บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 197 หนังหน้าหนาขึ้นไม่น้อย
บทที่ 197 หนังหน้าหนาขึ้นไม่น้อย
จูนเสี่ยวเหล่ยลอบสูดหายใจเข้าลึก พร้อมเงยหน้ามองไปทางจูนจิ่ว ทำกระไรดี? หยูนเฉียวตกอยู่ในอันตราย สายตาจูนจิ่วดุดัน ปลายเท้าออกแรงเหยียบเพิ่มเล็กน้อย ชายฉกรรจ์ร้องอย่างทุกข์ทรมาน “อย่าฆ่าข้าเลย สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง จริงๆนะ ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย”
“เจ้านำทางไปตามหาหยูนเฉียวให้เจอ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป” จูนจิ่วยอมเก็บเท้ากลับมา พร้อมทั้งมองไปที่ชายฉกรรจ์ด้วยสายตาเย็นเยือก
ชายคนนั้นตกใจกลัวจนฉี่ราด พยักหน้าถี่ๆ “ได้ๆ ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง”
ชายฉกรรจ์รีบลุกขึ้นมานำทาง สายตาจูนจิ่วดูแลดูหนักแน่น หวังว่าหยูนเฉียวจะอดทนรอจนกว่าพวกเขาจะไปถึง
……
เสียงหายใจเหนื่อยหอบ
เสียงหายใจหนักหน่วง มือซ้ายของหยูนเฉียวจับดาบ วิ่งตรงไปข้างหน้าโดยที่ไม่กล้าหยุดฝีเท้าลงเลย ด้านหลังของเขา มีเสียงฝีเท้าที่ชลมุนวุ่นวายกำลังตามฆ่ามาตลอดทาง หยูนเฉียวย้อนกลับไปมอง ด้วยสีหน้าอึมครึมไม่น่ามอง มือข้างขวาของเขาได้รับบาดเจ็บ เลือดสดไหลไม่หยุด
เมื่อก้มหน้ามองลงไปที่พื้น เขาทิ้งร่องรอยเลือดไว้ตลอดทาง หยูนเฉียวยกมือขึ้นตัดเศษผ้าด้วยดาบ โดยใช้ปากและมืออีกข้างในการมัดปิดบาดแผลอย่างยากลำบาก เพื่อให้เลือดหยุดไหล ทันใดนั้นในหัวของหยูนเฉียวมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
สายตาของเขาฉายแววเย็นเยือก เงยหน้ามองไปบริเวณรอบๆ หยูนเฉียวตัดสินใจทันที เขายกมือข้างขวาขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด และจงใจใช้เลือดที่ไหลออกมาสาดกระจายไปที่พื้น จากนั้นเช็ดเลือดบนร่างกาย หยูนเฉียวเดินหลบเข้าไปอีกเส้นทางหนึ่งของค่ายเขาวงกต ซึ่งมันเป็นมุมเลี้ยวหักศอกที่เขาสามารถหลบซ่อนตัวได้พอดี
เพียงไม่นาน หยูนเฉียวได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เสียงอันโหดเหี้ยมของจูนหยูนเสวี่ยดังขึ้นมา “จับตัวหยูนเฉียวไว้ ฆ่ามันแล้วชิงดอกตงเตียมาให้ได้”
“ขอรับ”
“จูนหยูนเสี่ย ฉันจะวิตกกังวลไปทำไม พวกข้าจับตัวมันได้อยู่แล้ว เขาก็แค่คนบาดเจ็บคนหนึ่ง จะหนีไปให้ไกลสักแค่ไหนเชียว? ” น้ำเสียงโอ้อวดของมู่หรงหนันจีนพูดดังขึ้นมา มั่นใจว่าหยูนเฉียวหนีออกไปไม่ได้แน่นอน ดอกตงเตียต้องเป็นของพวกเขา
ตอนที่ไล่ตามมาเห็นรอยเลือดที่พื้น จูนหยูนเสวี่ยรีบนำคนพุ่งตรงไปทางแยกตรงข้าม มู่หรงหนันจีนเดินอยู่ข้างหลัง พูดเสียงทุ้มต่ำกับฝาแฝดว่า “ตอนที่จับตัวหยูนเฉียวได้ รีบแย่งดอกตงเตียมาก่อน อย่าเสียเปรียบจูนหยูนเสวี่ยล่ะ”
“พี่ใหญ่วางใจได้ หากพวกข้าพบเจอหยูนเฉียวก่อน ดอกตงเตียต้องเป็นของพี่ใหญ่อยู่แล้ว”
“ฮ่าๆๆ” มู่หรงหนันจีนหัวเราะชอบใจ เขาช่างโชคดีจริงๆ เจอตัวจูนหยูนเสวี่ยก่อนแล้วร่วมมือกัน จากนั้นเจอตัวหยูนเฉียวโดยบังเอิญ แล้วก็ดอกตงเตียที่อยู่ในมือของเขาด้วย ใช่ นั่นคือดอกตงเตียไม่ผิด มู่หรงหนันจีนมั่นใจได้
แต่กลับคิดไม่ถึง ทั้งๆที่พวกเขาล้อมตัวหยูนเฉียวไว้ได้ เขากลับหนีไปได้พร้อมฆ่าคนตายทีเดียวสามคนรวด น่าเกลียดที่สุด
หยูนเฉียวหลบอยู่ตรงมุมหักศอก เมื่อเห็นว่าพวกมู่หรงหนันจีนเดินจากไปไกล ถึงจะยอมออกมาแล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิมอีกสักระยะหนึ่ง ต่อด้วยพุ่งตัวเข้าไปทางแยกอีกทางหนึ่งอย่างว่องไว ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของค่ายเขาวงกต ก็คือตอนที่ถูกตามฆ่า เส้นทางเขาวงกตที่คดเคี้ยวสามารถยื้อเวลาออกไปได้อีกหน่อย
หยูนเฉียวไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งไปนานแค่ไหน รู้สึกอ่อนล้าเต็มทน หายใจเหนื่อยหอบอย่างยากลำบาก เพราะว่าเสียเลือดไปมาก สายตาเริ่มพร่ามัว เขากัดฟันแน่นพร้อมเอาเม็ดยาออกมาแล้วกินลงไป สีหน้าถึงจะดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ยกมือกุมตรงหน้าอกที่มันหนุนขึ้นมา สายตาของหยูนเฉียวหนักแน่นขึ้นมา ดอกตงเตีย เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจส่งมอบให้แม่นางจูน เขาจะต้องเก็บไว้ให้ได้ หากเก็บไว้ไม่อยู่ ต่อให้ต้องทำลายทิ้งก็จะไม่ยอมให้ดอกตงเตียตกไปอยู่ในมือของนางอสรพิษจูนหยูนเสวี่ยนั้นแน่
ข้างหูได้ยินเสียงฝีเท้า หยูนเฉียวกลั้นหายใจไว้แล้วเดินถอยกลับไปหลบอยู่หลังต้นเถาวัลย์ เขาเอียงหูฟัง จิตใจจดจ่ออยู่ที่ใบหูทั้งหมด ตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด
หยูนเฉียวได้ยินเสียงตกใจของผู้ชายคนหนึ่ง “ก่อนหน้านั้นข้าเห็นพวกเขาอยู่บริเวณนี้ ตอนนี้พวกเขาต้องจากไปไกลแล้วแน่นอน ข้ารู้เพียงแค่ที่นี่และข้าก็พาพวกเจ้ามาถึงแล้ว พวกเจ้าก็ควรทำตามคำสัญญา แล้วปล่อยข้าไป”
“เจ้าบอกว่าที่นี่ก็ต้องเป็นที่งั้นหรือ? ถ้าหากเจ้าเลือกสถานที่ไหนสักแห่งโกหกข้ากับพี่สาวเก้าล่ะ? ไม่ได้ ยังไงเจ้าก็ต้องพาพวกข้าตามหาหยูนเฉียว มิเช่นนั้นอย่าคิดว่าจะได้จากไป”
คือจูนเสี่ยวเหล่ย
หยูนเฉียวแสดงสีหน้าดีใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่เขาเฝ้ารอคอยคิดถึงมาตั้งนาน จูนจิ่วพูดว่า “ที่นี่มีกลิ่นคาวเลือด”
สัมผัสของนางว่องไวมาก จับกลิ่นคาวเลือดอ่อนๆที่พัดผ่านมากับสายลมได้ ถึงจะถูกกลบกลิ่นแล้วก็ตาม แต่ก็หนีสัมผัสดมกลิ่นของนางไม่ได้ กลิ่นนี้มันอยู่ใกล้มาก จูนจิ่วหมุนตัวกลับไป มองสังเกตการณ์ไปบริเวณโดยรอบ อยู่บริเวณนี้แหละ
แม่นางจูน
หยูนเฉียวดีใจมาก เขารีบเดินออกมา เพื่อกันการถูกจู่โจมที่เข้าใจผิด หยูนเฉียวร้องตะโกนเสียงดัง “แม่นางจูนข้าเอง”
“หยูนเฉียว” จูนจิ่วกับจูนเสี่ยวเหล่ยเดินไปทางหยูนเฉียว ชายฉกรรจ์นำทางใช้โอกาสนี้รีบหนีไป จูนจิ่วเห็นดังนั้นแล้วไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด เพียงแต่ว่ากลับคิดไม่ถึงแค่ผ่านไปสามวินาที ก็มีเสียงร้องโหยหวนของชายคนนั้นดังมาจากที่ไกล
จูนจิ่วเงยหน้ามองไปตามทิศทางที่เสียงลอยผ่านมา โดยมีกำแพงสีเขียวเข้มสูงใหญ่ขวางกั้นไว้ จูนจิ่วพูดเสียงดุดัน “หยูนเฉียว พวกจูนหยูนเสวี่ยยังไล่ตามเจ้าหรือ?”
“เมื่อครู่ข้าล่อพวกเขาไปอีกทาง พวกเขาคงจะไม่……” หยูนเฉียวพูดยังไม่ทันจบ เสียงพูดกลับหยุดชะงักทันที เขาสูดหายใจเข้าลึก สายตาจ้องมองกลุ่มคนที่เดินเข้ามาตรงหน้า โดยมีจูนหยูนเสวี่ยและมู่หรงหนันจีนนำทีม ดวงตาดุดันและตื่นตัวเพ็งเล็งไปที่พวกเขา
จูนหยูนเสวี่ยพูด “ไม่เสียแรงเปล่า จูนจิ่ว เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย นี่มันดีเยี่ยมจริงๆ”
น้ำเสียงโหดร้ายน่ากลัว โดยน้ำเสียงตอนท้ายแฝงความเคียดแค้นอยู่ จูนหยูนเสวี่ยจ้องมองจูนจิ่วอย่างไม่ยอมละสายตา ชักดาบอันคมกริบออกมาชี้ไปทางจูนจิ่ว นางหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันพร้อม ข้าจะข้าพวกเจ้าให้สิ้นซาก จากนั้นนำดอกตงเตียออกไปจากที่เน่าๆแห่งนี้”
“ดอกตงเตีย?” จูนจิ่วยกคิ้วขึ้นสูง
หยูนเฉียวเดินไปที่ข้างหน้านาง แล้วรีบพูดว่า “แม่นางจูนจิ่ว ข้าหาดอกตงเตียเจอแล้ว เจ้ารีบเอาดอกตงเตียออกไปจากที่นี่ อย่าให้แผนการของนางอสรพิษจูนหยูนเสวี่ยคนนี้สำเร็จได้”
จูนจิ่วเข้าใจได้ทันที ที่จูนหยูนเสวี่ยและมู่หรงหนันจีนตามล่าหยูนเฉียวอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็เพราะหยูนเฉียวหาดอกตงเตียพบแล้ว ทว่าสิ่งที่จูนจิ่วสงสัยคือ หยูนเฉียวกลับไม่ยอมใช้ดอกตงเตียเอง แต่กลับจะมอบมันให้กับนาง?
“แม่นางจูนเจ้าจะนิ่งรอกระไรอีก? เจ้ารีบออกไปสิ ข้ากับจูนเสี่ยวเหล่ยสามารถล่อพวกมันหนีไปได้” หยูนเฉียวพูดเร่งเร้า
จูนหยูนเสวี่ยพูด “อย่าคิดหนีแม้แต่คนเดียว ล้อมตัวพวกมันไว้”
มู่หรงหนันจีนเพ็งมองจูนจิ่ว “โลกช่างกลมจริงๆเลยนะเจอตัวเจ้าอีกแล้ว พอดีเลย ข้าจะได้ล้างมลทินเมื่อคราวก่อน ครั้งที่แล้วเป็นเพราะข้าประเมินศัตรูต่ำเกินไป ครั้งนี้ข้าจะให้ทุกคนได้เห็น ข้ามู่หรงหนันจีนกับเจ้าจูนจิ่ว ใครเป็นคนที่เก่งกาจมากที่สุดกันแน่?”
“เห้อ คนขี้แพ้สองคนยังกล้ามาพูดจาสามหาวต่อหน้าข้าอีก เห็นท่าแล้วการที่ต้องติดอยู่ในค่ายเขาวงกตนี้ หนังหน้าพวกเจ้าหนาขึ้นไม่น้อยเลยนะ ” จูนจิ่วกระตุกยิ้มหยันมุมปาก
หนังหน้าหนางั้นหรือ? ไม่เป็นไร สิ่งที่นางถนัดมากที่สุดก็คือการตบหน้า
หางตาเหลือบมองไปทางหยูนเฉียว จูนจิ่วเอ่ยปากพูด “ดอกตงเตียล่ะ?”
“อยู่นี่” มือซ้ายของหยูนเฉียวคว้าดอกตงเตียออกจากเสื้ออย่างยากลำบาก เขาเก็บมันไว้ตรงอกตลอดทาง ไม่ให้ใครมีโอกาสแย่งชิงไปได้ เมื่อดอกตงเตียถูกคว้าออกมา แสงสีน้ำเงินเข้มทอแสงเป็นประกาย ทันใดนั้น ทำให้จูนหยูนเสวี่ยและคนอื่นๆที่ตรงหน้าถึงกับมองตาค้าง สายตาร้อนแรงและความโลภก่อตัวขึ้น
เมื่อได้รับดอกตงเตีย สามารถผ่านด่านค่ายเขาวงกตได้ และกลายเป็นศิษย์อู๋อจงอย่างเป็นทางการ
หยูนเฉียวไม่ได้รู้สึกเสียดายหรืออาลัยอาวรณ์เลยสักนิด เขามองไปที่จูนจิ่ว ยื่นดอกตงเตียไปให้นาง “แม่นางจูนข้าให้เจ้า