บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 167 จูนจิ่วเป็นยาถอนพิษของเขา
บทที่ 167 จูนจิ่วเป็นยาถอนพิษของเขา
“เป็นอาจารย์ของเสี่ยวจิ่วเอง พลังอำนาจเก่งกาจมาก ถึงแม้ข้าไม่เคยเห็นเขาลงมือต่อสู้ แต่โดยสัญชาตญาณข้ามั่นใจว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่” เฟิ่งเซียว พูดอธิบายไปด้วยและพูดต่ออีกว่า “หากข้าไปที่อู๋อจงยังไงซะก็คงได้เป็นถึงผู้อาวุโส? จูนหยูนเสวี่ยจะเก่งกาจแค่ไหน ก็คงทำได้แค่พึ่งผู้อาวุโสและยังจะมีใครอีกล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โล่ชิวเห้อเข้าใจทันที อาจารย์ของจูนจิ่วเก่งกาจกว่าผู้อาวุโสของอู๋อจง ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจูนหยูนเสวี่ยจะมาไม้ไหนอีก
ทว่ากันไว้ย่อมดีกว่าแก้ โล่ชิวเห้อจึงพูดกำชับจูนจิ่ว “จูนจิ่ว เจ้าจะต้องระวังตัวด้วย อย่าไปหลงกลอุบายของจูนหยูนเสวี่ย นางอยู่ที่สำนักเทียนโจ้ง ข้าจะส่งคนคอยสะกดรอยตามนางไว้ เพื่อไม่ให้นางได้มีโอกาสใดๆ”
“อืม” จูนจิ่วพยักหน้าเบาๆ
นางพูดในใจ จูนหยูนเสวี่ยคงไม่ตุกติกที่สำนักเทียนโจ้งหรอก นางมีโอกาสถมไป รอจนถึงวันที่คัดเลือกศิษย์ดีเด่น ตอนอยู่ที่เวทีประลองแสดงการต่อสู้ ทว่าหากรอจนถึงขึ้นเวทีประลอง……จูนจิ่วยิ้มหยันกระตุกมุมปาก ท่าทีโหดร้ายยิ่ง นางจะนั่งรอจูนหยูนเสวี่ยที่ส่งมาถึงที่ ตบหน้าดังเพียะๆๆจะต้องดังมากแน่นอน
จูนจิ่วลูบสัมผัสเสี่ยวอู่ แล้วพูดว่า “การคัดเลือกศิษย์ดีเด่นจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่?”
“เริ่มพรุ่งนี้ เวลายืดเยื้อมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ศิษย์ที่เข้ารอบคัดเลือกมีสิบคน และพักผ่อนพอสมควรแล้ว” โล่ชิวเห้อพูด
การคัดเลือกศิษย์เข้ารอบทั้งหมดสิบคน ซึ่งหนึ่งในนั้นมี กู่ซง หยูนเฉียว และจูนเสี่ยวเหล่ยอยู่ด้วย ส่วนจูนจิ่วได้สิทธิพิเศษเข้ารอบศิษย์ดีเด่นตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว บวกกับจูนหยูนเสวี่ยที่บุกเข้ามากลางคัน รวมทั้งสิ้นสิบสองคน
“สิบสองคน แล้วศิษย์ดีเด่นมีกี่สิทธิ?”
“เบื้องต้นมีสามสิทธิ จูนหยูนเสวี่ยมาปุ๊บ ถูกแย่งไปหนึ่งสิทธิ น่าเกลียดที่สุด” โล่ชิวเห้อเกลียดคนที่ไม่ทำตามกฏกติกา ใช้วิธีสกปรกเข้าทางลัดมากที่สุด ในตอนนั้นเหอจงก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกเกลียดชังมาก มาถึงตอนนี้เหอจงไม่อยู่แล้ว จูนหยูนเสวี่ยก็ยังคว้าสิทธิไปได้
โล่ชิวเห้อนวดคลึงระหว่างคิ้ว เขาลอบถอนหายใจยาว “จูนจิ่ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้การคัดเลือกศิษย์ดีเด่นเริ่มขึ้นแล้ว เจ้าต้องสู้ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องเป็นที่หนึ่งของสำนักเทียนโจ้ง หากเจ้าคว้าที่หนึ่งของสำนักเทียนโจ้งได้ เมื่อไปถึงอู๋อจงเจ้าจะมีสิทธิพิเศษที่ดีกว่าลูกศิษย์คนอื่นๆ”
“ได้ ข้าจะพยายามแน่นอน” จูนจิ่วอุ้มเสี่ยวอู่ไว้ เฟิ่งเซียวรีบลุกขึ้นยืนเดินตามนางกลับไปด้วย
ระหว่างทางกลับ เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคำพูดรังเกียจและตำหนิจูนหยูนเสวี่ยอีกรอบ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของจูนจิ่วที่มีอาการเฉยเมย เฟิ่งเซียวก็ไม่ได้พูดถึงมันอีก ให้จูนจิ่วได้พักผ่อนดีๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นในวันพรุ่งนี้
เมื่อกลับถึงที่พัก เสี่ยวอู่พุ่งเข้าไปจัดเตรียมที่นั่งให้เรียบร้อย เพื่อให้จูนจิ่วนั่ง ขณะที่เพิ่งจะนั่งลง ข้างลำตัวมีพลังงานบางอย่างเคลื่อนตัวออกมา มีมารตนหนึ่งกำลังปรากฏตัวอย่างเงียบๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างขี้เกียจ “หรือว่าฆ่าจูนหยูนเสวี่ยทิ้งซะ เจ้าจะได้ไม่ต้องรำคาญใจ”
“ข้าไม่รำคาญใจ เจ้าจะรู้สึกรำคาญเพราะมดตัวนิดเดียวด้วยหรือ?” จูนจิ่วย้อนถามโม่อู๋เยว่
นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นโม่อู๋เยว่ก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเขาเหมือนเสียงต้องมนต์สะกดวิญญาณ น้ำเสียงเฉื่อยชาเร้าใจคน เสียงดังผ่านเข้าหู ไออุ่นที่พุ่งขึ้นสูงทำให้ร้อนไปทั้งตัว
โม่อู๋เยว่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พูดถูก ก็แค่มดเอง จะทำให้เจ้ารำคาญใจได้อย่างไหร่?
“ข้ายังรู้สึกแปลกใจมาก จูนหยูนเสวี่ยที่ตกลงไปในหลุมเหวลึก นางปีนขึ้นมาได้อย่างไร? อีกทั้งยังติดต่อกับคนของอู๋อจงได้? นี่อาจจะเกี่ยวพันกับเรื่องที่ทำไมตระกูลจูนถึงมีหินทิพย์ชั้นห้า” จูนจิ่วนำหินทิพย์ชั้นห้าออกมาพินิจพิเคราะห์ดู
สัญชาตญาณนางแม่นยำมาก ตอนที่ได้ยินคำพูดอู๋ซานศิษย์ของเจ้าสำนักตันจง จูนจิ่วก็ตั้งข้อสงสัยนี้แล้ว
ตระกูลจูนมีหินทิพย์ชั้นห้าที่เดิมทีไม่ควรมีไว้ครอบครอง ตอนนี้กลับมีคนของอู๋อจงที่ดึงนางขึ้นมาจากดินโคลนตมเหวลึก ทั้งยังให้นางเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นอีก ระหว่างนี้ มันจะต้องมีเงื่อนงำบางอย่าง และยังเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญด้วย
ความคิดตีวนอยู่ในหัว จูนจิ่วพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าจูนหยูนเสวี่ยจะทำได้ด้วยวิธีอันใด ข้าจะต้องรู้คำตอบแน่ ข้าสามารถถีบนางลงเหวลึกได้ครั้งหนึ่ง ก็ย่อมถีบนางลงรอบที่สองได้เช่นกัน
“แล้วข้าล่ะ? ข้าได้ยินคำพูดของเจ้าแล้ว” โม่อู๋เยว่หมายถึงคำพูดที่จูนจิ่วพูด
ใครจะไปรู้ว่าตอนที่เขาได้ยินประโยคนั้นที่พูดว่า “ข้ายังมีโม่อู๋เยว่” เขาอยากจะกระโจนพุ่งตัวออกไปมากเพียงใด ความอยากนั้นข่มแทบไม่อยู่ อยากจะกัดเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์สักคำหนึ่ง ยิ่งใกล้ยิ่งดึงดูดและยิ่งจมดิ่ง
แต่ก่อนโม่อู๋เยว่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาเองจะเป็นเช่นวันนี้ได้ เหมือนกับการโดนพิษฝิ่นมีเพียงจูนจิ่วที่เป็นยาถอนพิษของเขา
ริมฝีปากบางที่เย้ายวนคน โค้งมนยกสูงนิดๆ ดวงตาของโม่อู๋เยว่แปรเปลี่ยนเป็นสีทอง ดุจดั่งพายุหมุนที่ล้อมรอบตัวจูนจิ่วไว้ น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยปากพูด “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พูดอีกครั้งสิ”
“เหมียว” เสี่ยวอู่ตบโต๊ะ สิ่งที่นายท่านพูดเป็นความจริง อย่ามาทำทีพูดออกจากปากบ้ากามของเจ้าแล้วทำให้เป็นภาษารักไปได้ไหม
เสี่ยวอ่โกรธจัด จ้องไปที่โม่อู๋เยว่ หันหน้ากลับไปนั่งที่อ้อมอกของจูนจิ่ว แยกเขี้ยวยิงฟันใส่โม่อู๋เยว่ยิ้มอย่างวางมาดอำนาจ โม่อู๋เยว่ในวันนี้อยากจะถลกหนังของเสี่ยวอู่แล้วนำไปทำเป็นผ้าปูที่นั่งเสีย แต่เขายอมอดทนไว้
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่พูดอีกรอบจริงๆหรือ?”
จูนจิ่วยิ้มร้ายๆ “ข้ายังมีเจ้าไง ฟังพอหรือยัง? โม่อู๋เยว่เจ้าไม่ไปข้าก็ไม่ไล่นะ แต่หากเจ้าอยู่ก็ต้องทำงาน เรียกเมื่อไหร่ก็ต้องมา”
“ได้” โม่อู๋เยว่ยิ่งมีรอยยิ้มลุ่มลึก
วิญญาณของจูนจิ่วเหมือนกับอัญมณีที่ทั้งใหญ่ ทั้งหนา ทั้งสว่างไสว ส่องแสงประกายตลอดเวลา เหมือนดั่งประทีปทอแสงในความมืดมิด ดึงดูดโม่อู๋เยว่อย่างแรงกล้า ทั้งปกป้องรักษาอัญมณีของตนด้วยความโลภและเผด็จการ ไม่ต้องรอให้จูนจิ่วพูด โม่อู๋เยว่ก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่แล้ว
ไม่ว่าใคร ห้ามมีความคิดล่วงเกินเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เด็ดขาด
ชั่วพริบตาเดียวผ่านไปแล้วหนึ่งคืน การคัดเลือกศิษย์ดีเด่นเริ่มต้นขึ้นในวันที่สอง ทั้งสำนักเทียนโจ้งที่บรรยากาศเดิมทีก็ดูร้อนแรงมากอยู่แล้ว ตอนนี้ความดุเดือดวุ่นวายทวีพุ่งมากขึ้น ไม่ใช่ว่าโล่ชิวเห้อไม่ได้ประกาศแจ้งก่อน แต่เป็นเพราะว่าเวลาถูกกำหนดโดยทูตอู๋อจง เมื่อพวกเขามาถึงก็เริ่มเลย
ณ สนามฝึกซ้อมวิทยายุทธของสำนักเทียนโจ้ง พระอาทิตย์ยังขึ้น ที่นี่ก็เต็มไปด้วยลูกศิษย์สำนักเทียนโจ้ง รอบๆสนามฝึกซ้อม ประกอบไปด้วยแท่นชมการแข่งขัน แท่นชมการแข่งขันแบ่งออกเป็นสองโซน ฝั่งหนึ่งเต็มไปด้วยคน อีกฝั่งหนึ่งหรูหราสวยงาม ใช้สำหรับต้อนรับแขกอาคันตุกะ
ตำแหน่งแถวที่เดิมทีเคยเป็นของตระกูลจูนและตระกูลหยูน ตอนนี้เหลือเพียงตระกูลหยูน หยูนจ้งจิ่นและเจ้าบ้านตระกูลหยูนที่ไม่เคยเผยโฉมหน้าก็มาด้วยเช่นกัน เป็นชายวัยกลางคนที่หน้าตาเป็นมิตร ทั้งยังมีมิตรสัมพันธ์อันดีกับโล่ชิวเห้อและเฟิ่งเซียว
เจ้าบ้านตระกูลหยูนพูดขึ้นว่า “ไท่ซ่างฮ่อง วันนี้ข้ามาและตั้งใจเตรียมของขวัญชิ้นพิเศษติดมาด้วย ต้องขอบพระคุณบุญคุณของแม่นางจูนจิ่วที่มีต่อตระกูลหยูนอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เพื่อตระกูลหยูน เพื่อลูกชายคนเล็กหยูนเฉียวด้วย หากไม่ใช่แม่นางจูนจิ่ว หยูนเฉียวจะเข้าสำนักเทียนโจ้งได้อย่างไร และจะสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นได้อย่างไร”
“ฮ่าๆๆ ของขวัญน่ะข้ารับไว้ละนะ ตระกูลหยูน เจ้าควรจะออกมาเดินเล่นเยอะๆหน่อย” เฟิ่งเซียวพูด
เจ้าบ้านตระกูลหยูนยังเสียใจที่ต้องสูญเสียภรรยาไป จึงน้อยครั้งนักที่จะออกมาพบผู้คน อำนาจใหญ่ของตระกูลหยูนมอบหมายให้กับหยูนจ้งจิ่นแล้ว แต่ก่อนเขาและหยูนจ้งจิ่นเป็นสองบุคคลลึกลับในเมืองหลวง น้อยมากที่จะได้เจอผู้คน อันที่จริงแม้แต่หยูนจ้งจิ่นและหยูนเฉียวเองก็พบเจอเขาน้อยมาก
เจ้าบ้านตระกูลหยูนพูดอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าแม่นางจูนพักอยู่ที่ใด?”
“ดูนั่น มากันแล้ว”