บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 181 เฟิ่งเทียนฉี่สิ้นแล้ว
บทที่ 181 เฟิ่งเทียนฉี่สิ้นแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วไม่ย้อนกลับ ถึงเวลากลั่นยาอีกครั้ง ใช้เวลาไปทั้งสิ้นกว่าหนึ่งอาทิตย์เต็ม จูนจิ่วเตรียมยาไว้เพียงพอ ไม่ว่าหยูนจ้งจิ่นจะเก็บรักษามันไว้ดั่งของล้ำค่า หรือจะนำไปขาย ยาเหล่านี้อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเก็บขายได้สามถึงห้าปีแล้ว
จูนจิ่วกลั่นยาก็ไม่ลืมฝึกวิชาไปด้วย นางฝึกจนมีกำลังสงบนิ่งมั่นคง นักจิตชั้นสามขั้นกลาง พลังทิพย์บริสุทธิ์เข้มแข็ง ว่าหยูนจ้งจิ่นก็เป็นนักจิตชั้นสามเช่นกัน แต่เมื่อเขาประลองกับจูนจิ่วไม่ถึงสามกระบวนท่า ก็ต้องยอมแพ้เสีย
เวลานี้จูนจิ่วจะกลับสำนักเทียนโจ้ง อีกสิบวัน ก็จะไปอู๋อจงห้าสำนักแล้ว หยูนจ้งจิ่นจัดงานเลี้ยงล่ำลาส่งพวกเขาด้วยความอาลัยอย่างยิ่ง เนื่องเพราะอีกคนที่ต้องจากไปเช่นกันคือหยูนเฉียว
เมื่อดื่มรอบวงไปสามรอบ ขอบตาหยูนจ้งจิ่นเริ่มแดงขึ้น “แม่นางจูนจิ่ว การไปห้าสำนักครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้พานพบกันอีกเมื่อใด?”
“ท่านพี่ ทำไมท่านไม่ถามข้าบ้าง?” หยูนเฉียวตบโต๊ะ ริมฝีปากเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง
ใครจะรู้ว่าหยูนจ้งจิ่นปรายตามองเขา พลางหัวเราะขึ้น “เฉียวเฉียวจะถามอะไรเด็กน้อยอย่างเจ้า?กระไรบิดาก็ส่งไว้แล้ว ในสามปีเจ้าต้องกลับบ้านอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่นับเจ้าเป็นลูกเสียแล้ว”
“ได้ ได้!ข้ารู้แล้ว” หยูนเฉียวเบ้ปาก
เพราะระยะทางระหว่างห้าสำนักและประเทศเทียบโจ้งนับว่าห่างกันนัก และหยูนเฉียวเองก็ยังไม่รู้ว่าตนจะอยู่สำนักใด หากไกลยิ่งไปกว่านั้น สามปีจะกลับมาได้สักครั้งหรือไม่ ก็ยังไม่อาจรู้ได้เลย เมื่อใกล้จะถึงเวลาต้องลาจาก หยูนเฉียวอดไม่ได้เคลื่อนร่างไปใกล้หยูนจ้งจิ่น สองพี่น้องกอดคอกันดื่มไม่เมาไม่เลิกรา
สำหรับจูนจิ่วแล้ว โม่อู๋เยว่จำกัดไม่อนุญาตให้ดื่ม และยิ่งคิดถึงผลที่ตนเมาครั้งที่แล้ว จูนจิ่วถึงกับไม่คัดค้านข้อห้ามของโม่อู๋เยว่
เสี่ยวอู่เคยถามจูนจิ่ว “เมี้ยว?นายท่านต้องรับฟังโม่อู๋เยว่หรือ?”
แต่น้ำเสียงตอบกลับของจูนจิ่วกลับดูสับสนปนเป “คนสมัยโบราณสงวนตัว หาเรื่องโม่อู๋เยว่ยังพอจัดการได้ แต่หากเป็นคนอื่น จะเรียกให้ข้ารับผิดชอบ จะทำกระไร?”
จะฆ่าหรือจะถูกฆ่า?
จูนจิ่วคิดว่าตนเองไม่ใช่คนเหี้ยมโหดเย็นชาขนาดนั้น ดังนั้นก็อย่าดื่มเลยจะดีกว่า!เมื่อไหร่ที่ดื่มเป็นพันแก้วแล้วไม่เป็นอะไร ค่อยคิดดูอีกที
จูนจิ่วออกจากสำนัก โดยไม่ได้สนใจสองพี่น้องที่เมาเละเทะนั้น เท้าเตะตัวทะยานขึ้นหลังคาเสียงเงียบ ดวงจันทร์กลมโตลอยแขวนอยู่บนฟ้า เดือนหนึ่งสิบห้าค่ำวนกลับมาอีกครั้ง เหมันตฤดูกำลังจะมาถึง อากาศเริ่มเย็นลง จูนจิ่วมีปราณห่อหุ้มร่างกาย ยังคงสวมผ้าบางเบาคลุมร่าง
จูนจิ่วกำลังจะนั่งลง ข้างกายพลันมีคนโน้มตัวเข้ามา หากไม่ใช่โม่อู๋เยว่ จะเป็นใครไปได้อีก
จูนจิ่วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “วันพรุ่งนี้เสด็จปู่ขอให้ข้าไปตรวจชีพจรให้ฮองเฮา ตรวจดูพระครรภ์ เรื่องน่าเบื่อเช่นนี้ เจ้าจะไปไหม?”
“คืนนี้ข้าจะเก็บตัวช่วงหนึ่ง”
น้ำเสียงของโม่อู๋เยว่ดูเย็นชาแปลกไป จูนจิ่วสัมผัสรวดเร็ว นางได้กลิ่นเลือดสดๆ จากตัวโม่อู๋เยว่ลอยออกมา ที่ต่างจากกลิ่นเลือดสดยังมีกลิ่นโลหะด้วย กลิ่นนี้มีเพียงบางเบา และมีกลิ่นหอมแปลกประหลาด ราวกับกลิ่นหอมของเหล้า ยั่วยวนผู้คนถึงกับเอาชีวิตได้
นี่คือเลือดของโม่อู๋เยว่?
สายตาของจูนจิ่วแปรเปลี่ยนไป แม้จะอยู่ในถ้ำ นางก็ไม่เคยเห็นโม่อู๋เยว่เลือดออกเลย ทำไมเขาถึงมีกลิ่นเลือดสดเวลานี้?และยังกลิ่นแปลกประหลาดขนาดนี้ ไม่เหมือนกับคนธรรมดา เมื่อคิดต่อไปถึงลักษณะของโม่อู๋เยว่ จูนจิ่วอดไม่ได้ที่จะคิดไป บนโลกนี้มีเผ่าพันธุ์อื่นอยู่ด้วยหรือ?
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์~~” น้ำเสียงทุ้มต่ำ เสียงนุ่มดึงดูดคน
โม่อู๋เยว่ เกี่ยวปอยผมนางขึ้น เกี่ยวหมุนอยู่ในมือ ก่อนจูนจิ่วจะยื่นมือปัดออกไป โม่อู๋เยว่ก็เก็บมือกลับก่อน เขาหัวเราะในลำคอ เอ่ยขึ้น “วันพรุ่งนี้ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ กลับไปสำนักเทียนโจ้งพร้อมกัน”
“ได้สิ เจ้ายังไม่ไปเก็บตัวฝึกวิชาหรือ?”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ที่รัก ข้าไปเดี๋ยวนี้” เก็บตัวเพราะกลิ่นเลือดบนตัวสินะ?ยังจะมาแกล้งอะไรนางอีก
จูนจิ่วมองไปยังโม่อู๋เยว่สีไร้ความรู้สึก ส่ายเข็มเงินในมือไปมาอย่างเย็นชา เอ่ยปากขึ้น “ให้ข้าช่วยฝังเข็มไหม?”
“ไม่ต้อง” โม่อู๋เยว่รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เขารู้ว่าจูนจิ่วรู้เข้าแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกลับไปกักตัว เพียงใช้เวลาน้อยนิด สั้นนิดเดียว แต่จะกระไรก็ต้องทำ!
โม่อู๋เยว่ยืนอยู่กลางห้อง ใช้แรงกระชากเสื้อทิ้ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาคมกล้านั้นมีแววดุดัน ไม่มีใครพบเห็น ร่างเปลือยเปล่าของโม่อู๋เยว่เวลานี้ ที่กระดูกไหปลาร้าโซ่ผูกมังกรที่ประทับอยู่ดิ้นพล่าน หนังบริเวณนั้นฉีกขาดเลือดสีทองไหลซึมออกมา
คืนพระจันทร์เต็มดวง โซ่ผูกมังกรจะอ่อนแอและดูดพลังจากเขาไป
โม่อู๋เยว่หัวเราะเสียงเบาประชดประชัน “เจ้าของเก่านั่น ช่างกลัวตายเสียจริง”
กลัวเขาจะไม่ทำอะไร กลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วใช้พลังทั้งหมดต่อกรกับเขา เดิมทีโม่อู๋เยว่ต้องกลับไป กลับไปทำลายมังกรสีเหลือง ฆ่าเจ้าของเก่านั่นซะ และใช้เวลาอีกนิดหน่อยไปทิ้งโซ่ผูกมังกร เอาเสรีภาพและกำลังของเขากลับมา แต่โม่อู๋เยว่กลับไม่อยากจากไป
โซ่มังกรล่ามตรวนเขาไว้ แต่ก็ช่วยเขาเหมือนกัน
หากไม่ใช่เพราะโซ่มังกร โม่อู๋เยว่คงไม่อาจอยู่ที่ชั้นต่ำสามชั้นนี้ได้ อยู่ข้างกายจูนจิ่วไม่ได้ เพราะหากไม่มีโซ่มังกร พลังของเขาคงจะล้นเหลือไปทุกทิศ ทำลายทิ้งทั้งประเทศเทียนโจ้งได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจูนจิ่วหรือคนธรรมดา
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ~~
เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ โม่อู๋เยว่หลับตาลง พลังสีทองล้อมรอบโม่อู๋เยว่ไว้ พลังโซ่มังกรเวลานี้ถูกกดไว้ด้วยขุมพลังอันเข้มแข็ง ขณะที่ดึงรั้นกันอยู่นั้น ขุมพลังก็กดพลังดึงรั้นนั้นได้ โซ่มังกรในที่สุดก็จำนนสงบนิ่งและหายไป เพียงรอให้พระจันทร์เต็มดวง จะมีโอกาสกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง
ฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว
จูนจิ่วออกไปพระราชวังแต่เช้า ตรวจชีพจรให้ฮองเฮานับเป็นเรื่องง่ายดายนัก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปจูนจิ่วก็กลับได้ แต่เมื่อนางกำลังออกไป ก็เห็นนางกำนัลวิ่งผุนผันเข้ามาในท้องพระโรง จากนั้นก็ได้ยินเสียงฮองเฮาตะโกนขึ้น “อะไรนะ เฟิ่งเทียนฉี่สิ้นแล้วรึ?”
เฟิ่งเทียนฉี่สิ้นแล้ว?
จูนจิ่วพริ้มตาลง เสี่ยวอู่เดินอยู่ข้างกายจูนจิ่ว เงยหน้าขึ้นมาแยกเขี้ยวคมคู่หน้า เสี่ยวอู่ดีใจนัก “ในที่สุดไอ้ชายชั่วนั่นก็ตายเสียที!”
“เฟิ่งเทียนฉี่มีคนของฮ่องเต้คุ้มกัน ทำไมถึงตายไปได้?”
“ป่วยตายมั้ง ได้ยินว่าเขากับจูนเสวี่ยเอ๋อร์ทะเลาะกันไม่ใช่หรือ?คนไร้ประโยชน์เช่นเขา คงถูกจูนเสวี่ยเอ๋อร์ตีจนบาดเจ็บภายใน และไม่มีคนรักษา นี่ไม่เท่ากับป่วนตายหรอกหรือ?เมี้ยว พูดไปก็จะดูแคลนเฟิ่งเทียนฉีไปเสียแล้ว!” เสี่ยวอู่บ่นอุบ
จูนจิ่วกับรู้สึกมีอะไรไม่ชอบมาพากล การตายของเฟิ่งเทียนฉี ต้องมีอะไรสักอย่าง
นางเอ่ยขึ้น “ไป พวกเราไปจวนอ๋องฉีไปดูกัน”
“เมี้ยว?ไม่กลับสำนักเทียนโจ้งหรือ?”
“ไปจวนอ๋องฉีเสียหน่อยค่อยกลับไป ใช้เวลาไม่นานหรอก” จูนจิ่วทะยานตัวขึ้น กระโดดขึ้นไปยังยอดหลังคาวังหลวง ทหารเฝ้ายามยังไม่ทันรู้สึก พลันเงาร่างของจูนจิ่วและเสี่ยวอู่ก็หายไปไม่อยู่ในสายตา
ระหว่างทาง ความคิดของจูนจิ่วจดจ่ออยู่กับเรื่องการตายของเฟิ่งเทียนฉีที่แปลกประหลาดเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อเห็นสภาพศพของเฟิ่งเทียนฉีแล้ว สายตาของจูนจิ่วจับจ้องอย่างเย็นชา เฟิ่งเทียนฉีถูกฆ่า และคนที่ฆ่าก็เลือดเย็นนัก ใช้ความทรมานทุกรูปแบบ ทรมานเขาจนตาย
เสี่ยวอู่เห็นเข้าถึงกับขนตั้งชัน “ช่างเป็นฝีมือที่โหดร้ายยิ่งนัก จะเป็นจูนหยูนเสวี่ยหรือ?”
“ไม่ใช่นาง” จูนจิ่วหมุนตัวกลับ สายตาปราดเปรียวจดจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง นางเอ่ยปากขึ้น “เป็นเจ้าที่ฆ่าเฟิ่งเทียนฉี?”