บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 180 แหวนมิติ
บทที่ 180 แหวนมิติ
ในสถานการณ์ปกติ โดยทั่วไปแล้วหากมีของมีค่าปรากฏตัวจะต้องมีคนมาแย่งชิงแน่นอน หลังจากที่หยูนจ้งจิ่นและหยูนเฉียวเห็นหินทิพย์ชั้นสี่ จึงรีบออกคำสั่งเรียกผู้คุมกันในโรงตัดหินมาทั้งหมด เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์
ทว่าสิ่งที่หยูนจ้งจิ่นพวกเขาเป็นห่วงกลับไม่ได้เกิดขึ้น หลังจากที่ทุกคนรู้สถานะของจูนจิ่วแล้ว เงียบสงบไปไม่กี่วินาทีจากนั้นก็กลับมาเสียงดังทันที ไม่ใช่แย่งชิงกัน ทว่าแต่ละคนทำทีมาพูดดีเยินยอพูดหวานแข่งกัน
“ที่แท้ก็เป็นหมอเทวดาจูนจิ่วนี่เอง เก่งจริงๆเลยนะ หินทิพย์ชั้นสี่ก้อนนี้เหมาะสมกับแม่นางยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าแม่นางจูนนอกจากจะกลั่นยาเป็นเลิศแล้ว เรื่องพนันหินก็เก่งกาจไม่แพ้กัน”
“ไม่เพียงแค่เก่งอย่างเดียวนะ ข้าว่าแม่นางจูนเป็นนางฟ้าจุติมาเกิดชัดๆ ดังนั้นจึงมีความโชคดีมาแต่เกิด หินทิพย์ทั้งหมดยอมศิโรราบกระโดดเข้าสู่อ้อมอกของแม่นางจูนแต่โดยดี อีกทั้งแม่นางจูนยังมีรูปลักษณ์ที่งดงามราวกับนางฟ้า”
“ใช่ๆๆ”
……
เสี่ยวอู่นั่งอยู่บนหินทิพย์ชั้นสี่ กำลังรอดูว่าใครจะมาแย่งชิงจะข่วนหน้าจนพ่อแม่มันจำไม่ได้เลยล่ะ กลับคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ใบหน้ามันแสดงอาการดูถูกอย่างเห็นได้ชัดเจน พร้อมสะบัดหางไปมามองไปทางจูนจิ่ว นายท่าน จะจัดการอย่างไรดี?
จูนจิ่วนิ่งเงียบเย็นชา ไม่ได้รู้สึกดีอกดีใจกับคำยกยอปอปั้นของผู้คน พูดเสียงเย็นชาว่า “ตัดหินต่อไป”
“ได้ยินคำพูดของแม่นางจูนหรือยัง? ตัดหินต่อไปสิ หินทิพย์ชั้นสี่ก้อนนี้เก็บห่อเอาไว้ ข้าจะถือไว้เอง” หยูนเฉียวรีบออกคำสั่ง
หลังจากที่ตกตะลึงกับการปรากฏตัวของหินทิพย์ชั้นสี่ จากนั้นหินดั้งเดิมทุกก้อนล้วนเป็นหินทิพย์หมด ดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรอีกแล้ว ทุกคนกำลังคิด เป็นถึงหมอเทวดาจูนจิ่ว อายุน้อยๆมีวิชากลั่นยาชั้นเลิศจนสามารถสยบนักกลั่นยาทุกคนในโลกนี้ได้ การที่สามารถเล่นพนันหินได้ดีก็ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ปกติดีนะ
จนกระทั่งจูนจิ่วพนันหินจนหมด พวกเขายังคงแสดงสีหน้าที่ยำเกรงและนับถือ โดยใช้สายตาส่งจูนจิ่วขึ้นบนรถม้าของตระกูลหยูนแล้วจากไป
มีคนพูดว่า “หมอเทวดาจูนจิ่วเก่งจริงๆ”
“อีกทั้งนางยังเป็นลูกศิษย์อู๋อจงในอนาคตอีกด้วย แคว้นเทียนโจ้งเรามีหมอเทวดาจูนจิ่ว เก้าประเทศที่เหลือจะต้องอิจฉาจนร้องไห้แน่นอน”
จูนจิ่วพวกเขาไม่รู้หรอกว่าผู้คนจะพูดกันอย่างไร ตอนที่จากมามีรถม้าสองคัน หยูนจ้งจิ่นและหยูนเฉียวรู้ตัวเองดีจึงไม่ได้ไปเป็นส่วนเกินระหว่าง “ลูกศิษย์กับอาจารย์” รถม้าของพวกเขาตามอยู่ด้านหลัง หยูนจ้งจิ่นและหยูนเฉียวรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง
หยูนเฉียวพูดว่า “พี่ชาย คนที่พี่เตรียมการไว้พอไหม? แม่นางจูนพนันหินได้หินทิพย์ชั้นสี่ จะต้องมีคนมาแย่งชิงไม่น้อยแน่นอน คนที่อยู่ในโรงตัดหินพวกนั้น เป็นไปได้ว่าแค่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ”
“ข้ารู้ดี สั่งให้ตระกูลหยูนทุ้มกำลังสุดตัว” หยูนจ้งจิ่นนวดคลึงตรงระหว่างคิ้ว
เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นครั้งแรก โรงตัดหินอยู่ห่างจากตระกูลหยูนไกลไปหรือเปล่า เดิมว่าอยากกลับไปที่สำนักเทียนโจ้งที่อยู่ใกล้กว่า ไท่ซ่างฮ่องและโล่ชิวเห้อก็อยู่ด้วย คงไม่มีใครกล้าถึงขั้นบุกไปแย่งชิงถึงสำนักเทียนโจ้งหรอกมั้ง? ทว่าจูนจิ่วส่ายหัวปฏิเสธ นางจะกลับไปกลั่นยาต่ออีกสักรอบแล้วค่อยกลับสำนักเทียนโจ้ง
ถ้าหากรู้เร็วกว่านี้ว่าหยูนจ้งจิ่นพวกเขาจะตื่นเต้นกังวลมากถึงขนาดนี้ บางทีจูนจิ่วอาจจะบอกพวกเขาไปตรงๆว่า ไม่ต้องเป็นกังวล เหลิ่งยวนจัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องคร่ำเครียดเรื่องนี้ พูดถึงเหลิ่งยวน บางทีจูนจิ่วผู้ทรงพลังก็อดไม่ได้ที่จะทาบทามคนของโม่อู๋เยว่มาเป็นของตนเสีย
เวลานี้ในรถม้าคันแรก จูนจิ่วจับแหวนในมือไว้ สีหน้าที่อธิบายยาก “แหวนมิติรึ?”
นี่คือของที่โม่อู๋เยว่มอบให้นางเมื่อครู่ โม่อู๋เยว่พูดว่าแหวนมิตินี้สามารถเก็บของที่ใหญ่เท่าภูเขาหลายๆลูกได้ ซึ่งภายนอกดูประณีตงดงาม เหมือนกับเครื่องประดับ หากไม่พูดก็คงคิดไม่ถึงว่านี่คือแหวนมิติ
น้ำเสียงของโม่อู๋เยว่ทุ้มต่ำสบายหู “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อยากจะพกหินทิพย์ไปที่อู๋อจงด้วยไม่ใช่หรือ? หากมีแหวนมิติ เจ้าสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่ โดยที่คนอื่นไม่สังเกตเห็น”
จูนจิ่วนิ่งไปครู่ นางเงยหน้าขึ้นมา มองไปทางโม่อู๋เยว่อย่างจริงจัง จูนจิ่วเอ่ยถาม “โม่อู๋เยว่แหวนมิติวงนี้เป็นของหายากหรือเปล่า?”
นางมีสร้อยข้อมือมิติ ทว่ามาถึงโลกนี้ก็ครบหนึ่งปีแล้ว จูนจิ่วยังไม่เคยพบเจอผู้ใดที่มีของคล้ายๆสร้อยข้อมือมิติที่สามารถเก็บของได้ นางคิดว่านี่อาจจะเหมือนกับสถานการณ์ที่หัวเซี่ย ดังนั้นจึงเก็บซ่อนสร้อยข้อมือมิติไว้ตลอด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนเห็น และนำมาซึ่งปัญหา
ทว่าตอนนี้ โม่อู๋เยว่กลับมอบแหวนมิติหนึ่งวงกับนาง
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อย่ากังวลเลย แหวนมิติพบเห็นได้บ่อย ไม่ใช่ของมีค่าหายากอะไร ทว่าเมื่ออยู่ในชั้นต่ำสามชั้น ไม่มีผู้ใดถือครองมันแค่นั้น และด้วยเหตุที่ว่าไม่มีใครมี ฉะนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นมัน เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์สามารถใช้ได้อย่างสบายใจ” โม่จิ่วชิงกระตุกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มแลดูเฉื่อยๆหน่อย
“ได้” จูนจิ่วไม่ได้ปฏิเสธ
พอดีเลยแหวนมิติจะได้ซ่อนสร้อยข้อมือมิติได้ด้วย ดูผิวเผินเหมือนนางเก็บของไว้ในแหวนมิติ อันที่จริงยังคงเก็บไว้ที่สร้อยข้อมือมิติ ซึ่งสร้อยข้อมือคือสถานที่ที่เสี่ยวอู่อาศัยอยู่ และเป็นสิ่งของที่อยู่เคียงคู่จูนจิ่วเมื่อชาติก่อนมาหลายสิบปี มีคุณค่าที่ไม่ธรรมดา
จูนจิ่วคิดๆดู แล้ว จึงนำแหวนมาสวมไว้ที่นิ้วก้อย ถึงแม้ในโลกนี้ ไม่มีคนเข้าใจความหมายของการสวมแหวน ก็ตาม แต่ว่านางไม่อยากสวมใส่ลงบนนิ้วอื่นๆที่มีความหมายแฝง
เมื่อสวมแหวนเข้าไป แหวนมีการปรับขนาดให้พอดีเองอัตโนมัติ ยกมือขึ้นมาดู แหวนสีเงินกับกระดิ่งสีเงินสีดูกลมกลืนเข้าขากันดี
โม่อู๋เยว่มองดูจูนจิ่วสวมแหวน มุมปากฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย เขาชื่นชอบที่บนตัวของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์มีสิ่งของของเขา ค่อยเป็นค่อยไป เขาจะทำให้จูนจิ่วใช้สิ่งของของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะนี่คือการเป่าประกาศ คือการประทับตราว่า เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เป็นของเขา
ระหว่างทางที่จูนจิ่วกลับไปกลั่นยาต่อที่ตระกูลหยูน อีกฝั่งหนึ่งจูนหยูนเสวี่ยกลับได้พบบุคคลหนึ่ง เป็นคนที่สามารถช่วยเหลือนางดำเนินแผนการชั่วร้ายได้
นั่นคือผู้หญิงที่จูนหยูนเสวี่ยเห็นหลังจากที่ลืมตาฟื้นตัวขึ้นมา ผมเผ้าของนางเป็นสีขาว แต่ว่าใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์มาก ดวงตาที่เอ็นดูอ่อนโยนมองดูจูนหยูนเสวี่ยด้วยความดีอกดีใจยิ่งนัก นางเอ่ยปากพูด “แม่นายอย่ากลัวเลย ข้าคือถูหยุน เป็นหนึ่งในผู้นำกองทัพเย่สิง”
ถูหยุน
จูนหยูนเสวี่ยนึกขึ้นได้ทันที นางเคยได้ยินเหอซ่านพูดถึง ถูหยุนจะมา คือนางนี่เอง? จูนหยูนเสวี่ยคิดในใจ ใบหน้าแสดงรอยยิ้มอ่อนเพลีย “สวัสดี ข้าคือจูนหยูนเสวี่ย”
“ข้ารู้แล้วล่ะ เหอซ่านบอกข้าหมดแล้ว แม่นายไม่ต้องลุกขึ้นมาพักผ่อนดีๆเถอะ ข้าว่าแล้วเชียวเหอซ่านน่ะเย็นชาอึมครึม ดูแลคนไม่เป็น หากรู้เร็วกว่านี้ควรให้ข้ามาถึงจะถูก แบบนี้นายน้อยก็คงไม่ต้องเจ็บตัว” ถูหยุนมองดูจูนหยูนเสวี่ยด้วยความเห็นใจ
นางกุมมือของจูนหยูนเสวี่ยไว้อย่างเบามือ ถูหยุนพูดต่ออีกว่า “แม่นายท่านต้องตกระกำลำบาก ต้องโทษซั่งกวนอี่หรง หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ยอมให้พวกข้าเจอท่าน ไม่รู้ชื่อของท่าน และไม่รู้ว่าท่านมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ว่าหลังจากนี้กองทัพเย่สิงพวกเราจะปกป้องแม่นายเอง ข้าถูหยุนยินดีที่จะทำตามทุกเรื่องที่แม่นายสั่ง”
“จริงเหรอ?” เมื่อจูนหยูนเสวี่ยได้ยินประโยคนี้ จึงรีบลุกขึ้นมานั่งอย่างอดใจรอไม่ไหว
นางจับมือของถูหยุนไว้แน่น สายตาจ้องไปที่นาง จูนหยูนเสวี่ยถามอีกว่า “เจ้ายินดีที่จะทำตามทุกเรื่องที่ข้าสั่งหรือ?”
“ทำไมหรือ? แม่นายมีเรื่องอะไรที่จะให้ถูหยุนไปทำงั้นหรือ?”