บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 188 สตรีนางนี้เป็นใคร
บทที่ 188 สตรีนางนี้เป็นใคร
สุดสายตา จูนจิ่วเข้าไปในห้องแล้ว ปิดประตูหลบเร้นจากการซุ่มดูของผู้คน สายตาเหอซ่านลึกล้ำ “เรื่องนั้นเกิดขึ้นมากว่าสิบห้าปีแล้ว เก็บตัวเงียบงันไม่เคยเปิดเผย กองทัพเย่สิงเองก็ซ่อนตัวไว้ อย่าให้พวกเขาได้เจอกับคุณหนู”
“ดังนั้นท่านคิดจะใช้จูนหยูนเสวี่ยล่อพวกเขาออกมา?”
“ถูกต้อง จูนหยูนเสวี่ยตายไปก็ไม่น่าเสียดาย แต่หากก่อนตายสามารถใช้แทนคุณหนูได้ การตายของนางจะมีความหมายมากขึ้น ไปเถอะโจ่ฉี เรื่องวันนี้อย่าได้ปริปากบอกใคร” เหอซ่านกล่าว
ชายวัยกลางคนก็คือโจ่ฉี ได้ยินดังนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้น “ไม่บอกถูหยุนพวกเขา?”
“คนที่ข้าไว้ใจมีเพียงเจ้า พวกเขา?รู้เพียงจูนหยูนเสวี่ยคือ ‘นายหญิง’ ก็พอแล้ว ตอนนี้พวกเราต้องสร้างอำนาจให้จูนหยูนเสวี่ย ให้ผู้คนทั้งแผ่นดินเห็นอำนาจของนาง ให้เหล่าพวกที่อยู่ในเงามืดต่างเข้าใจว่านางคือนายหญิงของพวกเรา!”
คำพูดของเหอซ่านเอ่ยจบ ยังกล่างขึ้นอีก “โจ่ฉี เจ้าสั่งคนไปสืบการจากไปของถูหยุน นางเคยบอกจะไปแคว้นเทียนโจ้งพบจูนหยูนเสวี่ย แต่สุดท้ายก็มีอันเป็นไป”
“ได้ ข้าจะแกะรอยนางไป ทว่าเหอซ่าน เจ้าคิดจะสร้างอำนาจให้จูนหยูนเสวียกระไร?”
เหอซ่านไม่ตอบคำ เขาเพียงหัวเราะเสียงเบาพลางหันกายเดินจากไปก่อน โจ่ฉีหันหน้ากลับไปมองเรือนไม้ไผ่อีกหลายครั้ง จึงสาวเท้าตามเหอซ่านไป
…
จูนจิ่วไม่ได้รับรู้หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับนางเลย หลังจากที่เข้าไปในเรือนไม้ไผ่แล้ว มองไปยังฟูกนอนอันแข็งทื่อ จึงโบกมือหยิบเอาผ้าห่มที่นอนใหม่ออกมาจากอากาศระหว่างแหวน รอจนนุ่มเพียงพอ จึงเอนตัวลงนอนด้านบน จูนจิ่วถอนหายใจยาว “เวทีอู๋จง ยังห่างจากอู๋จงระยะหนึ่ง”
“นายท่านคิดหรือยังว่าจะอยู่สำนักไหน?” เสี่ยวอู่กระโดดขึ้นมาบนเตียง หางยางวนรอบข้อมือจูนจิ่วรอบหนึ่ง ราวกับกำไลข้อมืออย่างนั้น สวยงาม ยังมีขนฟูนุ่มด้วย
จูนจิ่วจ้องออกไป ไม่ตอบคำอยู่ช่วงหนึ่ง ความจริงคือนางเองก็ยังไม่ได้คิด แต่ว่าตันจงและเจี้ยนจงนางไม่อยากไป ที่แรกน่าเบื่อ ที่หลังเนื่องเพราะตัวอย่างจากหลัวหยางและชิวหยุนหยุน ภาพสำนักเจี้ยนจงในสายตานางจึงดูแย่นัก
นางเคยคิดมาก่อน สำนักเทียนอู่จง กุยหยวนจง และชางไห่จงที่เหลือน่ะหรือ นิ้วมือส่ายไปมา จูนจิ่วพลันหยุดนิ่ง นางพริ้มตาลง ท่าทางแปลกไป
เสี่ยวอู่ “เมี้ยว?”
“จะไปสำนักไหนค่อยว่ากัน ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจเรื่องเวทีอู่จงนี่ก่อน” เรื่องนี้ วันต่อมาหยูนเฉียวก็หาข้อมูลมาได้ไม่น้อยแล้ว เขาสะบัดกระเป๋าเงินของตนหน้าจูนจิ่วและจูนเสี่ยวเหล่ย แย้มยิ้มเจ้าเล่ห์
หยูนเฉียวเอ่ยปาก “ไม่มีเรื่องไหนที่เงินแก้ปัญหาไม่ได้ แม่นางจูนข้าไปเก็บข้อมูลมาแล้ว ในเวทีอู่จงนี้เหลือเพียงคนจากประเทศประเทศซ่างยี้และแคว้นโล๋หยวนที่ยังมาไม่ถึง คนจากประเทศอื่นต่างมากันแล้ว ในบรรดาพวกเขา มู่หรงหนันจีนแห่งแคว้นหยุนเชียงแข็งแกร่งที่สุด เป็นนักจิตชั้นสาม”
“มู่หรงหนันจีนแพ้ให้กับท่านพี่จูนแล้ว อย่างนั้นในตอนนี้พี่จูนก็แข็งแกร่งที่สุด!” จูนเสี่ยวเหล่ยยิ้มตาหยี หัวเราะอย่างดีใจ
“จำนวนคนรายชื่อผู้เข้าสมัครในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน คนมากจะมีถึงสี่ถึงห้าคน คนน้อยก็มีประมาณสองคน ได้ยินมาว่าครั้งนี้ประเทศซ่างยี้และแคว้นโล๋หยวนมีคนมากที่สุด ดังนั้นจึงเดินทางมาช้า วันนี้ควรจะมาถึงกันหมดแล้ว”
หยูนเฉียวเอ่ยต่อ “นอกจากมู่หรงหนันจีนแล้ว ครั้งนี้ประเทศซ่างยี้และแคว้นโล๋หยวนยังมีนักจิตชั้นสามอีกสองคน แยกเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายนามว่าเหยียนไห่ หญิงนามว่ากูซูหยิงแม่นางจูน เมื่อพวกเขามาถึงเวทีอู่จง ต้องมาประชันกับท่านเป็นแน่!”
นักจิตชั้นสามเหมือนกัน หากมองเป็นศัตรู พวกเขานับเป็นศัตรูที่สำคัญที่สุด
จูนจิ่วเกาคางเสี่ยวอู่ช้าๆ ได้ยินมันครางเบาๆ ไม่หยุด หรี่ตาลงเล็กน้อย จูนจิ่วเอ่ยปากขึ้น “หวังว่าพวกเขาจะเก่งกว่ามู่หรงหนันจีนเสียหน่อย มิเช่นนั้นการแข่งขันครั้งนี้นับว่าน่าเบื่อไป ชีวิตต้องการความสนุกสักเล็กน้อยมิใช่หรือ?”
หยูนเฉียวสบตากับจูนเสี่ยวเหล่ย ไม่เอ่ยคำใด สามารถนำสิ่งนี้เป็นความสนุกได้ คงมีเพียงแต่จูนจิ่วเสียแล้วกระมัง?หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่จะต้องเจอกันศัตรู คงต้องพยายามหาข้อมูลให้มากที่สุด ให้ดีที่สุดคงต้องหาไปถึงความสามารถโดดเด่นของศัตรูทั้งสองคนเหยียนไห่ และกูซูหยิงวรยุทธ์อะไรโดดเด่นคงพยายามรู้ให้ได้มากที่สุด
แต่พวกเขาทั้งสองต่างก็ประหลาดใจยิ่งนัก ทั้งเหยียนไห่ และกูซูหยิงหน้าตาเป็นกระไร?
เสียงเป่าเขาสัตว์ ดังอื้ออึงดังทั่วบริเวณเวทีอู่จง ลูกศิษย์จากทั้งสิบประเทศต่างพากันออกมา ท่าทีตื่นเต้นต่างกำหมัดกันแน่น พวกจูนจิ่วเองก็ออกมาเช่นกัน ได้ยินผู้คนรอบข้างเอ่ยว่า “เสียงเป่าเขาสัตว์ เท่ากับว่าการแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
“พวกประเทศซ่างยี้และแคว้นโล๋หยวนต่างมากันครบแล้วเป็นแน่ พวกเราไม่ต้องรอแล้ว!เพียงแต่ไม่รู้ว่า การแข่งขันเวทีอู่จงในครั้งนี้จะมีกฎเกณฑ์กระไร?ข้าได้ยินเจ้าสำนักเราบอกมาว่า การแข่งขันครั้งที่แล้วเป็นพีระมิดการประลอง ต้องฆ่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะขึ้นไปสูงที่สุด จึงจะนับเป็นผู้ชนะ ครั้งที่แล้วนับว่ามีลูกศิษย์ตายนับไม่ถ้วนทีเดียว”
“เฮือก!หวังว่าพวกเราจะไม่เจอกันกฎเกณฑ์เหี้ยมโหดอะไรอย่างนั้น!” คนที่ได้ยินข่าวนี้นับว่าตกใจจนหวาดกลัวไปเลยทีเดียว ผู้ที่ได้เมล็ดไม่นับว่าจะได้เป็นลูกศิษย์ทันที ระหว่างนี้ยังมีการประลองที่เวทีอู่จงแห่งนี้ ผู้ชนะคือผู้สำเร็จ ผู้แพ้เท่ากับความตาย
แม้ว่าจะโชคดีไม่ตาย แต่ก็คงอับอายจนไม่กล้ากลับมาตุภูมิ ทำได้เพียงร่อนเร่ไปในพิภพ หมดสิ้นเรี่ยวแรงพลังใจ
ทุกคนต่างพากันมายังสนาม จูนจิ่วเห็นบรรดาประเทศซ่างยี้และแคว้นโล๋หยวน การแต่งกายที่แตกต่างไป ทั้งสองฝ่ายต่างมีกันสิบคน!นี่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วนับว่าเพิ่มมามากกว่าหนึ่งเท่าตัว
หยูนเฉียวตะลึงงัน “ตลอดมาได้ยินว่าประเทศซ่างยี้และแคว้นโล๋หยวนต่างได้รับการชมชอบ ดังนั้นจำนวนคนจึงมีมากกว่า เป็นจริงดังนั้น!พวกเขายังคงเก่งฉกาจที่สุด เพราะสำนักเจี้ยนจงและชางไห่จงก็อยู่ในเขตแดนพวกเขา หากเข้ามาในสำนัก จะได้เรียนวรยุทธ์อื่นนอกเหนือจากสำนักเจี้ยนจงและชางไห่”
จูนจิ่วฟังคำอธิบายของหยูนเฉียวด้วยท่าทีนิ่งสงบ ด้านหนึ่งกสอดส่ายสายตาประเมินฝ่ายตรงข้าม ประเทศซ่างยี้นิยมแต่งกายชุมขาวราวทวยเทพ ร่างกายตรงนิ่งราวกับกระบี่ ดูเข้มแข็ง ท่วงทีโอ่อ่า
เมื่อดูแคว้นโล๋หยวน ไม่แน่ใจว่าอาจเป็นเพราะอยู่ใกล้สำนักชางไห่จงหรือไม่ มีทั้งสิ้นสิบคน เก้าในสิบกลับเป็นสตรีท่าทีงดงาม และมีบุรุษผู้หนึ่งท่าทีอ่อนหวาน ไร้ซึ่งความเข้มแข็งดุจชายชาตรี
เมื่อจูนจิ่วปราดตามองไป แต่จะฝ่ายชายหนึ่งหญิงหนึ่งจับความรู้สึกได้รวดเร็ว เงยหน้าสบสายตานาง คนแรกตาคมดุจกระบี่ วาววับเปิดเผย อีกคนอ่อนโยนดุจน้ำ แต้มรอยยิ้ม พวกเขาก็คือ เหยียนไห่ และกูซูหยิง
“ชู่ว!จูนหยูนเสวี่ย! พี่จิ่วรีบดู จูนหยูนเสวี่ยมาแล้ว” จูนเสี่ยวเหล่ยพลันเรียกความสนใจจูนจิ่ว
เก็บสายตากลับมา จูนจิ่วมองไปตามมือของจูนเสี่ยวเหล่ย นางเห็นจูนหยูนเสวี่ยตามชายวัยกลางคนคนหนึ่งอยู่ ท่าทางอวดอ่า อาภรณ์ขาวปักดอกโบตั๋น นางดูเย่อหยิ่งมากกว่าคราวที่อยู่ตระกูลจูนเสียอีก หากจะบอกว่าเมื่ออยู่สำนักเทียนโจ้งในตระกูลจูนดูโดดเด่นสง่าราวดอกบัวขาว เวลานี้นับเป็นดอกบัวขาว ที่ทัดฟ้าเป็นหนึ่งในแผ่นดิน เด่นเหนือใครในทั่วแดน
ผู้คนต่างรู้จักชายวัยกลางคนนั้น “นั่นคือรองเจ้าสำนักเจี้ยนจง!เฮือก!เป็นท่านรองเจ้าสำนักมาดูเองจริงๆ ด้วย สตรีนางนี้คือใครกัน?