บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 176 แพ้ชนะถูกแบ่งชัดเจนแล้ว
บทที่ 176 แพ้ชนะถูกแบ่งชัดเจนแล้ว
จูนหยูนเสวี่ยที่เห็นว่าจูนจิ่วสามารถกีดกันพายุฝนให้อยู่นอกเกราะป้องกันได้อย่างง่ายดาย นางจ้องมองด้วยความตกใจและไม่อยากจะเชื่อ “นี่มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้”
จูนจิ่วยืนอยู่ภายในเกราะป้องกัน มองนางด้วยสายตาเย็นเยือก “จูนหยูนเสวี่ย ควรจบได้แล้ว”
“ไม่”
จูนจิ่วยกแขนขึ้นมาหันไปข้างหน้าลำตัวพร้อมเผชิญหน้ากับจูนหยูนเสวี่ย ฝ่ามือของนางที่กางออกจู่ๆก็กำหมัดแน่น บูม เกราะพลังทิพย์แตกกระกายไปทั่วทุกทิศ อาวุธลับที่โดนพลังทิพย์เด้งย้อนกลับคืนไปทางเดิม พวกมันไม่ได้ย้อนกลับไปที่ลูกพายุฝน เพียงพริบตาเดียวพุ่งตรงไปที่ร่างกายของจูนหยูนเสวี่ย
จูนหยูนเสวี่ยหวาดผวากระวนวาย ทันแค่ปกปิดใบหน้าไว้ อาวุธลับปลิวผ่านผิวหนังจนฉีกขาด และแทงเข้าไปในเลือดเนื้อ จูนหยูนเสวี่ยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด นางกลิ้งไปทั่วพื้นและเลือดไหลออกจากร่างกายไม่หยุด และเพียงไม่นาน นางก็กลายเป็นคนที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัว
จูนหยูนเสวี่ยร้องเจ็บไปด้วยและร้องขอความช่วยเหลือไปด้วย “ช่วยข้าด้วย ท่านเหอช่วยข้าด้วย”
ท่านเหอ?
มองไปตามทิศทางที่จูนหยูนเสวี่ยร้องขอความช่วยเหลือ จูนจิ่วเงยหน้ามองตามไป สายตาปะทะเข้ากับเหอซ่านจากที่ไกล เมื่อเห็นเหอซ่าน จูนจิ่วเลิกคิ้วขึ้นสูงลูบคางเบาๆ คนนี้คือชายชราที่มอบโรคพายุฝนให้กับนางเมื่อเช้านี้ไม่ใช่หรือ? จูนหยูนเสวี่ยขอความช่วยเหลือจากเขา หรือว่าเขาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังจูนหยูนเสวี่ย? ทว่าทำไมเขาต้องเตือนและช่วยเหลือนางด้วย?
น่าสนใจดี จูนจิ่วรู้สึกว่าได้สัมผัสกับปริศนาลึกลับครั้งใหญ่เสียแล้ว
นางก้าวเท้าเดินไป เตะเข้าที่ก้นของจูนหยูนเสวี่ย เหมือนกับที่นางพูดไว้เมื่อวาน พูดแล้วต้องทำได้ ใช้เท้าเตะจูนหยูนเสวี่ยลงไปโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ตูบ จูนหยูนเสวี่ยล้มลงไปรอบนี้ เหลือเพียงเสียงร้องเจ็บปวด แม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือก็พูดออกมาไม่ได้แล้ว
จัดแจงแขนเสื้อและกระโปรงให้เข้าที จูนจิ่วเงยหน้ามองไปทางโล่ชิวเห้อที่มองจนตาค้าง “ผู้อำนวยการ ประกาศแพ้ชนะได้แล้วสินะ?”
“อ้อ ได้ๆ การแข่งขันรอบนี้ จูนจิ่วชนะ เอาตัวคนที่ได้รับบาดเจ็บออกไป ผู้ที่ชนะเมื่อสองรอบก่อนหน้านี้จูนเสี่ยวเหล่ยและหยูนเฉียวเชิญขึ้นบนเวทีได้” โล่ชิวเห้อไม่ได้คิดละอายใจเรื่องจูนหยูนเสวี่ย ทว่าก็เรียกคนมายกตัวนางลงไป เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงเอะอะเสียงดัง
จูนเสี่ยวเหล่ยและหยูนเฉียวเดินขึ้นมาด้วยความปิติยินดี พวกเขาชูนิ้วโป้งให้กับจูนจิ่ว ยิ้มแป้นดีอกดีใจเป็นพิเศษ ทั้งสองคนยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของจูนจิ่ว ท่าทีเหมือนกับเป็นองครักษ์ข้างกาย
โล่ชิวเห้อหันหน้าไปยังที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ แล้วพูดว่า “การแข่งขันคัดเลือกศิษย์ดีเด่นของสำนักเทียนโจ้งในครั้งนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ผู้ชนะทั้งสามคนล้วนอยู่ที่นี่ เรียนเชิญทูตอู๋อจงตัดสินใจได้ ”
“ได้” อู๋ซานตอบกลับพร้อมลุกขึ้นยืน
ตอนที่เขาเตรียมตัวจะก้าวเท้าออกไป ได้หันหน้ากลับไปมองทางเหอซ่าน อู๋ซานกดเสียงลงต่ำด้วยความลังเลใจ “ท่านเหอ แล้วจูนหยูนเสวี่ย……”
“ไม่ต้องประกาศ นางไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเทียนโจ้ง” เหอซ่านไม่เพียงแต่สังเหตเห็น ในใจเขามีคำตอบไว้อยู่แล้ว อยากจะใช้พลัมแทนท้อ เปลี่ยนของเก๊เป็นของแท้? หื้ม คิดว่าเขาอายุเยอะแล้ว จะตาบอดด้วยหรือไง?
ทว่าเหอซ่านยังคงตั้งใจทำตามคำร้องขอของจูนหยูนเสวี่ย ส่งนางไปที่อู๋อจง สำหรับจุดประสงค์ที่เขาทำเช่นนี้? เหอซ่านมองจูนจิ่วอยู่ไกลๆ นัยน์ตาฉายแววความอ่อนโยนอยู่ครู่หนึ่ง จุดประสงค์ของเขา หลังจากนี้เดี๋ยวก็รู้เอง
เมื่อได้คำตอบจากเหอซ่าน อู๋ซ่านรู้สึกโล่งอกไปที ถ้าต้องประกาศต่อหน้าสำนักเทียนโจ้งว่าจูนหยูนเสวี่ยที่พ่ายแพ้เหมือนหมาคนนี้ ขายหน้าขายไปถึงวงตระกูลยังผ่านการแข่งขันได้ งานนนี้จบยากแน่ คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าพวกเขาแอบใช้ทางลัดเปิดทางให้ หากเรื่องแพร่ไปถึงอู๋อจง เรื่องนี้อธิบายยาก
อู๋ซานบินขึ้นไปบนเวทีโดยตรง เขาสวมใส่เสื้อจิ่นประณีต หน้าตาหล่อเหลาเย้ายวนคน แค่แวบเดียวก็ทำให้หญิงสาวในสำนักเทียนโจ้งลุ่มหลงจำนวนไม่น้อย ทว่าเขายิ้มไปหาจูนจิ่ว สิ่งที่ตอบกลับมาคือรอยยิ้มเย็นเยือกของจูนจิ่วเพียงแวบเดียว แค่นั้นเอง
อู๋ซานนิ่งอึ้งไป อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยเสน่ห์ของตัวเองขึ้นมาทันที
ทว่าจัดการเรื่องสำคัญก่อนดีกว่า
อู๋ซานหันหน้าไปทางผู้คนที่อยู่ ณ สนามฝึกซ้อม “สำหรับการคัดเลือกศิษย์ดีเด่นที่จัดขึ้นสามปีครั้ง สำนักเทียนโจ้งได้คัดเลือกสามคนนี้ ซึ่งพวกเขามีชื่อว่า จูนเสี่ยวเหล่ย หยูนเฉียว และ จูนจิ่ว”
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี อู๋ซานหันหลังกลับไปมองพวกเขาทั้งสามคน มุมปากกระตุกยิ้มบางๆ อู๋ซานพูดว่า “พวกเจ้าทั้งสามคนฟังไว้ให้ดี ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งเดือน เตรียมตัวเองให้พร้อม หนึ่งเดือนหลังจากนี้ รอข้าที่หน้าประตูสำนักเทียนโจ้ง ข้าจะมารับพวกเจ้าไปที่อู๋อจง”
“การไปครั้งนี้ พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกทีเมื่อไหร่ ฉะนั้นจงรักษาเวลาหนึ่งเดือนที่เหลือให้ดีอย่าใช้เวลาสูญเปล่า มิฉะนั้นจะเสียใจในภายหลังได้ ซึ่งในโลกนี้ไม่มียารักษาเสียใจในภายหลัง” คำพูดของอู๋ซานมีการเน้นย้ำและการตักเตือนแฝงอยู่
เขาใช้คำพูดที่ดูอ่อนลงในการบอกกล่าวพวกเขาว่า หนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอันตราย มีความเป็นไปได้ว่าไปแล้วจะไม่ได้กลับมาอีก ฉะนั้นตอนที่จากกัน อย่าให้ตัวเองต้องหลงเหลือเรื่องที่จะทำให้รู้สึกเสียใจในภายหลังได้
อู๋ซานมอบรางวัลให้กับจูนจิ่วพวกเขาด้วย เป็นถุงหินทิพย์ที่หนักมากหนึ่งถุง เขาพูดทั้งหัวเราะว่า “ข้างในนี้มีหินทิพย์ชั้นสองจำนวนสองชิ้น หินทิพย์ชั้นหนึ่งจำนวนสิบชิ้น เป็นของรางวัลที่ข้ามอบให้กับพวกเจ้าเอง ฝึกซ้อมดีๆล่ะ อย่าให้ข้าต้องผิดหวัง อ้อ ใช่แล้ว ข้าชื่ออู๋ซานศิษย์ตันจง”
คำพูดประโยคสุดท้าย อู๋อซานจงใจพูดให้จูนจิ่วฟัง น่าเสียดายที่จูนจิ่วยังคงแสดงสีหน้านิ่งเงียบ ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับเขาเป็นพิเศษ เมื่อเห็นเช่นนั้นอู๋ซานได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วเดินลงจากเวทีไป ทว่าเขาเชื่อมั่นว่าจูนจิ่วจะต้องมาที่ตันจงแน่นอน
รอคนมาถึงที่ตันจงก่อน พอถึงตอนนั้นเขามีทั้งเวลาและโอกาสเหลือเฟือ ที่จะพูดคุยกับ “ศิษย์น้อง” จูนจิ่วดีๆ อู๋ซานคิดได้เช่นนั้น มุมปากกระตุกยิ้มหน่อยๆ
พอเดินออกมาจากสนามฝึกซ้อม จูนจิ่วเดินจากไปท่ามกลางสายตาที่เทิดทูนและการการโอบล้อมของเหล่าลูกศิษย์ สำหรับจะไปทำอะไรนั้น แน่นอนว่าจะต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารของตระกูลหยูนเพราะรับปากหยูนเฉียวไว้แล้ว พอดีเลยจะได้จัดงานฉลองพร้อมๆกันไปเลย พอเหมาะพอดี
ส่วนอีกด้านหนึ่ง สถานการณ์ฝั่งจูนหยูนเสวี่ยกลับไม่สู้ดีนัก
นางร้องครวญครางอยู่บนเตียงพร้อมกลิ้งไปมา ตูบ เสียงตกลงสู่พื้น ทั้งตัวจูนหยูนเสวี่ยเต็มไปด้วยเลือด นางร้องไห้ไปด้วยและร้องโหยหวนไปด้วย ลืมตาขึ้นมามองเห็นเหอซ่านเดินเข้ามา จูนหยูนเสวี่ยยื่นมือออกไปขอความช่วยเหลือ “ช่วยข้าด้วย ข้าเป็นแม่นายของเจ้า ข้าขอสั่งให้เจ้าช่วยข้า โอ๊ย เจ็บมากเลย ”
“อดทนไว้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง” เหอซ่านมองไปที่จูนหยูนเสวี่ยด้วยสีหน้าอึมครึม เขาเพียงแค่ตวัดแขนเสื้อแล้วนำร่างของจูนหยูนเสวี่ยโยนขึ้นไปบนเตียง
เขาเป็นผู้สร้างพายุฝน แน่นอนว่าสามารถดึงอาวุธลับนั้นออกมาได้ แน่นอนว่าขั้นตอนระหว่างนี้ค่อนข้างโหดร้ายและเจ็บปวดที่สุด จูนหยูนเสวี่ยเจ็บจนสลบไปหลายครั้ง แล้วเจ็บจนตื่นอีกครั้ง ทนทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้สามคืนสามวัน ถึงจะผ่านโพ้นไปได้
เข็มเงินอันสุดท้ายถูกดึงออกมา สีหน้าจูนหยูนเสวี่ยขาวซีดราวกับกระดาษ การที่ยังมีชีวิตอยู่แค่พริบตาเดียวก็เหมือนอายุไขสั้นลงไปหลายปี อ่อนเพลียหมดแรง นอนอยู่บนเตียงด้วยลมหายใจแผ่วเบา เหอซ่านเอายาให้นางหนึ่งเม็ดแล้วส่งน้ำให้นาง
เมื่อดื่มน้ำแล้ว จูนหยูนเสวี่ยฟื้นฟูการเปล่งเสียง นางเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างยากลำบาก ประโยคแรกที่พูดคือ “เหอซ่าน เจ้าฆ่าจูนจิ่วหรือยัง”
นัยน์ตาเย็นเยือกเล็กหน่อย เหอซ่านมองนางด้วยสายตาอึมครึม “ฆ่าจูนจิ่ว?”
“ใช่ เจ้ารับปากข้าแล้วนิว่าจะฆ่าจูนจิ่วไม่ใช่หรือ? โธ่เอ๊ย ข้าพ่ายแพ้จนได้ น่าเกลียดที่สุด ถ้าเจ้ายังไม่ได้ฆ่าจูนจิ่ว งั้นพาข้าไปด้วย ข้าจะให้เจ้าฆ่านางเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น ทรมานนางตนตาย ข้าจะดูนางตายต่อหน้าข้าเอง”
ตอนนี้เหอซ่านอยากจะทรมานจูนหยูนเสวี่ยเสียจริง ทว่าเขายอมอดทนไว้ เหอซ่านเอ่ยปากพูด “อยากฆ่าจูนจิ่ว จงไปฆ่าด้วยฝีมือของตัวเอง เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ดีๆ อย่าทำให้การเดินทางไปอู๋อจงต้องล่าช้า”
ฆ่าจูนจิ่วจด้วยฝีมือของตัวเอง? ชาติหน้าก็ไม่มีหวัง
ส่วนจูนหยูนเสวี่ยกลับได้ยินเพียงประโยคสุดท้าย นางตื่นเต้นจนเบิกตากว้าง รีบไล่ถามทันที “จะไปอู๋จงเมื่อไหร่รึ?”