บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 202 หมอเทวดาจูนจิ่วสมดั่งคำร่ำลือ
บทที่ 202 หมอเทวดาจูนจิ่วสมดั่งคำร่ำลือ
สัตว์ตงเตียสิบสองตัว ท่ามกลางพวกมันมีสองตัวที่เป็นสัตว์ทิพย์ชั้นสาม ที่เหลืออีกสิบตัวเป็นสัตว์ทิพย์ชั้นสอง นี่หากนำไปปล่อยไว้ในป่าที่ไหนสักที่ จำเป็นต้องใช้กำลังคนกว่าสิบคนในการจัดการกับพวกมันเชียวล่ะ พวกเขามีแค่สี่คน อีกอย่างจูนเสี่ยวเหล่ยก็เป็นแค่นักจิตชั้นสอง ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกล้าพูดว่าไม่ใช่เรื่องยาก?
จูนจิ่วโอ้อวดเกินไป
กูซูหยิงถลึงตาใส่เหยียนไห่อย่างอดใจไม่ได้ ใช้สายตาส่งสัญญาณ ต่อให้จูนจิ่วจะมีวิธีการที่เก่งกาจจนชนะเจ้าได้ แต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าจะสามารถชนะสัตว์ตงเตียได้นิ ร่วมมือกับนางเชื่อถือได้หรือ? เมื่อได้รับสารที่ส่งผ่านสายตาของกูซูหยิง เหยียนไห่พูดจาอย่างขืนใจ
อย่างน้อยเขาก็อายุเยอะกว่านิดหน่อย ซึ่งดูหนักแน่นกว่ากูซูหยิง จึงไม่ได้แสดงท่าทีสงสัยหวาดระแวงโดยตรง เขากุมมือเข้าหากันแล้วทำเสียงไอกระแอมทีหนึ่ง เหยียนไห่มองไปทางจูนจิ่วแล้วพูดว่า “จูนจิ่วเจ้ามีแผนการอะไรหรือเปล่า? สัตว์ตงเตียพวกนี้เพียงแค่มีการรบกวนเพียงเล็กน้อยก็ตื่นตัวไปทั้งฝูง จะลงมือโดยพลการไม่ได้ มิเช่นนั้นหากโดนล้อมรอบเราจะแย่เอาได้”
“ไม่เพียงแค่แย่เท่านั้น พวกเราอาจจะสิ้นชีวิตที่นี่ก็ได้” กูซูหยิงพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
ความสงสัยของทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่ในที่ลับอีกคนหนึ่งอยู่ในที่แจ้ง ในสายตา พวกเขาไม่เชื่อสิ่งที่จูนจิ่วพูด ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกว่านางพูดจาอวดเก่งเหิมเกริมมากไป พูดจาตลกเหมือนกับคุณหนูผู้ดีที่ไม่รู้จักความทุกข์ยากของชาวบ้าน ทันใดนั้น คะแนนภาพลักษณ์ของจูนจิ่วที่อยู่ในใจของพวกเขาดิ่งลงเกือบเป็นศูนย์
ในเวลานั้นเอง จูนเสี่ยวเหล่ยเปิดปากพูด “สัตว์ตงเตียเก่งจริง แต่ว่าพี่สาวเก้าเก่งยิ่งกว่า หากพวกเจ้าไม่เชื่อมั่นพี่สาวเก้า เชิญไปร่วมมือกับคนอื่นได้เลยนะ”
“เจ้า” กูซูหยิงเอะเสียงใส่ เขาเก็บความไม่พอใจไว้ แล้วหันไปทางจูนจิ่วแล้วเอ่ยปากพูดด้วยความไม่พอใจ “จูนจิ่ว น้องสาวเจ้าดูเชื่อมั่นในตัวเจ้ามากเหลือเกินนะ เจ้าก็น่าจะพูดแผนการของเจ้าหน่อยสิ? ถึงแม้ในค่ายเขาวงกตนี้จะไม่มีการแบ่งเวลากลางคืนและกลางวัน แต่พวกข้าก็ไม่ควรมาเสียเวลาที่นี่”
ต่อหน้าความระแวงสงสัยของทั้งสองคน จูนจิ่วไม่ได้โกรธอะไร นางหยิบถุงหอมออกมาอันหนึ่งแล้วโยนถุงหอมไปให้กูซูหยิงต่อหน้าทุกคน “แล้วลองดมดู”
กูซูหยิง “เจ้าคิดว่าแค่มอบถุงหอมให้ข้า ก็จะสามารถจัดการสัตว์ตงเตียได้แล้วหรือ? เจ้า……”
กูซูหยิงพูดไปได้แค่ครึ่งประโยค การที่เขาดมถุงหอมไปทีหนึ่งทำให้เขาล้มสลบไปทันที เหยียนไห่และจูนเสี่ยวเหล่ยตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อดึงสติกลับมาได้ เหยียนไห่รีบชักดาบออกมาถลึงตาจ้องจูนจิ่วด้วยสายตาโมโห “จูนจิ่วเจ้าคิดจะทำอะไร?”
“พวกเจ้าอยากรู้แผนการของข้าไม่ใช่หรือ? ก็แบบนี้ไง” จูนจิ่วพูดอย่างสบายๆ นางหนีบเข็มเงินไว้ที่ปลายนิ้วหนึ่งเล่ม พร้อมดีดปลิวแทงเข้าที่จุดไหลเวียนเลือดของกูซูหยิง ทันใดนั้น กูซูหยิงหายใจดังเฮือก ฟื้นตัวแล้ว ทว่าทั้งตัวกลับไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นไม่ไหว
ท่ามกลางความตื่นตกใจของกูซูหยิง จูนจิ่วค่อยๆเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบเย็นชา “นี่คือถุงหอมยาสลบ ไม่ว่าคนหรือสัตว์พอได้ดมแล้วจะล้มลงหลับใหลไปทันที หรือต่อให้ยังรู้สึกตัวอยู่ ก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงในการฟื้นฟูพลังทิพย์”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ดวงตาของเหยียนไห่กับกูซูหยิงเป็นประกายแวววาว กูซูหยิงถึงขั้นลืมเรื่องที่จะคิดบัญชีกับจูนจิ่วที่ว่าทำไมต้องใช้ถุงหอมทำให้นางสลบไปด้วย สายตาของพวกเขาเพ็งเล็งไปที่ถุงหอมที่ตกอยู่ที่พื้น ความหวังขึ้นอยู่กับมันแล้วล่ะ
จูนจิ่วพูดต่ออีกว่า “แต่ว่าสำหรับสัตว์ทิพย์ชั้นสาม ผลลัพธ์ที่ได้จะอ่อนกำลังกว่ามาก ซึ่งไม่สามารถทำให้มันหลับใหลได้ แค่ทำได้เพียงลดกำลังความเร็วของมันให้เชื่องช้าลง ทำให้ปฏิกิริยาของมันเฉื่อยช้า”
“แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” เหยียนไห่พูดด้วยอาการดีอกดีใจ
เมื่อคำพูดออกจากปากไป เหยียนมองไปทางจูนจิ่ว เอ่ยปากพูดขอโทษ “จูนจิ่ว พวกข้าเข้าใจเจ้าผิดไปแล้ว”
พวกเขาไม่มีใครนึกสงสัยในตัวถุงยาสลบอีกเลยว่าจะสามารถใช้ได้ผลกับสัตว์ตงเตียหรือไม่ แม้แต่กูซูหยิงนักจิตชั้นสามที่เพียงแค่ดมไปหนึ่งครั้ง ยังล้มสลบไปทันทีเลย จนถึงตอนนี้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่เลย ซึ่งมันเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าถุงยาสลบอันนี้รุนแรงแค่ไหน พวกเขาไม่ได้โง่ถึงขั้นดูไม่ออกว่าจูนจิ่วจงใจฉีกหน้าความสงสัยของกูซูหยิง ฉะนั้นนางจึงให้นางดมถุงหอม
กูซูหยิงทั้งรู้สึกผิดและเก้อเขิน นางนั่งฟื้นฟูพลังทิพย์ที่พื้น และไม่ได้สงสัยพละกำลังของจูนจิ่วอีก พลันมองสบตากับเหยียนไห่ อดทึ่งความเก่งกาจของจูนจิ่วไม่ได้จริงๆ หมอเทวดาจูนจิ่วสมดั่งคำร่ำลือ
ยังมีอีกหนึ่งคำถาม จูนเสี่ยวเหล่ยเอ่ยปากถาม “พี่สาวเก้า พวกเราจะทำให้สัตว์ตงเตียติดกับดักได้อย่างไรล่ะ?”
“ต่อหน้า” จูนจิ่วพูดด้วยน้ำเสียงเผด็จการและทะนงตน นางหยิบเอายาถอนพิษออกมาและแจกจ่ายให้กับจูนเสี่ยวเหล่ยพวกเขาสามคน เพื่อกันไม่ให้พวกเขาโดนยาสลบตอนที่ปะทะกัน เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จ จูนจิ่วหยิบคันธนูที่พับเก็บได้ออกมาหนึ่งคัน
เพราะว่าตอนพับเก็บไว้จะเล็กกะทัดรัดมาก เมื่อกางออกมาถึงจะเห็นลักษณะที่แท้จริง ดังนั้นพวกเหยียนไห่ไม่ได้นึกสงสัยเลยว่าจูนจิ่วไปเอามาจากไหน แค่เพียงรู้สึกทึ่งกับอาวุธลับที่ประณีตงดงาม ขณะที่รู้สึกประหลาดใจอยู่นั้น เกิดคำถามขึ้นว่า นี่จูนจิ่วจะทำอะไร?
จูนจิ่วพูด “พักผ่อนพอหรือยัง?”
“ข้าไม่เป็นไร นี่จะเริ่มลงมือกันแล้วใช่ไหม?” เหยียนไห่ลุกขึ้นยืนพร้อมชักดาบประจำกายออกมา
กูซูหยิงลุกขึ้นยืนพร้อมบริหารร่างกายสักครู่ เมื่อฤทธิ์ของยาสลบจางหายไปนางฟื้นตัวดีขึ้นมาก จากนั้นมองไปทางจูนเสี่ยวเหล่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจอยากลองทำดู โดยที่ไม่เกรงกลัวสักนิด เหยียนไห่และกูซูหยิงที่มองดูอยู่ แอบคิดในใจว่า ดูท่าแล้วคนที่อยู่ข้างกายจูนจิ่ว ล้วนไม่ใช่บุคคลธรรมดา
จูนจิ่วถือคันธนูเดินขึ้นไปบนเนินเขา ภายในค่ายเขาวงกตไม่มีการแบ่งเวลากลางวันและกลางคืน เวลาจะหยุดอยู่ที่เที่ยงตรงพร้อมแสงแดดเจิดจ้าแยงตา นางเอ่ยปากพูด “ตอนที่ยิงลูกธนูออกไป เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ลงมือได้ทันที ใครกล้าทำตัวเป็นตัวถ่วง ข้าจะยิงเขาทิ้งด้วยธนูเอง”
ทั้งสามคนสั่นกระตุกพร้อมๆกัน รู้สึกกลัวอยู่บ้าง การที่จูนจิ่วพูดเช่นนี้ไม่ได้พูดล้อเล่นหรอกนะ
จูนจิ่วไม่สนใจสามคนที่อยู่ข้างหลังอีกเลย นางถือคันธนูเล็งเป้าไปที่ใจกลางทุ่งดอกไม้ พร้อมตรวจเช็คให้แน่ชัด จูนจิ่วเอ่ยปากพูด “จูนเสี่ยวเหล่ย”
“รับทราบ” จูนเสี่ยวเหล่ยรับฟังคำสั่ง แล้วรีบโยนถุงหอมที่อยู่ในมือไปทางข้างหน้า จูนจิ่วเล็งให้แม่นยำแล้วยิงลูกธนูออกไป ประจวบพอดีกับแรงยิงลูกธนูที่ยิงทะลุผ่านถุงหอม พร้อมทั้งพุ่งตรงไปยังใจกลางทุ่งดอกไม้ เสียงที่ยิงทะลุผ่านอากาศมา ทำให้สัตว์ตงเตียตื่นตัวตกใจ
พวกมันเงยหน้ามองดูลูกธนูที่ยิงผ่านมา มีสัตว์ตงเตียตัวหนึ่งแสดงอาการโมโห อ้าปากร้องคำรามเสียงดังสนั่น จนเกิดเป็นคลื่นเสียงสั่นสะเทือนผ่านมาทางอากาศซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลูกธนูและถุงหอมที่บินพุ่งเข้าไปถูกแรงสั่นสะเทือนระเบิดจนแหลกสลาย ถุงหอมแตกกระจาย ผงยาที่อยู่ข้างในปลิวฟุ้งกระจายทันที สัตว์ตงเตียลองดมกลิ่นอย่างนึกประหลาดใจและจามใส่ ทันใดนั้นฝีเท้าเริ่มเดินโยกเยกยืนไม่นิ่ง ตูบ สัตว์ตงเตียตัวที่หนึ่งล้มลงไป
“ลงมือได้” จูนจิ่วเก็บคันธนูเข้าที่ ชักดาบป๋ายเย่ออกมาพร้อมเคลื่อนตัวพุ่งเข้าไป เหยียนไห่พวกเขาทั้งสามคนอยู่ข้างหลังตามมาติดๆ
สัตว์ตงเตียล้มลงไปทีละตัว แม้ว่าพวกมันจะสังเกตเห็นว่าจูนจิ่วพวกเขากำลังพุ่งตัวเข้ามาใกล้ แต่กลับทำอะไรได้ ใช้เวลาเพียงไม่นาน สัตว์ตงเตียชั้นสองทั้งหมดก็ต้านฤทธิ์ยาสลบไม่ไหวจนต้องหลับใหลไป เหลือเพียงสัตว์ตงเตียชั้นสามสองตัวที่ยังฝืนทนไหว มองจ้องไปยังจูนจิ่วด้วยความโกรธโมโห ทั้งยังแหกปากร้องตะโกนเสียงดัง ต่อให้พวกมันจะได้รับผลกระทบของยาสลบ อย่าได้ละทิ้งความระมัดระวังตัวเป็นอันขาด
จูนจิ่วเปิดปากพูด “ทิ้งตัวหนึ่งให้ข้า อีกตัวหนึ่งให้พวกเจ้าจัดการ รีบจัดการให้จบเสร็จเร็วๆ”
“ได้”
ไม่มีใครกล้าข้องใจในคำสั่งของจูนจิ่วอีกเลย พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม จูนจิ่วชักดาบออกมาเผชิญหน้ากับสัตว์ตงเตียชั้นสามตนหนึ่ง ส่วนเหยียนไห่พวกเขาสามคนแยกตัวออกไปคนละทิศล้อมรอบไว้หนึ่งตัว เหยียนไห่และกูซูหยิงสบตาเข้าหากันสายตาหนักแน่น มันฟังดูไม่สมเหตุสมผลที่ว่าพวกเขาทั้งสามคนยังสู้จนจิ่วคนเดียวไม่ได้ พวกเขาจะต้องรีบจัดการสัตว์ตงเตียตัวนี้ให้ได้ก่อน
ลงมือพร้อมกัน ตุบๆๆๆ
จูนจิ่วฟันดาบไปในแนวนอน ปะทะเข้าอย่างจังกับคลื่นเสียงคำรามดังสนั่นของสัตว์ตงเตีย คลื่นเสียงคำรามทำให้เกิดแรงพายุเฮอริเคน ลมพัดแรงจนกระโปรงสะบัดเสียงดัง จูนจิ่วพูดเสียงต่ำด้วยสายตาที่เยือกเย็นไร้ความปรานี “ฆ่ามัน”