บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 208 ศิษย์สายหลัก นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร
บทที่ 208 ศิษย์สายหลัก นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร
เช้าตรู่ของวันที่สอง กู่ซงกับอู๋ซานมาถึงที่เวทีอู๋อจง พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปแจ้งทีละบ้านเลย เพราะทุกคนล้วนเตรียมพร้อมเดินทางตั้งนานแล้ว ทั้งตื่นเต้นและเฝ้ารอคอยอยู่ตรงสนาม เว้นแต่จูนจิ่วที่ไม่ได้อยู่ข้างในนั้น
อู๋ซานหาไปหนึ่งรอบ ลูบตรงคาง “เสี่ยวจูนจิ่วอยู่ไหน?”
กู่ซงส่ายหน้า เขามองไปทางหยูนเฉียวและจูนเสี่ยวเหล่ย ทั้งสองมีสีหน้าที่ไม่สู้ดี มองไปทางประตูห้องของจูนจิ่วที่ปิดเงียบสนิท ทันใดนั้น มีเสียงคนบ่นว่าขึ้นมา “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว? คงไม่ใช่ยังหลับอยู่หรอกนะ จูนจิ่วอำนาจบาตรใหญ่จริงๆ ให้พวกข้าต้องมารอนาง ”
“ใช่ๆ พวกข้าก็ล้วนเป็นว่าที่ลูกศิษย์ของอู๋อจง ทำไมต้องมารอนางด้วย? ต่อให้ไม่นับหน้าพวกข้า แล้วนางเป็นใครกัน ที่ยังกล้าให้ศิษย์พี่อู๋ซานทั้งสองท่านต้องมารอนางตื่นนอนด้วย ”
สายตาตำหนิของกู่ซงถลึงตาใส่พวกเขาทีหนึ่ง คนพวกนั้นที่แหกปากร้องบ่นร่างกายสั่นกระตุกทีหนึ่งแล้วรีบหุบปากทันที พวกเขาไม่ได้สนใจว่าจูนจิ่วจะมาสาย อีกอย่างตอนที่อู๋ซานกำลังจะไปเคาะประตู ประตูห้องถูกเปิดออกจากด้านใน เผยให้เห็นจูนจิ่วที่อุ้มเสี่ยวอู่ไว้ด้วยท่าทางสบายๆขี้เกียจ
จูนจิ่วสูญเสียพลังจิตเยอะเกินไป แค่หลับหนึ่งตื่นมันยังไม่เพียงพอ ทั้งตัวจึงแลดูไม่มีชีวิตชีวา นางเปิดเปลือกตากวาดสายตามองดูอู๋ซานอย่างขี้เกียจ “มาแล้วเหรอ”
อู๋ซาน “……”
เขาเอามือกุมไว้ที่ทรวงอกอย่างเงียบ ถลึงตามองดูจูนจิ่ว เขารู้สึกผิดขึ้นมากะทันหัน
ท่าทางที่ง่วงเหงาหาวนอนและขี้เกียจของจูนจิ่ว ทั้งตัวเต็มหนาวเหน็บดั่งเกล็ดหิมะ น่ารักจนทำให้คนอยากจะเห่าหอนเป็นหมาป่าทีเดียว อู๋ซานรู้สึกผิดมาก จูนจิ่วจะต้องง่วงมากสินะ? หากรู้เร็วกว่านี้จะได้มาช้าอีกหน่อย ให้นางได้มีเวลานอนนานกว่านี้
กู่ซงเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน เห็นจูนจิ่วที่มีหน้าตาโหดร้ายบ้าบิ่นบ่อยเกินไป ท่าทางน่ารักขี้เกียจและนอนไม่เต็มอิ่มแบบนี้ มันช่างปั่นป่วนหัวใจเหลือเกิน
จูนจิ่วเหลือบตามองทั้งสองคน เสียงดุขึ้นมาทันที “พวกเจ้ารออะไรอยู่?ไม่ไปหรือไง”
“ไปๆๆ พวกเราขึ้นไปบนวิหารยอดเขากัน” เมื่อดึงสติกลับมาได้ กู่ซงกับอู๋ซานรีบเดินไปนำทางข้างหน้า จากตรงนี้ไปถึงวิหารยอดเขา จะต้องใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร แต่ว่าทุกคนล้วนรู้สึกตื่นเต้นดีใจจนไม่มีใครรู้สึกว่าเหนื่อยเลย”
เมื่อเทียบกันแล้ว ท่าทางที่เหนื่อยล้าและขี้เกียจของจูนจิ่ว กลับทำให้เป็นที่จับตามองของผู้คน
เมื่อเดินเข้าไปข้างในวิหาร ทุกคนในอู๋อจงจ้องมองไปที่จูนจิ่วพร้อมๆกัน สีหน้าดูสับสนพูดไม่ถูก นอกจากจูนจิ่วแล้ว ลูกศิษย์ที่ผ่านด่านพร้อมกันนั้นกลับจ้องมองไปที่บนวิหารพร้อมๆกัน มองดูจูนหยูนเสวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างของโจ่ฉีรองเจ้าสำนักเจี้ยนจง
ต่อให้บนใบหน้าจะมีผ้าปิดหน้าไว้ก็ตาม ยังคงมีท่าทางที่เย่อหยิ่งทะนงตนและอวดเก่ง นางเชิดคางขึ้นสูง ราวกับว่าตัวเองเป็นราชินีผู้สูงส่ง หรี่ตามองดูพวกเขาอย่างดูถูก
พอมองเห็นเท่านั้นแหละ พวกมู่หรงหนันจินจ้องหน้ากันอย่างแปลกใจ มู่หรงหนันจินเห็นมากับตาตัวเองว่าใบหน้าที่บวมเหมือนหมูอยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้าของจูนหยูนเสวี่ย หน้าของนางยังบวมอยู่เลย บาดเจ็บไปทั้งตัว เมื่อเห็นจูนจิ่วกลัวจนหนีถอยห่างไปไกลที่สุด จูนหยูนเสวี่ยยังโอ้อวดได้อีกเหรอ?
แล้วหันไปมองโจ่ฉีที่อยู่ด้านข้างของจูนหยูนเสวี่ย ทุกคนคิดได้ทันที หรือว่าสาเหตุเป็นเพราะนางมีรองเจ้าสำนักเจี้ยนจงคอยหนุนหลังอยู่?
อู๋ซานกับกู่ซงเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน “กล่าวคารวะเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสทุกท่าน การแข่งขันบนเวทีประลองอู๋อจงมีผู้ชนะทั้งหมดสิบห้าคน ตอนนี้มาถึงแล้ว”
“ในเมื่อคนมาครบแล้ว งั้นก็เริ่มกันเลยดีกว่า” เมิ่งจื้อหยวนเจ้าสำนักตันจงเอ่ยปากพูด
คนที่ชนะ จะต้องตัดสินใจว่าจะต้องเข้าร่วมสำนักไหน ทั้งนี้ เหล่าอู๋อจงสามารถเลือกเองได้ และคนที่ชนะสามารถเลือกนำเสนอตัวเองได้เช่นกัน อู๋ซานและกู่ซงยืนอยู่ด้านข้างวิหาร พวกเขาเปิดอ่านคู่มือรายชื่อ “เหยียนไห่จากแคว้นซ่างยี้”
เหยียนไห่ก้าวเท้าออกมา อกผายไหล่ผึ่งเงยหน้ามองไปทางโจ่ฉี เขาพูดว่า “ลูกศิษย์เหยียนไห่ยินดีเข้าร่วมสำนักเจี้ยนจง”
“ดี” โจ่ฉีพยักหน้าตอบรับ เหยียนไห่เดิมทีก็เป็นศิษย์ที่ถูกหมายหัวไว้แล้ว ตอนนี้ก็แค่ทำตามขั้นตอนพิธีการ
คนต่อไป “กูซูหยิงจากแคว้นโล๋หยวน”
“ลูกศิษย์กูซูหยิงยินดีเข้าร่วมชางไห่จง” ต้นขากูซูหยิงได้รับบาดเจ็บทำให้เดินไม่สะดวก นางฉีกยิ้มกว้างอ่อนโยนดุจดั่งวารี โค้งคำนับไปทางท่านชิง
“ดี” ท่านชิงพยักหน้าพึงพอใจ
หลังจากนั้นขานเรียกชื่อคนแล้วคนเล่า ส่วนใหญ่พวกเขาต่างก็เลือกกันก่อนแล้วว่าจะเข้าสำนักไหน ฉะนั้นพิธีการจึงผ่านไปเร็วมาก เพียงไม่นานก็มาถึงจูนเสี่ยวเหล่ย เมื่อจูนเสี่ยวเหล่ยถูกเรียกชื่อ ทว่ายังไม่ยอมก้าวเท้าออกไป แต่กลับจ้องมองจูนจิ่วอย่างใจจดใจจ่อพร้อมถามเสียงเบาว่า “พี่สาวเก้าพี่จะไปที่ไหน?”
คำพูดแสดงชัดเจนอยู่แล้วว่า จูนจิ่วไปที่ไหน นางก็จะไปที่นั่น
จูนจิ่วยังไม่ทันได้เปิดปากพูด น้ำเสียงโอ้อวดของจูนหยูนเสวี่ยพูดดังขึ้นก่อน นางด่าว่าตำหนิ “จูนเสี่ยวเหล่ย อย่าทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา ที่นี่มันวิหารใหญ่ ฮื้ม ก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ ไม่รู้กฎระเบียบ ขนบธรรมเนียม น่าอับอายยิ่งนัก ”
“เจ้า” จูนเสี่ยวเหล่ยโกรธจนตาแดง
ทุกคนตกตะลึงตามๆกัน คิดไม่ถึงว่าจูนหยูนเสวี่ยจะกล้าแสดงคำพูดความก้าวร้าวเช่นนี้ในวิหารใหญ่ ทว่าสิ่งที่ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือ เจ้าสำนักทุกคนไม่มีใครพูดตำหนิจูนหยูนเสวี่ยเลย เมื่อจูนหยูนเสวี่ยเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งได้ใจใหญ่ อกผายไหล่ผึ่ง จูนหยูนเสวี่ยมองผ่านผ้าผิดหน้า มองถลึงตาใส่จูนจิ่วด้วยความอำมหิต
จูนจิ่วไม่แสดงอาการดีใจหรือโกรธ มองก้มหน้าลูบเสี่ยวอู่ไป นางเอ่ยปากพูด “ไปเถอะ”
“ได้” จูนเสี่ยวเหล่ยไม่มองจูนหยูนเสวี่ย นางเดินไปถึงตรงกลางด้วยความอาลัยอาวรณ์ จูนเสี่ยวเหล่ยไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหน? เดิมทีนางอยากจะติดตามจูนจิ่วไป
ท่านชิงจากชางไห่จงรู้สึกชื่นชอบในตัวนางและมองดูนาง “จูนเสี่ยวเหล่ยใช่ไหม? เจ้ายินดีเข้าร่วมสำนักข้าหรือไม่”
จูนเสี่ยวเหล่ยมองดูจูนจิ่วตาละห้อย ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จูนหยูนเสวี่ยก้มหน้าลงต่ำ นัยน์ตาน้ำตาคลอแล้วพูดว่า “ข้ายินยอม”
ต่อจากจูนเสี่ยวเหล่ยก็คือหยูนเฉียว สีหน้าหยูนเฉียวนิ่งเงียบ ยิ้มอ่อนโยนงดงาม “ลูกศิษย์หยูนเฉียว ยินยอมเข้าร่วมสำนักหุ้นหยวน”
“ดี” กู่ซงดีใจจนต้องปรบมือ ขยิบตาส่งให้หยูนเฉียว เมื่อหยูนเฉียวมาที่สำนักหุ้นหยวน เขาจะมีเพื่อนแล้ว พอดีใจเสร็จ กู่ซงมองไปยังสายตาเร่าร้อนของจูนจิ่ว เขาหวังว่าจูนจิ่วจะมาที่สำนักหุ้นหยวนเช่นกัน
ทว่าคนต่อไปไม่ใช่จูนจิ่วแต่เป็นจูนหยูนเสวี่ย
อู๋ซานขมวดคิ้วแน่น นัยน์ตาฉายแววไม่พอใจ เขาพูดว่า “จูนหยูนเสวี่ยจากแคว้นเทียนโจ้ง”
“ฮื้ม” จูนหยูนเสวี่ยทำเสียงฮื้มดุดันใส่ ท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนดอกบัวขาว อกผายไหล่ผึ่งนั่งอยู่บนวิหารใหญ่วางอำนาจบาตรใหญ่กดขี่คนอื่น นางเย่อหยิ่งถึงขั้นไม่ยอมเดินออกมายืนตรงกลางวิหาร
เมื่อเห็นเช่นนั้น อู๋ซานขมวดคิ้วแน่น สายตายิ่งโกรธและรำคาญมาก
เมิ่งจื้อหยวนที่เห็นสีหน้าของศิษย์รักของตน เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วมองไปทางโจ่ฉี “รองเจ้าสำนักโจ่ฉี ท่านจะรับคนเข้าสำนักก็ควรทำตามขั้นตอนพิธีเสียหน่อย”
โจ่ฉี “เจ้าสำนักเมิ่งพูดถูก จูนหยูนเสวี่ยมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นเหนือคนอื่น เจ้าสำนักเจี้ยนจงได้ให้คำสั่งแก่ข้าว่า ยินดีรับจูนหยูนเสวี่ยเป็นลูกศิษย์สายหลัก”
บูม
ในวิหารใหญ่เสียงฮือฮาดังขึ้นทุกคนตะลึงตาค้าง
มองไปยังจูนหยูนเสวี่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ ซึ่งนางได้ใจจนตัวจะลอยขึ้นฟ้าอยู่แล้ว ทุกคนไม่อยากเชื่อเลยว่านี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
คุณสมบัติของศิษย์สายหลัก มันแตกต่างไปจากศิษย์ธรรมดาอย่างสิ้นเชิง แม้แต่อู๋ซาน ก็เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ธรรมดาของเจ้าสำนักตันจง ไม่ใช่ศิษย์สายหลัก เพราะศิษย์สายหลักหมายถึงว่านางจะต้องรับตำแหน่งเจ้าสำนักในรุ่นต่อไป เจ้าสำนักเจี้ยนจงยังไม่เคยได้เจอจูนหยูนเสวี่ยเลย จะรับนางเป็นศิษย์สายหลักเลยหรือ?
ท่านชิงตกใจจนต้องเปล่งเสียงออกมา “รองเจ้าสำนักโจ่ฉี ท่านล้อเล่นสินะ?