บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 247 ทุกท่านเจ็บหน้าไหม
บทที่ 247 ทุกท่านเจ็บหน้าไหม
“นี่มันเป็นไปไม่ได้ จูนจิ่วก็แค่จัดการบาดแผลอย่างง่าย จะสามารถขับสารพิษออกไปสำเร็จได้อย่างไร?”
“ใช่ นั่นมันยาพิษขั้นรุนแรงของนักวางยาพิษเชียวนะ แรงจนถึงแก่ชีวิต มันจะเป็นได้อย่างไรที่ผู้หญิงตัวกะเปี๊ยกจะสามารถขับสารพิษออกและรักษาจนหายได้ จูนจิ่วจงใจหลอกลวงพวกเรา หื้ม ดูท่าแล้วหมอเทวดาจูนจิ่วคงถึงคราวหมดสิ้นความสามารถ ยาพิษนี้ไม่สามารถถอนได้ มือข้างขวาเตรียมพิการได้เลย” น้ำเสียงของคนพูดเลวทรามมาก มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น หากมือข้างขวาพิการก็เท่ากับว่าเป็นคนทุพพลภาพไปโดยปริยาย
ทุกคนที่ได้ยินว่าเป็นยาพิษของนักวางยาพิษ ต่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆตามๆกัน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
นักวางยาพิษเหรอ นั่นมันเป็นถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงท่ามกลางนักกลั่นยา ถนัดใช้ยาพิษทารุณโหดร้าย อีกทั้งยังอยู่เหนืออู๋อจง ผู้อาวุโสนอกสำนักจากสำนักสามแห่ง ยาพิษหนึ่งเม็ดมีเงินทองก็หาซื้อยาก จูนจิ่วกลับโดนยาพิษขั้นรุนแรงของนักวางยาพิษ
ผู้คนต่างรู้จักยาพิษขั้นรุนแรงของนักวางยาพิษดี มีเพียงเขาคนเดียวที่มียาถอนพิษ จูนจิ่วแค่ใช้วิธีการง่ายๆจะขับสารพิษออกไปได้อย่างไร? ทิศทางสถานการณ์เปลี่ยนทันที ทุกคนล้วนชี้ขาดว่า จูนจิ่วรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางรักษาแล้ว แต่ยังคงมีความหวังว่ารักษาได้ จึงจัดการบาดแผลไปแบบนั้น
ผู้อาวุโสเจี้ยนจงเอ่ยปากพูด “เด็กสามขวบยังรู้เลย หากโดนวางยาพิษต้องกินยาถอนพิษก่อน ตามด้วยกินยาทุกวัน และพักผ่อนเจ็ดวันถึงจะหายได้ จูนจิ่วใช้มีดสั้นทำแผลชุ่ยๆแบบนั้น ขับสารพิษออกไปได้หรือ? ข้าเห็นนางบีบเลือดออกไปเยอะขนาดนั้น มีแต่จะเสียแรงเปล่า”
“ใช่ๆ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน คนที่โดนยาพิษแค่เอาเชือกมามัดแล้วใช้มีดตัดเนื้อออก นี่มันเป็นการทำให้พิษแพร่กระจายเร็วขึ้นไม่ใช่หรือ? วิธีการที่ถูกต้องคือห้ามขยับตัว และรอกินยาถอนพิษเท่านั้น” ท่านชิงจากชางไห่จงพูด และหันหน้ามองไปทางอู๋ซานสำนักตันจง
นางถามว่า “อู๋ซาน เจ้าเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของตันจง เจ้าว่าถูกต้องไหม?”
“ถูกต้องไม่มีผิด แต่……” อู๋ซานลังเลที่จะพูด ดวงตาทั้งคู่ของเขาเพ่งมองไปที่บุปผากระจกจันทราวารี เห็นจูนจิ่วเร็วดั่งวายุ ซู่ๆ เดินฝ่าดงป่าไม้ไปอย่างรวดเร็ว เขาจะพูดกับทุกคนอย่างไรดี เขารู้สึกว่าจูนจิ่วทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว
ทว่าพูดไปพวกเขาก็คงไม่เชื่อหรอก?
“พวกเจ้าเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นหรือไง? หุบปากให้หมดเลย ศิษย์น้องของข้าจะทำอย่างไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า จะดูก็ดู ไม่ดูก็ไสหัวออกไปแต่เนิ่นๆ ใครยังปากมากพูดบลาๆ ข้าจะลงมือสั่งสอนมัน”
สีหน้าของชิงหยู่ไม่น่ามอง เขากำหมัดแน่นพร้อมตะโกนเสียงดุดันดังสนั่น
จากนั้นเขามองไปทางโม่อู๋เยว่ น้ำเสียงที่ผ่านไปมิอาจบดบังความเป็นห่วง “ผู้อาวุโสโม่ ท่านว่าวิธีการของศิษย์น้องเล็กข้า ทำถูกต้องไหม? ต้องการให้นางหยุดการแข่งขันแล้วออกมาขับสารพิษออกก่อนไหม”
วิธีการถอนพิษของจูนจิ่วแบบนี้ ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย ทั้งโหดเหี้ยมและรวดเร็ว ประสิทธิภาพสูงจนทำให้คนเชื่อยากว่านี่คือการถอนพิษ ชิงหยู่เชื่อมั่นในตัวจูนจิ่ว ทว่าตรรกะความคิดกลับทำให้เขาอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ หากวิธีการเกิดข้อผิดพลาดล่ะ? เขาเกือบจะทนไม่ไหวจนบุกเข้าไปนำตัวศิษย์น้องเล็กออกมา ไม่เพียงแต่สามารถถอนพิษได้ ยังสามารถหลบหลีกคนของเทียงฉิวได้ด้วย
หลังจากที่ผ่านไปตั้งนานแล้วยังไม่ได้รับการตอบกลับของโม่อู๋เยว่ ชิงหยู่จึงส่งเสียงไปอีกครั้ง “ผู้อาวุโสโม่ท่านได้ยินไหม”
“ยาพิษอันน้อยนิด เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ถอนพิษได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก” แววตาของโม่อู๋เยว่แลดูหนักหน่วง และรู้สึกรำคาญใจต่อการรบกวนของชิงหยู่อยู่บ้าง สุดท้ายจึงยอมตอบเขาไป
“อย่างนั้นแสดงว่าศิษย์น้องเล็กก็ถอนพิษสำเร็จแล้วน่ะสิ? ฮ่าๆๆ ข้าว่าแล้วศิษย์น้องเล็กของข้าฉลาดเป็นกรด แถมมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ยาพิษของนักวางยาพิษแล้วจะทำไม? นางก็สามารถถอนพิษได้อยู้ดี ” ชิงหยู่โล่งอกไปที จึงรีบพูดชื่นชมจูนจิ่วทันที แต่กลับไม่รู้ว่าโม่อู๋เยว่ได้ปิดการส่งเสียงของเขาไปแล้ว
โม่อู๋เยว่เฝ้าดูจูนจิ่วอย่างเงียบๆ ปลายนิ้วของเขาขยับนิดๆ ทุกคนไม่เห็นกระดิ่งเงินที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของจูนจิ่วมันกำลังเปล่งประกายทอแสงระยิบระยับ มีแสงวนเวียนอยู่รอบๆข้อมือจูนจิ่ว มันกำลังสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซ่อมแซมบาดแผลของจูนจิ่วอย่างรวดเร็ว
ทว่าจูนจิ่วรู้สึกได้
นางยกคิ้วขึ้นสูง ก้มหน้ามองไปที่มือข้างขวา ระหว่างทางนางได้เปลี่ยนเสื้อคลุมตัวนอกเพื่อบดบังบาดแผลไว้ จูนจิ่วรู้สึกว่าบนบาดแผลมีอาการคันยิกๆ ในฐานะที่เป็นนักกลั่นยานางเข้าใจอาการแบบนี้ดี บาดแผลกำลังสมานอย่างรวดเร็ว
โฮ่ง
เสียงหมาป่าเห่าหอนขัดจังหวะความคิดของจูนจิ่ว นางแหงนหน้ามองไปเห็นสัตว์ทิพย์ชั้นสามกำลังพุ่งตัวเข้ามาหานาง จึงรีบชักดาบออกมา ป๋ายเย่ฟาดฟันออกไปทันที แทงเข้าจนเลือดสดสาดกระจาย สัตว์ทิพย์ชั้นสามถูกดาบตัดขาดเป็นสองท่อน จูนจิ่วลองหมุนข้อมือไปมา เห็นอาการดีขึ้นแบบนี้ ก่อนคืนนี้น่าจะฟื้นฟูหายดีกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
เมื่อครู่ตอนที่ชักดาบออกมา ปลายหางตาเหมือนเห็นแสงของกระดิ่งเงินในแขนเสื้อ สิ่งนี้ทำให้นางรีบหยุดท่าทางที่จะพยายามดึงแขนเสื้อขึ้นดูทันที
เป็นโม่อู๋เยว่
จูนจิ่วกระตุกยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ดีอกดีใจ นางมองข้ามศพของสัตว์ทิพย์ชั้นสามที่อยู่ที่พื้น โบกมือให้กับเสี่ยวอู่ที่รีบกลับมาเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว “เสี่ยวอู่ ไปแล้วนะ”
“รอก่อน เหมียว นายท่าน ข้าเห็นกู่ซงกับหยูนเฉียวอยู่ทางข้างหน้า” เสี่ยวอู่สังเกตเส้นทางอยู่ทางข้างหน้าตลอด สัตว์ทิพย์แอบย่องเข้ามาจากทางด้านหลัง ฉะนั้นเสี่ยวอู่จึงไม่ได้เจอ เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวอู่ นางเอ่ยปากพูด “ไปเถอะ ไปทักทายพวกเขาทั้งสองคนเสียหน่อย”
“เหมียว” เสี่ยวอู่เดินสะบัดก้น เดินนำทางอยู่ด้านหน้า มันรู้ดีว่าจูนจิ่วจะต้องไปเจอกู่ซงและหยูนเฉียวแน่นอน พวกเขาเป็นเพื่อนของนายท่านเชียวนะ
เมื่อเห็นแผนหลังที่เดินจากไปของจูนจิ่ว แล้วมองดูศพของสัตว์ทิพย์ชั้นสามที่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนอยู่ที่พื้น โดยที่ข้างนอกบุปผากระจกจันทราวารีกลับเงียบสงบไร้เสียงใดๆ ชิงหยู่เอ่ยปากพูดทำลายความเงียบสงบ น้ำเสียงทะนงตนได้ใจ “เห็นกันหรือยัง? ศิษย์น้องเล็กข้าเมื่อครู่ใช้มือขวา มือขวานะ”
เพียะๆๆ
นี่เหมือนโดนตบหน้าจนบวมเหมือนหัวหมู
เมื่อครู่ยังเชื่อหนักแน่นว่าจูนจิ่วไม่สามารถถอนพิษได้ นั่นมันยาพิษขั้นรุนแรงของนักวางยาพิษ เป็นไงล่ะ ผลสุดท้ายจูนจิ่วกลับใช้มือขวาที่ได้รับบาดเจ็บ ฆ่าสัตว์ทิพย์ชั้นสามตายทันที สัตว์ทิพย์ชั้นสามไม่ใช่ของปลอม ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าจูนจิ่วถอนพิษสำเร็จแล้ว
งงเป็นไก่ตาแตก ไม่อยากจะเชื่อในสายตา ทุกคนมองไปยังตำแหน่งที่นั่งของตันจงอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยสายตาตั้งคำถาม วิธีการแบบนั้นของจูนจิ่วสามารถถอนพิษได้จริงหรือ?
ไม่มีผู้ใดในตันจงที่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เมื่อครู่พวกเขายังขานเรียกตัวเองว่าเป็นจงเหมินนักกลั่นยา และเยาะเย้ยหนักมาก ตอนนี้คงเจ็บหน้าจนพูดไม่ออก
ชิงหยู่หัวเราะออกมาแบบมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ทุกท่านเจ็บหน้าไหม?”
เจ็บสิ ทั้งเจ็บทั้งเสียงดัง
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ยินดีกับเจ้าด้วยที่ตบหน้าล่องหนได้สำเร็จ” ในหัวคิดถึงน้ำเสียงที่ฟังดูเฉื่อยของโม่อู๋เยว่ จูนจิ่วที่ยังอยู่ในเขตลับเทียนอู่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อครู่นางพบปะกับกู่ซงกับหยูนเฉียว ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ จู่ๆกลับได้ยินเสียงของโม่อู๋เยว่ขึ้นมา
นางกวาดสายตามองกู่ซงและหยูนเฉียวแวบหนึ่ง ในหัวตอบกลับไปว่า “ตบหน้าอะไร?” “บาดแผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” โม่อู๋เยว่ไม่ตอบกลับย้อนถามกลับ สายตาตกไปที่มือข้างขวาของจูนจิ่ว ซึ่งมีแขนเสื้อบดบังอยู่ทำให้มองบาดแผลได้ไม่ชัดเจน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูนจิ่วฉีกยิ้มอ่อนๆตรงมุมปาก นางเอนตัวอยู่บนกิ่งไม้อย่างขี้เกียจ ยกมือขึ้นมามองดูกระดิ่งเงินที่เคลื่อนไหวเบาๆอยู่ตรงข้อมือ จูนจิ่วเอ่ยปากพูด “เจ้าเป็นคนทำใช่ไหม? เกราะป้องกันโปร่งใส แล้วก็ยังมีการรักษาบาดแผลเมื่อครู่ด้วย ตัวเจ้าอยู่นอกเขตลับเทียนอู่แล้วเจ้าทำได้อย่างไร? ”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ลองเดาดูสิ”
“ไม่เดา ยังไงเจ้าก็ต้องบอกคำตอบให้ข้าอยู่ดี” จูนจิ่วตอบปฏิเสธไปตรงๆ น้ำเสียงจากประโยคครึ่งหลังแฝงความดื้อดึงหน่อยๆ ราวกับว่าคาดการณ์ได้ว่าโม่อู๋เยว่จะต้องเป็นฝ่ายยอมแน่นอน และเป็นฝ่ายบอกนางเอง
ความขี้เล่นในคำพูดของนางทำให้ระยะห่างของทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้น ซึ่งถูกใจโม่อู๋เยว่ยิ่งนัก ริมฝีปากบางฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ โม่อู๋เยว่พูด “ได้ รอเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ออกมา ข้าจะบอกเจ้าด้วยตัวเอง”
เสียงที่ส่งผ่านมาขาดหายไป จูนจิ่วแหงนหน้ามองเห็นหยูนเฉียวและกู่ซงกำลังเพ่งมองนางด้วยสีหน้านึกสนุก กู่ซงถามนนางด้วยน้ำเสียงกลั่นแกล้ง “จูนจิ่ว เมื่อครู่เจ้ากำลังคิดถึงใคร? ยิ้มหวานเยิ้มเชียว”