บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 161 สวมรอยเป็นจูนจิ่วแล้วจะเฟื่องฟูขึ้นมาชั่วพริบตาเดียว
- Home
- บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ
- บทที่ 161 สวมรอยเป็นจูนจิ่วแล้วจะเฟื่องฟูขึ้นมาชั่วพริบตาเดียว
บทที่ 161 สวมรอยเป็นจูนจิ่วแล้วจะเฟื่องฟูขึ้นมาชั่วพริบตาเดียว
“ช่างโง่เขลา” ซั่งกวนอี่หรงโกรธจนตัวสั่น “เสว่เอ๋อร์แต่ก่อนเจ้าฉลาดมากขนาดนั้น ทำไมตอนนี้ถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เจ้าจะสามารถคิดการชั่วต่อสำนักเทียนโจ้งได้อย่างไร? หากแผนชั่วร้ายของเจ้าสำเร็จและสามารถฆ่าผู้อำนวยการได้จริง ทว่าตอนนี้เรื่องถูกเปิดโปง เจ้ายังอยากไปอู๋อจงอีกหรือ? ”
เมื่อได้ยินคำว่าอู๋อจง จูนหยูนเสวี่ยรีบดึงสติกลับมา ดวงตาของนางแดงก่ำ “ท่านแม่ช่วยข้าด้วย ข้าจะต้องไปอู๋อจงให้ได้ ข้าไม่อาจอยู่ร่วมกับเฟิ่งเทียนฉี่ได้ ท่านแม่ก็เห็นแล้ว เฟิ่งเทียนฉี่เป็นคนทุพพลภาพไปแล้ว เขาไม่คู่ควร ไม่คู่ควรกับหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเทียนโจ้งอย่างข้า ไม่เลยสักนิด”
“เจ้าอยากไปอู๋อจง ยังมีอีกวิธีหนึ่ง ” ซั่งกวนอี่หรงกัดฟันแน่น นัยน์ตาพลันสะท้อนประกายอิจฉาและโกรธแค้น นางลอบถอนหายใจหนัก พูดกระซิบเสียงต่ำที่ข้างหูจูนหยูนเสวี่ยว่า “แม่ไม่เพียงแต่สามารถทำให้ลูกไปที่อู๋อจงได้ ยังสามารถทำให้ลูกกลายเป็นคนที่สูงส่ง ขอเพียงแค่ลูกยอมเป็นจูนจิ่ว”
“ท่านแม่ ท่านหมายความว่า” จูนหยูนเสวี่ยเบิกตากว้าง
“เสว่เอ๋อร์เจ้าฟังแม่พูดก่อน จูนจิ่วไอ้นังสารเลวนั้นมันไม่ใช่ลูกของคุณชายสาม แต่เป็นลูกของคุณชายห้า ตอนที่พ่อแม่นางตายไป ไท่ซ่างฮ่องจึงมอบนางให้พวกเราดูแล เสว่เอ๋อร์เจ้ารู้หรือไม่ ต่อให้พวกจูนหมิงเย่จะตายไปแล้ว ทว่าได้ทิ้งทรัพย์สมบัติให้จูนจิ่วไว้อย่างนับไม่ถ้วน”
จูนหยูนเสวี่ยที่ยังตกใจเรื่องที่ว่าจูนจิ่วเป็นลูกสาวของนักรบจูนหมิงเย่อยู่ คำพูดต่อไปของซั่งกวนอี่หรง ยิ่งทำให้นางตกตะลึงตาค้าง
ซั่งกวนอี่หรงเหมือนตัวสั่นสะท้านอย่างบ้าครั่ง อิจฉาตาร้อน “ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของที่แม้กระทั่งแคว้นเทียนโจ้งยังไม่กล้าคิดถึงเลย หินทิพย์ชั้นห้าที่แม่ให้กับเจ้าก็เป็นแค่หนึ่งในทรัพย์สมบัติเหล่านั้นที่มีระดับต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปีที่สามที่จูนจิ่วมาย้ายมาอยู่ที่บ้านจะมีของมีค่าส่งมาให้ในทุกๆปี ”
“สิ่งที่ท่านแม่พูดล้วนเป็นความจริงรึ?” จูนหยูนเสวี่ยตกตะลึงตาค้างไม่อยากจะเชื่อจริงๆ
“แน่นอน” ซั่งกวนอี่หรงพยักหน้า “ในทุกๆปีอย่างมีจดหมายอีกหนึ่งฉบับส่งมาด้วย ล้วนเป็นการถามไถ่ว่าจูนจิ่วสบายดีไหม ซึ่งจดหมายเหล่านั้นแม่เป็นคนตอบกลับไปเองทุกฉบับจะโกหกเจ้าได้อย่างไร? ถึงแม้จูนหมิงเย่จะตายไปแล้ว แต่คนที่ทำเรื่องพวกนี้เป็นลูกน้องที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขาที่มีนามว่ากองทัพเย่สิง ”
กองทัพเย่สิง
จูนหยูนเสวี่ย ตกใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดี กองทัพเย่สิงเคยเป็นกองทัพที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจูนหมิงเย่ ชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลโพ้น ทำให้ศัตรูมากมายแค่ได้ยินชื่อก็กลัวจนเสียขวัญแล้ว นับตั้งแต่ที่จูนหมิงเย่เสียชีวิต กองทัพเย่สิงก็หายสาบสูญไปทันที แคว้นเทียนโจ้งพยายามตามหามาหลายปีแล้วก็ยังหาไม่เจอ
คิดไม่ถึงว่ากองทัพเย่สิงกลับส่งของมีค่ามาให้จูนจิ่วในทุกๆปี เมื่อคิดได้ว่าหินทิพย์ชั้นห้าก็แค่หนึ่งในของมีค่าที่มีระดับต่ำที่สุด จูนหยูนเสวี่ยนึกอิจฉาจวนจะบ้าอยู่แล้ว จูนจิ่วนังสารเลวนางมีสิทธิอะไรที่จะได้รับของมีค่าเหล่านี้? เพียงเพราะว่านางเป็นลูกสาวของจูนหมิงเย่หรือ?
ซั่งกวนอี่หรงดึงมือของจูนหยูนเสวี่ยไว้ “เสว่เอ๋อร์ หลายปีที่ผ่านมานี้กองทัพเย่สิงอยากพบตัวจูนจิ่วมาโดยตลอด แต่แม่หาข้ออ้างปฏิเสธไป ตอนนี้ถึงเวลาที่จะพบกองทัพเย่สิงแล้ว ทว่าคนที่พวกเขาจะพบไม่ใช่จูนจิ่วแต่เป็นเจ้า ”
จูนหยูนเสวี่ยลอบถอนหายใจ นางเข้าใจความหมายของซั่งกวนอี่หรงแล้ว
ให้นางสวมรอยสถานะของจูนจิ่ว จูนหยูนเสวี่ยไม่ลังเลเลยสักนิด รีบตอบตกลง เพียงแค่นางสวมรอยจูนจิ่ว ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็จะตกเป็นของนางทั้งหมด การไปอู๋อจงก็เป็นเพียงเรื่องที่ง่ายนิดเดียว นางเฟื่องฟูขึ้นมาชั่วพริบตาเดียว ยังต้องเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นอะไรนั้นอีกรึ?
บนใบหน้าแสดงอาการตื่นเต้น จูนหยูนเสวี่ยพูด “ท่านแม่แล้วข้าต้องทำอย่างไร?”
“นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเจ้าก็คือลูกสาวของจูนหมิงเย่ พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าจูนจิ่วมาก่อน ส่วนสถานภาพของจูนจิ่วที่เปิดเผยต่อภายนอกก็คือเป็นลูกของคุณชายสาม กองทัพเย่สิงจะไม่สงสัยในสถานะของลูกหรอก ฉะนั้นลูกจงเข้มแข็งไว้ กลับไปที่สำนักเทียนโจ้งเสีย รอกองทัพเย่สิงไปหาเจ้า ซึ่งนั้นก็คือวันที่ตระกูลจูนจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง”
“ทำไมต้องกลับไปที่สำนักเทียนโจ้ง?”
“หากเจ้าไม่กลับไปแล้วเจ้าจะอยู่จวนอ๋องฉี่ที่โกโรโกโสแห่งนี้และยังต้องเจอหน้าเฟิ่งเทียนฉี่ทั้งวันงั้นหรือ? และเจ้ายิ่งกลับไปที่จวนจูนไม่ได้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงเจ้าหลังแต่งงานเสื่อมเสีย
การกลับไปที่สำนักเทียนโจ้ง ขอแค่ยืนหยัดจนถึงวันที่กองทัพเย่สิงมาถึง เสว่เอ๋อร์พวกเราจะกลัวจูนจิ่วอะไรนั้นอีกรึ?”
กองทัพเย่สิงเชื่อฟังแต่คำพูดของจูนหมิงเย่ ไม่แยแสตระกูลจูน ทว่าขอเพียงแค่พวกเขายอมรับแม่นายจูนหยูนเสวี่ย ยังจะกลัวว่าไม่ช่วยตระกูลจูนอีกหรือ? พอถึงตอนนั้น ตระกูลหยูน พระราชวงศ์ล้วนจะต้องก้มหัวฟังคำสั่งของพวกเขา
ซั่งกวนอี่หรงมอบป้ายคำสั่งอันหนึ่งให้กับจูนหยูนเสวี่ย “เจ้าเก็บป้ายคำสั่งอันนี้ไว้ เจ้าก็คือลูกสาวของจูนหมิงเยว่แล้ว เสว่เอ๋อร์เจ้าอย่าทำให้แม่กับพ่อผิดหวังนะ”
“ท่านแม่วางใจได้” สายตาจูนหยูนเสวี่ยเกิดประกายแวววาว จับป้ายคำสั่งไว้แน่น นางกระตุกยิ้มมุมปากด้วยความตื่นเต้นและอำมหิต
ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงว่าบิดาของจูนจิ่วจะทิ้งทรัพย์สมบัติเช่นนี้ไว้ นั่นก็คือการทิ้งกองทัพเย่สิงไว้ให้ ทว่านับจากนี้ไป พวกเขาล้วนต้องตกเป็นของนาง และสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อได้พบกองทัพเย่สิงก็คือสั่งให้พวกเขาฆ่าจูนจิ่วให้ตาย ทีนี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเปิดโปงสถานะที่แท้จริงของนางได้อีก และนางจะได้เป็นลูกสาวของจูนหมิงเย่อย่างถูกต้อง
ซั่งกวนอี่หรงรีบช่วยจูนหยูนเสวี่ยเก็บข้าวของ เพื่อส่งนางกลับไปที่สำนักเทียนโจ้ง ส่วนเฟิ่งเทียนฉี่ ตอนนี้จะมีใครสนใจเขาล่ะ?
หลังจากที่ซั่งกวนอี่หรงทำทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงกลับไปที่จวนจูน นางกำลังรอข่าวดีจากจูนสงเทียน แต่กลับไม่รู้ว่าตอนที่กลับไปถึงตรงประตูทางเข้าจวนจูนจะต้องเจอกับศพที่มีเลือดชุ่มไปทั้งตัวห้อยอยู่ เสียงกรีดร้องดังลั่น ซั่งกวนอี่หรงเป็นลมหมดสติไป……
ย้อนเวลากลับไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
การต่อสู้ระหว่างจูนจิ่วกับจูนสงเทียนในตอนท้าย ฝ่ามือซ้ายปะทะเข้าที่หัวไหล่ของจูนจิ่ว เสียงแตกหักดังขึ้น จูนจิ่วเปล่งเสียงออกมาเพียงนิดเดียว โดยที่หัวคิ้วไม่ขยับเลย ดวงตาเย็นเฉียบของนางมองไปที่โยวยิ่ง ภายใต้สายตาที่เหลือเชื่อของจูนสงเทียน โยวยิ่งทะลุผ่านฝ่ามือข้างขวาของเขา
ราวกับลูกบอลที่ถูกแทงให้รั่ว พลังทิพย์ทั้งหมดรั่วไหลออกไป มาดอำนาจของจูนสงเทียนพิการไปในพริบตา จูนจิ่วไม่ลังเลเลยสักนิด ยกดาบป๋ายเย่ขึ้นมาแล้วฟันเข้าที่ศีรษะของจูนสงเทียนจนขาดสะบั้น
ฉวยโอกาสตอนที่เจ้าป่วยและปลิดชีวิตเจ้า
จูนสงเทียนมาแล้ว อย่าคิดว่าจะมีชีวิตเดินจากไป
เสียงศีรษะตกลงที่พื้นดังตูบ ศีรษะของจูนสงเทียนยังคงมีอาการตกตะลึง ใบหน้าที่แสดงอาการเหลือเชื่อ ร่างกายของเขายืนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นล้มลงไปที่พื้น
จูนจิ่วเก็บดาบป๋ายเย่และโยวยิ่งเข้าที่ นางก้มหัวเหลือบตาไปมองกระดูกตรงหัวไหล่ที่แหลก ความรู้สึกเจ็บปวดค่อยๆก่อตัวขึ้น อย่างไรก็ตามการที่ได้ฝึกซ้อมอยู่หลายครั้ง สำหรับจูนจิ่วแล้วความเจ็บปวดแค่นี้สามารถมองข้ามได้เลย ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อนาง
ภายใต้เสียงตื่นตระหนกเป็นห่วงของทุกคน มือเรียวยาวงามข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของจูนจิ่วอย่างเบามือ น้ำเสียงแหบแห้งทุ้มต่ำสื่อความที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ”
“ไม่เป็นไร”
“เชื่อฟังนะ อย่าขยับ” ปลายนิ้วมือของโม่อู๋เยว่มีแสงสีทองเปล่งประกายครอบคลุมตรงไหล่ของจูนจิ่ว คนอื่นอาจจะดูไม่ออกว่าโม่อู๋เยว่กำลังทำอะไร จูนจิ่วกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ไหล่ตรงที่กระดูกแหลกกำลังถูกรักษา
กระดูกเชื่อมเข้าหากันก่อนจากนั้นเลือดเนื้อสมานเข้าหากัน เหมือนเวลาถูกย้อนกลับไป เพียงชั่วพริบตาเดียว ไหล่ของนางได้รับการฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติดั่งเดิม ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด มีเพียงเสื้อที่อาบด้วยเลือดจนเปียกชุ่ม ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่านางเคยได้รับบาดเจ็บจริง ไม่ใช่ภาพลวงตา
จูนจิ่วมองไปที่โม่อู๋เยว่ด้วยความประหลาดใจ “สุดยอดมาก นี่มันวิธีรักษาอะไร?”
“เทียนฟู่เฉินทง” โม่อู๋เยว่ไม่ได้พูดว่าการรักษาแบบเทียนฟู่เฉินทง จะใช้สำหรับคู่รักหรือญาติของตนเองเท่านั้น แล้วคนอื่นล่ะ? เผ่ามังกรที่จิตใจเลือดเย็นไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย
จูนจิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อย พลันเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อน นางขยับเขยื้อนหัวไหล่ที่หายดีดั่งเดิม แล้วมองไปทางพวกเฟิ่งเซียวพร้อมเอ่ยว่า “เอาศพของจูนสงเทียนไปแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านตระกูลจูน หยูนจ้งจิ่นใช้คนของเจ้าจัดการให้เรียบร้อย”