บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 238 ชิ่วชิ่ว ไสหัวไปซะ!
บทที่ 238 ชิ่วชิ่ว ไสหัวไปซะ!
“กฎในการแข่งขันนั้นง่ายมาก สาวกผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขัน สำนักเทียนอู่จงของข้าจักให้หยกทิพย์แก่พวกเขาคนละหนึ่งชิ้น โดยหยกทิพย์แบ่งออกเป็น 5 ระดับ เป็นสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว และสีเขียวอมฟ้า ซึ่งสีเขียวอมฟ้าอยู่ในระดับสูงที่สุด เพียงสังหารสัตว์ทิพย์ของเขตลับเทียนอู่ ก็จะทำให้หยกทิพย์ได้รับการเลื่อนระดับ”
เงียบไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มที่มุมปากของชิงอยู่ก็ทวีความอันตรายขึ้น เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ร้ายกาจนั้น: “และแน่นอนว่า ท่านสามารถช่วงชิงหยกทิพย์ของผู้อื่น และเอาระดับของพวกเขามาได้!”
ฮึ่ม!
ชิงหยู่ได้เผยข้อมูลใหม่ที่น่าประหลาดใจออกมาอีกครั้ง ฝูงชนในลานต่างตกตะลึง สีหน้าของเจี้ยงจงไปจนถึงทั้งสี่สำนักเปลี่ยนไป ช่วงชิงได้อย่างนั้นรึ? ไม่ใช่ว่าชิงหยู่กำลังกระตุ้นให้พวกเขาต่อสู้กันเองเช่นนั้นรึ?
“เจ้าสำนักชิง!” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งแห่งเจี้ยนจงยืนขึ้นทันใด เบิกตากว้างจ้องไปที่ชิงอยู่อย่างโกรธเคือง เขาดุว่า: “การแข่งขันทั้งห้าสำนักเป็นการแข่งขันเพื่อเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ท่านจะออกกฎดังกล่าวได้เช่นไรกัน?”
“ใช่! นี่มันเป็นกฎที่ไม่เหมาะสม” ท่านชิงแห่งชางไห่จงก็ยืนขึ้นต่อต้านชิงหยู่
ยังมีผู้อาวุโสคนอื่นๆอีกที่ต้องการจะเอ่ยปาก แต่ชิงหยู่ก็ขมวดคิ้วพลางโบกไม้โบกมือด้วยความไม่พอใจ “ข้าเป็นประธานการแข่งขันทั้งห้าสำนัก ข้านั้นก็ต้องเป็นผู้ตั้งกฎเอง หากไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจ ก็ถอนตัวออกไปเสียบัดนี้!”
“ เจ้า!” ผู้อาวุโสทั้งหลายอารมณ์ขึ้น
ชิ้นหยู่เงยหน้ามองพวกเขา ยิ้มมุมปากอย่างโอหัง เขากล่าวว่า: “การแข่งขันทั้งห้าสำนักในแต่ละปีที่ผ่านๆมา ไม่ได้เคยเห็นเลือดมาแล้วหรือ จะมาสวมบทนักบุญอะไรกันตอนนี้? หากพวกท่านสามารถชนะในการแข่งขันนี้ได้ ผู้มีชัยจักได้รับสินน้ำใจอย่างเต็มที่”
ในขณะที่ชิงหยู่พูดอยู่ ก็กล่าวถึงรายการของรางวัลที่จะเป็นสินน้ำใจ แววตาของฝูงชนทั้งสนามก็ลุกวาวเปล่งประกาย สมกับเป็นสำนักเทียนอู่จง ร่ำรวยมหาศาล!
เมื่อมองไปที่ผู้ที่ต่อต้านเมื่อสักครู่ ตอนนี้ก็ได้ถูกสินน้ำใจทำให้ตกตะลึงไปแล้ว สายตาของชิงหยู่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เขากล่าวต่อ: “ทั้งห้าสำนักจะถูกแยกให้ออกมาจากห้าสารทิศ ผู้ใดไปถึงใจกลางเขตลับเทียนอู่ได้เร็วที่สุด ให้นำหยกทิพย์ของพวกท่านวางที่แท่นหินทิพย์ ก็จะสามารถจบการแข่งขันได้ หลังจากนั้นจะจัดอันดับตามสีของหยกทิพย์”
“กฎเกณฑ์เยอะเช่นนี้ คงฟังเข้าใจกันหมดแล้วกระมัง อ๋อ อีกอย่าง หากต้องการออกจากการแข่งขันละก็ สามารถบีบหยกทิพย์เพื่อแจ้งได้เลย ผู้อาวุโสแห่งสำนักเทียนอู่จงของข้าจักรีบพาพวกท่านออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะอย่างไรก็ตาม พฤติกรรมขี้ขลาดเช่นนี้ ก็ยังดีเสียกว่าตายอยู่ในนั้น” ความเสเพลในน้ำเสียงของชิงหยู่ แสดงถึงการดูถูกดูแคลน
และแล้วก็ได้เห็นเขาหยิบกุญแจทรงประหลาดออกมาจากแขนเสื้อ พลางเริ่มร่ายข่ายพลังบนลานฝึกวิทยายุทธ พลังแห่งจิตวิญญาณแปรปรวนอยู่กลางอากาศ และหลั่งไหลมาอยู่ข้างหน้าชิงหยู่ ประตูที่เกิดจากการรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณค่อยๆแง้มออก
จูนจิ่วได้ยินเสียงที่ผู้คนต่างตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าทางเข้าของเขตลับเทียนอู่ แท้จริงแล้วมันอยู่บน ลานฝึกวิทยายุทธเฉียนคุนนี่เอง! ชิงหยู่: “เอาล่ะ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จะมีเวลา 10 วันในเขตลับอู่จง เมื่อครบ 10 วันแล้ว ทุกๆคนจักถูกถอนออกมา เพื่อเป็นการยุติการแข่งขันโดยไม่คำนึงถึงผลแพ้ชนะใดๆ และแน่นอนว่าถ้าจบการแข่งขันได้แล้ว ก็สามารถออกมาก่อนได้”
จูนจิ่วลุกขึ้นพลางมองไปทางโม่อู๋เยว่ “อย่างนั้นข้าไปล่ะ!”
“ข้าจะคอยดูเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เอง” โม่อู๋เยว่ยกริมฝีปากของเขา เสียงหัวเราะอย่างวิญญาณร้ายนั้น น่าดึงดูดจนแทบจะกลืนกินลมหายใจของฝูงชนรอบๆไป
“เจ้าค่ะ”
จูนจิ่วหันตัวไป เสี่ยวอู่ก็ตามหลังนางมา มีสาวกแห่งสำนักเทียนอู่จงเข้าร่วมการแข่งขันถึง 20 คน พวกเขาพากันเดินเรียงตามหลังจูนจิ่ว หวางฉี่อ๋างเองก็อยู่ในขบวนด้วยเช่นกัน เขามองดูจูนจิ่วด้วยแววตาที่ชื่นชม พลางกล่าวขึ้นว่า: “อาเจ็กเสี่ยวช่วย สู้ๆ! อาเจ็กเสี่ยวช่วยต้องชนะ!”
“อาเจ็กเสี่ยวช่วยสู้ๆ! อาเจ็กเสี่ยวช่วยเป็นที่หนึ่ง!” สาวกแห่งสำนักเทียนอู่จงพากันโห่ร้องเป็นเสียงเดียวกันดั่งเสียงฟ้าร้อง ที่กึกก้องดังสนั่น ฝูงชนในสนามได้ยินเสียงโห่ร้องก็ต่างหวาดหวั่นไร้ชีวิตชีวา สำนักเทียนอู่จงนี่เป็นบ้าอะไรกันนักกันหนา?
โห่คำรามไม่จบไม่สิ้น เสียงสูงขึ้นแล้วสูงเล่า จนสถานที่ที่กำลังโห่ร้องแทบจะแตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ จูนจิ่วขมวดคิ้ว พลางยกมือขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าสาวกทั้งสี่สำนักก็มีสีหน้าพะอืดพะอมกันไปหมด สาวกที่ไม่เข้าร่วมการแข่งขันพาให้กำลังใจจูนจิ่วก็น่ารำคาญพอแล้ว สาวกที่เข้าร่วมก็ยังมาให้กำลังใจจูนจิ่วอีก พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะลงแข่งเพื่อแย่งชิงตำแหน่ง สำนักเทียนอู่จงช่างแปลกคนกันยิ่งนัก! แต่เหตุใดกัน พวกเขาถึงอดที่จะอิจฉาไม่ได้เลย?
คนบนที่สำหรับรับชมกล่าวว่า: “ดูเหมือนว่าหมอเทวดาจูนจิ่วจะมีเกียรติมีศรีในสำนักเทียนอู่จงอย่างเหลือล้น มีแต่ผู้คนรักใคร่ชื่นชม มิเช่นนั้น จะต่างร่วมใจกันให้จูนจิ่วได้รับชัยชนะเป็นถึงที่หนึ่งได้เช่นไร?”
ใบหน้าของจูนหยูนเสวี่ยยับยู่ยี่ในทันที พร้อมกัดฟันกรอก มีสิทธิ์อะไร? จูนจิ่วมีสิทธิ์อะไรมาได้รับการนับหน้าถือตา ต้องไม่ใช่นางสิ!
“ศพี่หยูนเสวี่ยต้องชนะ!” มีสาวกเห็นว่าจูนหยูนเสวี่ยมีสีหน้าไม่สู้ดี จึงถือโอกาสตะโกนให้กำลังใจแก่จูนหยูนเสวี่ย แต่สุดท้ายก็มีเขาคนเดียวที่ตะโกนออกมา เป็นภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกน่าอับอายขายขี้หน้า จูนหยูนเสวี่ยตรงปรี่ไปเตะเข้าที่สาวกผู้นั้นด้วยความโมโหในทันที
บรรยากาศเงียบสงัด จูนหยูนเสวี่ยจึงจัดระเบียบกระโปรงพร้อมวางมาดเดินลงจากลานฝึกวิทยายุทธไป นางจักทำให้ผู้คนจะได้รู้ว่า จูนจิ่วเพียงได้รับการยกย่องจากฝูงชนก็เท่านั้น ยังมีนางอยู่ จูนจิ่วจะมาเป็นที่หนึ่งได้อย่างไรกัน?
“จูนหยูนเสวี่ยนี่ชักจะโอหังเกินไปเสียแล้วกระมัง!” สาวกแห่งตันจงประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าจะเตะสาวกร่วมสำนักกลางวันแสกๆ โดยไม่สนใจเหล่าอาวุโสแม้แต่น้อย
ยู่ซินกระตุกที่มุมปาก ค่อยๆลุกขึ้น “พวกเราก็ไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ!”
สาวกกลุ่มหนึ่งลุกตามยู่ซิน ยู่ซินยังไม่ทันแม่แต่จะก้าวเท้าก็มองไปทางอู๋ซาน “อู๋ซาน ข้าขอตัว”
“อืม ไปเถิด อ้อ! แล้วก็อย่าเป็นศัตรูกับจูนจิ่วเด็ดขาด แม่สาวน้อยใจร้ายผู้นั้นน่ะ มันไร้ประโยชน์ที่จะต่อต้านนาง” อู๋ซานกล่าวเตือนยู่ซิน หารู้ไม่ว่าความหวังดีของเขา จะทำให้ยู่ชินกำมือแน่น จนปลายเล็บที่เรียวงามจิกเข้าเนื้อในฝ่ามือทันที
นางยิ้มอย่างเยือกเย็น พร้อมหันมาอย่างกริ้วโกรธและทิ้งท้ายว่า “ข้าจะทำเจ้าค่ะ!”
อย่าต่อต้านอย่างนั้นรึ? นางโหดร้ายอย่างนั้นรึ? ไร้ประโยชน์เช่นนั้นรึ? ภายนอกของยู่ซินนั้นดูว่านอนสอนง่ายและสง่างาม แต่ในใจนั้นพุพังไปนานแล้ว นางให้คำสัตย์แก่ตนเองว่า นางจะลองเชิงหมอเทวดาจูนจิ่วเสียหน่อยว่ามีอะไรดี? ไม่ใช่แค่งดงามหรอกรึ มีเหตุใดที่ทำให้อู๋ซานประเมินค่านางสูงถึงเพียงนี้
ยู่ซินยังคงดำเนินความคิดที่มืดมนต่อไป รอดูเมื่อนางได้ฉีกหน้าของจูนจิ่วจนสิ้นความงามไปก่อนเถิด อู๋ซานยังจะชื่นชมนางถึงเพียงนี้อยู่อีกหรือไม่?
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” กู่ซงลุกขึ้นพาผู้ติดตามใต้ปกครองตามไป
ด้านหน้าประตูของเขตลับเทียนอู่ จูนจิ่วเงยหน้ามองเจี้ยนจงเดินมา ขบวนหนึ่งนำโดยจูนหยูนเสวี่ย อีกขบวนนำโดยเหยียนไห่กับผู้นำหญิงสาวที่สวมผ้าปิดหน้า จูนหยูนเสวี่ยเดินมาอย่างผยอง แววตาที่มุ่งร้ายมองลงมาที่เสี่ยวอู่ “เข้าร่วมการแข่งขันก็ยังเอาไอ้สัตว์เดรัจฉานนี่มาด้วย หึ! อย่าได้ให้ข้าเจอมันเข้าแล้วกัน มิเช่นนั้นจะถลกหนัง ตรึงเส้นเอ็น ฉีกเป็นชิ้นๆ”
“เหอะ” จูนจิ่วแสยะยิ้ม
นางไม่ทันได้อ้าปาก ชายร่างกำยำแห่งสำนักเทียนอู่จงกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก็ระเบิดเสียงดัง: “ชิ่วชิ่ว! ไสหัวไป!”
สัมผัสแรงขับไล่ได้อย่างชัดเจน สายลมกระหน่ำพัดเข้าหาจูนหยูนเสวี่ย เป็นการหลอมกายของคนจอมปลอมที่ไร้ความสามารถ เสียงโห่ร้องดั่งพายุเฮอริเคนโถมใส่จูนหยูนเสวี่ย ผมเผ้าปลิวยุ่งเหยิงไปหมด แขนเสื้อสะบัดพั่บๆลอยขึ้นตีเข้าที่หน้าของจูนหยูนเสวี่ย พ่าม! เสียงหัวเราะของคนทั้งสนามดังออกมา
จูนหยูนเสวี่ยดึงแขนเสื้อลง ด้วยหน้าตาแสนน่าเกลียด ทั้งยังจะอยากอ้าปากพูดอีก แต่หวางฉี่อ๋างก็ได้ขัดจังหวะนางอย่างรุนแรง “ยังจะกล้ามาปากมากอีก ไม่เชื่อรึว่าตอนนี้พวกเราตะลุมบอนเจ้า!”
มารังแกเสี่ยวอู่ ก็เหมือนรังแกอาเจ็กเสี่ยวช่วย เมื่อรังแกอาเจ็กเสี่ยวช่วยก็เหมือนรังแกพวกเราสำนักเทียนอู่จง! เช่นนี้หาทนได้ไม่! กลุ่มคนร่างกำยำที่บ้าคลั่งแห่งสำนักเทียนอู่จง ยืดอกผายอย่างแข็งแกร่ง เรียงแถวจ้องมองไปที่จูนหยูนเสวี่ย
ความยิ่งใหญ่นั้นกดจูนหยูนเสวี่ยให้จมลงๆ จะหายใจก็จำต้องกลั้นเอาไว้
แปะแปะ!
ชิงอยู่ปรบมือ พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “ทำได้ดีมาก!”