บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 203 PK สัตว์ตงเตียจนผ่านด่าน
บทที่ 203 PK สัตว์ตงเตียจนผ่านด่าน
พลังทิพย์ไหลเข้าสู่ดาบป๋ายเย่ เสียงดาบทุ้มต่ำฟันลงไป เสียงฉีกขาด ที่แสบแก้วหูดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน เห็นเพียงจูนจิ่วที่ฟันดาบไปที่พายุเฮอริเคนจนคลื่นเสียงขาดสะบั้น นางเขย่งปลายเท้าแล้วพุ่งไปทางสัตว์ตงเตีย จูนจิ่วพลิกหมุนข้อมือ แล้วแทงไปยังดวงตาของสัตว์ตงเตีย
โอ้
สัตว์ตงเตียชั้นสามสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายถึงชีวิต สัญชาตญาณที่เฉียบคมของมันบอกว่าอย่าให้จูนจิ่วเข้าใกล้ มันกำลังจะถอยตัวหลบ แต่เนื่องจากผลของยาสลบ ความว่องไวของสัตว์ตงเตียเชื่องช้าลง มันยังไม่ทันได้หลบหลีก จูนจิ่วก็ตามมาถึงตรงหน้าแล้ว
เสียงร้องคำรามดังลั่น สัตว์ตงเตียพุ่งตวัดกรงเล็บคมกริบเข้าใส่จูนจิ่ว……
สัตว์ตงเตีย ร่างกายเหมือนกับกระต่ายตัวใหญ่มหึมา ดอกตงเตียขึ้นอยู่บนหน้าผากและอยู่ตรงกลางระหว่างหูยาวๆ พวกมันมีความว่องไวที่แปลกพิลึก ฟันคู่หน้าและกรงเล็บคมกริบ ตอนนี้ความว่องไวเชื่องช้าลง ทำให้ข้อได้เปรียบหายไป เหลือเพียงฟัน กรงเล็บ และพรสวรรค์ด้านการจู่โจม
กรงเล็บที่ตวัดมาพร้อมเสียงชือๆ เห็นได้ว่ากรงเล็บนั้นคมมากเพียงใด จูนจิ่วยกมือถือดาบขึ้นมาเหนือศีรษะขวางกั้นเอาไว้ แต่ยังคงถูกแรงอันหนักหน่วงกดทับจนหัวเข่าเริ่มงอ จูนจิ่วถือดาบไว้ด้วยมือทั้งคู่ สายตาดุดันและตะโกนเสียงดุ พร้อมฟันดาบไปยังด้านบน
ป๋ายเย่ประกายทอแสงแห่งดาบ ดาบฟันเข้าใส่ทันที
เสียงร้องคำราม
สัตว์ตงเตียแหกปากร้องเจ็บปวด มันถอยห่างออกไป กรงเล็บที่ใช้จู่โจมจูนจิ่วถูกป๋ายเย่ฟันจนขาดและเหลือเพียงเนื้อหนังชั้นหนึ่งห่อหุ้มไว้ เลือดสดอุ่นร้อนพุ่งออกมา สาดใส่ร่างกายของจูนจิ่ว สีหน้านางไม่เปลี่ยน จูนจิ่วถือดาบไล่ตามไปอย่างเยือกเย็น
เพียงพริบตาเดียวการต่อสู้ผ่านไปแล้วสิบกว่าท่า สัตว์ตงเตียชั้นสามทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผลฉีกขาด เลือดของมันเปื้อนใส่กระโปรงแดงของจูนจิ่วซึ่งทำให้สีแดงคมเข้มมากยิ่งขึ้น คราบเลือดที่เป็นจุดๆติดเปื้อนบนใบหน้างดงามไร้ที่ติ สายตาที่เลือดเย็นไร้ความปรานี กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเลือดเย็น
จูนจิ่วกระตุกมุมปากแล้วพูดว่า “เจ้ามีความสามารถแค่นี้เองหรือ?”
สัตว์ตงเตียเหมือนจะฟังเข้าใจ มันเปล่งเสียงร้องคำรามด้วยความโมโห อ้าปากเป่าลูกบอลทอแสงออกจากปาก ทันทีที่ลูกบอลทอแสงออกมามันกลืนกินพลังปราณทั่วทุกทิศ ลูกบอลทอแสงยิ่งอยู่ยิ่งใหญ่ขึ้น พลังอำนาจแข็งแกร่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยพุ่งตรงไปทางจูนจิ่ว ซึ่งเสมือนท่าไม้ตายสุดท้าย
ความเคลื่อนไหวอันนี้ดึงดูดสายตาพวกเหยียนไห่ทั้งสามคน พวกเขาเบิกตากว้าง ตกตะลึงตาค้าง เหตุเพราะมัวแต่เหม่อมองไปครู่หนึ่ง กูซูหยิงถูกสัตว์ตงเตียชั้นสามอีกตัวหนึ่งชนเข้าอย่างจังจนตัวปลิวกระเด็นออกไป เหยียนไห่และจูนเสี่ยวเหล่ยรีบดึงสติกลับมา รีบพุ่งไปสกัดกั้นสัตว์ตงเตียไว้
อีกอย่างจูนจิ่ว ที่ต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมขั้นรุนแรง นางไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วเลยสักนิด
จูนจิ่วถือดาบไว้ในมือ และกวาดสายตามองไปที่กระดิ่งที่โยกเยกไปมา ทว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ พลังแห่งการทำลายล้างที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามา จูนจิ่วเพิ่งจะเงยหน้ามองไปทางลูกบอลทอแสงที่พุ่งเข้าหานาง สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนสี จูนจิ่วฟันดาบออกไป พลังทิพย์ก่อตัวบนป๋ายเย่ พร้อมมีเสียงเหวิงๆดังขึ้น เหมือนมันกำลังตอบสนองจูนจิ่ว
แรงฟันดาบอันน่าสะพรึง พลังอำนาจของนักจิตชั้นสามประทุระเบิด พละกำลังแข็งแกร่งจนน่ากลัว พวกเหยียนไห่ที่เห็นเหตุการณ์ร่างกายหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เป็นพลังที่เก่งกาจจริงๆ
บูม
แรงดาบฟันลูกบอลทอแสงจนแหลกสลาย แรงระเบิดกระจายออกไปทั่วทิศ แรงดังกล่าวเหมือนดั่ง พายุเฮอริเคน จูนจิ่วเหยียบบนพายุเฮอริเคน เดินจากช้าไปเร็ว ทันใดนั้นรีบเคลื่อนตัวมาปรากฏตัวตรงหน้าสัตว์ตงเตียอย่างรวดเร็ว เท้าเหยียบใส่หัวของสัตว์ตงเตีย จูนจิ่วถือโยวหยิ่งในแนวนอนแล้วรีบกรีดเอาดอกตงเตียลงมาจากหัวของสัตว์ตงเตีย
ดอกตงเตียไม่อยู่บนฟ้า ไม่อยู่บนดิน ชื่นชอบน้ำ? มันเติบโตบนศีรษะของสัตว์ทิพย์ เลือดเป็นพลังงานที่มันกลืนกินทั้งคืนและวัน เลือดก็ถือเป็นน้ำประเภทหนึ่ง ข้อมูลที่อาวุโสถูฉีให้ไม่ผิด
ดอกตงเตียกินเลือดของสัตว์ตงเตียเป็นอาหาร ส่วนสัตว์ตงเตียพึ่งพาพลังงานจากดอกตงเตียทำให้พละกำลังเพิ่มมากขึ้น จูนจิ่วใช้มีดกรีดดอกตงเตียทีเดียว ซึ่งมันมีค่าเท่ากับการฆ่าสัตว์ตงเตียทิ้ง ร่างไร้วิญญาณล้มลงไปที่พื้นเสียงดังตูบ โดยที่ไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย
การมีข้อสรุปเช่นนี้ ทำให้จูนจิ่วค้นพบขีดเส้นตายของสัตว์ตงเตีย
มือข้างขวาของนางถือดอกตงเตียไว้ และเงยหน้ามองไปอีกฝั่งหนึ่ง พวกเหยียนไห่ยังคงต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับสัตว์ตงเตียชั้นสามอีกตัว ขณะที่ใช้นิ้วมือเหวี่ยงเล่นโยวหยิ่ง สายตาจูนจิ่วฉายแวววับโยวหยิ่งบินออกไปทันที เสียงที่บินทะลุผ่านอากาศมาทำให้เหยียนไห่ทั้งสามคนตกตะลึง พวกเขาคิดว่ามีคนแอบลอบทำร้ายจากทางด้านหลัง
สุดท้ายพวกเขาจึงเคลื่อนตัวหลบไป เมื่อหันหน้ามองไปกลับเห็นเพียงอาวุธลับสีดำสนิทบินผ่านไป ดอกตงเตียที่อยู่บนหัวของสัตว์ตงเตียถูกตัดจนขาดทันที เมื่อต้องเสียดอกตงเตียไป ร่างกายของสัตว์ตงเตียโยกเยกไปมา เปล่งเสียงน่าเวทนาแล้วล้มลงไปที่พื้น
กูซูหยิงตกตะลึง “ตาย ตายแล้วหรือ?”
เหยียนไห่หมุนตัวและหันหน้ากลับไป เห็นจูนจิ่วรับโยวหยิ่งกลับไปผ่านทางอากาศ ณ วินาทีนั้นมีคำพูดเป็นหมื่นล้านคำแต่กลับพูดไม่ออก มันสับวนวุ่นวาย พวกเขาต่อสู้อยู่ที่นี่แทบเป็นแทบตายตั้งนาน จูนจิ่วแค่ใช้มีดเล่มเดียวก็จัดการได้แล้ว ทุกคนล้วนเป็นนักจิตชั้นสาม อย่าห่างเหินกันมากขนาดนี้จะได้ไหม?
“ดอกตงเตียที่อยู่บนศีรษะของสัตว์ตงเตียคือจุดอ่อนของพวกมัน ดอกตงเตียดอกนี้เป็นของจูนเสี่ยวเหล่ย เหยียนไห่หากพวกเจ้าอยากได้ สัตว์ตงเตียที่อยู่ด้านข้างเชือดได้ตามใจชอบเลยนะ”
“ได้” เหยียนไห่และกูซูหยิงไม่มีข้อกังขาใดๆ จูนจิ่วเป็นคนฆ่าสัตว์ตงเตียตาย นางมีอำนาจจัดการกับดอกตงเตียนั่น
ทั้งสองสบตาเข้าหากัน เหยียนไห่และกูซูหยิงหันหน้ากลับไปทางอื่น ต่างคนต่างเลือกสัตว์ตงเตียที่ยังสลบอยู่คนละหนึ่งตัว และตัดดอกตงเตียที่อยู่บนหัวของมันลงมา ตอนนี้ทุกคนมีดอกตงเตียคนละหนึ่งดอกครบถ้วนแล้ว
จูนจิ่วพูดว่า “ไปเถอะ ออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“เดี๋ยวก่อนจูนจิ่ว” เหยียนไห่เพิ่งพูดออกจากปาก ก็เห็นจูนจิ่วบีบดอกตงเตียจนแหลกสลาย แสงสีน้ำเงินประกายทอแสงห่อหุ้มร่างกายของนางไว้ ก่อนที่จะหายวับไป จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาทีหนึ่ง ใบหน้านางยังมีคราบเลือดเปื้อนติดอยู่ นางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างบ้าบิ่นทะนงตน มองจนเหยียนไห่หัวใจสั่นกระตุก
จูนเสี่ยวเหล่ยเดินตามจูนจิ่วผ่านด่านไปติดๆ ตอนนี้เหลือเพียงเหยียนไห่และกูซูหยิง
กูซูหยิงใช้มือกุมบาดแผลตรงท้องไว้ สายตาของนางมองดูที่ที่จูนจิ่วจางหายไปด้วยความสับสนและน่าทึ่ง นางเอ่ยปากพูด “จูนจิ่วคนนี้ เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งของข้ากับเจ้า”
“คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง? กูซูหยิง เจ้าสู้นางไหวหรือ?”
กูซูหยิงหยุดชะงัก นางถลึงตาใส่เหยียนไห่ด้วยความโมโห “ตอนนี้สู้ไม่ไหว ไม่ได้หมายความว่าอีกหน่อยจะสู้ไม่ไหว พวกข้าไม่ใช่คนไร้ประโยชน์สักหน่อย เจ้าและข้าล้วนเป็นผู้มีความสามารถที่ถูกคัดเลือกจากหมื่นในร้อย มันจะแตกต่างจากจูนจิ่วมากขนาดนั้นเชียวหรือ? การแข่งขันใหญ่อู๋อจงยังมีเวลาเหลืออีกตั้งครึ่งปี พอถึงตอนนั้นความจริงจะปรากฏบนเวทีประลองเอง”
พวกเขาล้วนเป็นศิษย์อู๋อจงที่แน่ชัดอยู่แล้ว ค่ายเขาวงกตเป็นเพียงแค่การวัดฝีมือเมื่อแรกพบ รอจนถึงวันแข่งขันใหญ่อู๋อจง นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นวันรวมตัวผู้เก่งกาจ เป็นงานที่คนนับร้อยแย่งชิงเป็นที่หนึ่ง พอถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่มีแค่พวกเราเท่านั้น ยังมีศิษย์อู๋อจงรุ่นก่อนหน้าอีกด้วย
เหยียนไห่บีบดอกตงเตียจนแหลกสลาย ก่อนเขาจะออกไปได้พูดว่า “เจ้าพูดได้ไม่ผิด นี่มันแค่เพิ่งจะเริ่มต้น จะเป็นแมลงเป็นหงส์หรือเป็นมังกร เมื่อถึงวันแข่งขันบนเวทีใหญ่อู๋อจงถึงจะรู้ได้”
ทว่าในจิตใจของเหยียนไห่ กลับแกะสลักเงาร่างงดงามนั้นไว้อย่างลึกซึ้ง เหมือนระหว่างสองฝั่งมีหุบเหวลึก ทำให้เขายากที่จะข้ามผ่านไปได้
……
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางได้ยินเสียงของกู่ซงกับหยูนเฉียว ทั้งสองขานเรียกนางพร้อมๆกัน เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากที่ไกลเคลื่อนใกล้เข้ามา “แม่นางจูน ทำไมเจ้าเลือดสาดเต็มไปทั้งตัว? เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ”
“จูนจิ่ว นี่น่าจะไม่ใช่เลือดของเจ้าสินะ?” กู่ซงทั้งลังเล และหนักแน่น
จูนจิ่วโหดร้ายซะขนาดนั้น ไม่น่าจะโดนใครทำร้ายได้ง่ายๆ อีกอย่างในบรรดาลูกศิษย์รุ่นนี้ ไม่มีใครที่สามารถทำร้ายจูนจิ่วได้
จูนจิ่วกวาดตามองพวกเขาทีหนึ่ง ดวงตามองข้ามพวกเขาแล้วหันไปทางผู้อาวุโสถูฉี นางพูดว่า “ไม่ใช่เลือดของข้า ผู้อาวุโสถูฉี เมื่อผ่านด่านแล้วสามารถกลับไปก่อนได้ไหม?”