้ก็สามารถปรากฏข้างกายจูนจิ่วได้อย่างเปิดเผย แต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีลูกศิษย์สำนักเทียนโจ้งเห็นการอยู่ของโม่อู๋เยว่
จูนจิ่วเหลือบมองโม่อู๋เยว่ถามเขาว่า “เจ้าไปไหม?”
“แผนที่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์วางไว้ ข้าต้องไปอยู่แล้ว”
การแต่งงานครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จูนจิ่วตั้งใจเตรียมไว้ให้จูนหยูนเสวี่ยและเฟิ่งเทียนฉี่เป็นการเฉพาะ น่าเสียดายที่จูนหยูนเสวี่ยไม่ยอมรับ แต่นางก็ไม่มีกำลังสิทธิ์ใดๆในการปฏิเสธ
จูนหยูนเสวี่ยถูกเหลิ่งยวนส่งมาถึงในวังหลวง ยาที่ยับยั่งพลังจิตถูกกินลงไป จูนหยูนเสวี่ย ไม่ได้ต่างอะไรไปจากหญิงสาวธรรมดา นางถูกขังไว้ในตำหนักสองวันเต็ม มีคนที่มาจากพระราชวังหนึ่งกลุ่มถือชุดแต่งงานไว้แล้วพุ่งตัวไปสวมใส่ให้จูนหยูนเสวี่ยทันที
ในที่สุดจูนหยูนเสวี่ยก็ต้องทำใจยอมรับความหวาดกลัวในจิตใจ นางจะต้องแต่งงานกับเฟิ่งเทียนฉี่จริงๆ
ไม่ นางแต่งงานไม่ได้ นางจะแต่งงานกับเฟิ่งเทียนฉี่ไม่ได้ นางจะเข้าอู๋อจง เป็นนักจิตใหญ่ เฟิ่งเทียนฉี่จะคู่ควรกับนางได้อย่างไร?
จูนหยูนเสวี่ยดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ร้องตะโกนเสียงดัง “ปล่อยข้า นังข้ารับใช้ต่ำต่อย พวกนังข้ารับใช้ต่ำต่อยปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร? ข้าจูนหยูนเสวี่ยเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลจูน เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถตัดหัวพวกเจ้าทิ้งได้ ปล่อยข้า ”
การไม่มีพลังจิต จูนหยูนเสวี่ยถูกกลุ่มสตรีที่กิริยาบุ่มบ่ามกดทับตัวไว้ พร้อมกับถอดเสื้อผ้านางโดยตรงแล้วสวมชุดแต่งงานแทน จากนั้นแต่งหน้าให้นาง เสียบปิ่นปักผม แล้วลากตัวนางไปที่ตำหนักหลักโดยตรง
ภายในตำหนักหลัก ที่นี่ถูกประดับตกแต่งด้วยโทนสีแดง แต่กลับให้ความรู้สึกว่ากำลังจัดงานศพอย่างนั้น เหล่าขุนนางและแขกที่เข้าร่วมมองไปที่ใบหน้าที่เยือกเย็นของฮ่องเต้และฮองเฮา แล้วมองไปที่เฟิ่งเทียนฉี่ที่ถูกเข็นเข้ามาหลับไม่ได้สตินั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น
ภาพเหตุการณ์นี้มองยังไงก็รู้สึกแปลกชอบกล ไม่มีใครกล้าออกเสียง เงียบจนแต่ละคนต่างมองหน้าเข้าหากัน ภายใต้ความเงียบ เสียงด่าว่าของจูนหยูนเสวี่ยกลับดังชัดจนน่ารำคาญ ทำให้ทุกคนต่างพากันหันหน้าไปดู……