บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 248 ถึงที่หมายแล้วรวมตัวกันอีกครั้ง
บทที่ 248 ถึงที่หมายแล้วรวมตัวกันอีกครั้ง
คิดถึงใคร? เมื่อครู่นางกำลังคุยแบบส่งเสียงผ่านกับโม่อู๋เยว่ จูนจิ่วรีบเก็บสีหน้าโดยพลันกลับสู่โหมดเย็นชาเยือกเย็น พร้อมตอบกลับกู่ซงด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคงดูผิดไป”
“ดูผิดเหรอ? ไม่นะ เมื่อครู่ข้าเห็นอยู่ตำตา……โอ๊ย หยูนเฉียวเจ้าหยิกข้าทำไม?” กู่ซงแหงนหน้ามองไปทางหยูนเฉียว คนที่ถูกมองแสดงสีหน้าเงียบเฉยประมาณว่าเจ้าจะพูดออกไปทำไม
เห็นกู่ซงแสดงท่าทีจะถามต่อ หยูนเฉียวรีบเปลี่ยนเรื่องโดยพลัน เขามองไปทางจูนจิ่วแล้วพูดว่า “แม่นางจูน จะกลับไปรวมตัวกับสำนักเทียนอู่จงไหม?”
กู่ซงจึงไม่ได้ถามต่อไปอีก หันหน้าเพ่งมองไปทางจูนจิ่วรอนางตอบกลับมา
จูนจิ่วส่ายหน้า “ที่นี่อยู่ห่างจากศูนย์กลางเขตลับเทียนอู่ไม่ไกล ข้าไปรวมตัวกับพวกเขาที่นั่นก็พอ”
“ถ้าอย่างนั้น แม่นางจูนเราสามารถไปที่ศูนย์กลางเขตลับเทียนอู่พร้อมกันได้นะ” หยูนเฉียวและกู่ซงต่างตื่นเต้นดีใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้น จูนจิ่วเหลือบตามองไปที่ทั้งสองคน แล้วพูดว่า “ข้าเดินไปพร้อมกับพวกเจ้า ศิษย์สำนักหุ้นหยวนจะไม่ขัดข้องหรือ?”
“ไม่หรอก พวกเขาล้วนฟังคำสั่งของกู่ซง กู่ซงพูดอะไรก็ทำตามนั้น” หยูนเฉียวเหลือบตามองกู่ซง แสดงสีหน้าขี้เล่นใส่
“อะแฮ่ม” กู่ซงเห็นจูนจิ่วยกคิ้วขึ้นสูงมองมาที่เขา จึงไอแห้งๆแล้วพูดอธิบายว่า “ที่ผ่านมาข้าไม่มีโอกาสสารภาพกับเจ้า ข้านามสกุลกู่ อันนี้พวกเจ้าก็รู้แล้ว กู่ยี่เหอเจ้าสำนักหุ้นหยวนเป็นพี่ของข้า แคกๆ พี่ชายแท้ๆ ทว่าอายุระหว่างเราห่างกันเยอะไปหน่อย”
“อ้อ”จูนจิ่วพยักหน้าเข้าใจทันที
ที่แท้เจ้าสำนักหุ้นหยวนเป็นพี่ชายของกู่ซงนี่เอง มิน่าล่ะผู้อาวุโสถูฉีสำนักหุ้นหยวนถึงได้มีท่าทีต่อกู่ซงต่างออกไป และศิษย์สำนักหุ้นหยวนก็นับกู่ซงเป็นหัวหน้า
กู่ซงพูดอธิบายต่อ ตั้งแต่เด็กเขาไม่ชอบอยู่ในจงเหมิน ฉะนั้นมักจะวางแผนออกไปเที่ยวเล่นในแคว้นต่างๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีชื่อเสียงในอู๋อจง และน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาเป็นน้องชายแท้ๆของกู่ยี่เหอเจ้าสำนักหุ้นหยวน ยาที่กู่ซงร้องขออยากได้ก็เพื่อพี่ชายของเขานั่นเอง
จูนจิ่วมอบกล่องยาหนึ่งกล่องให้กับกู่ซง นางมีสร้อยข้อมือมิติ และยังมีแหวนมิติที่โม่อู๋เยว่มอบให้ ของที่ต้องใช้ประโยชน์ล้วนเก็บไว้ในนั้น ดังนั้นจึงไม่เกิดปัญหาที่ว่าเวลาต้องการใช้แล้วต้องกลับไปเอาของ
จูนจิ่วตอบ “นี่คือยาที่เจ้าขอ กลั่นเสร็จแล้ว”
“ขอบคุณเจ้ามากนะจูนจิ่ว มันเยี่ยมมากเลย ข้าวิ่งหามานานเกือบห้าปี ในที่สุดก็ได้ยามาแล้ว”
“เก็บยาไว้ก่อน เราต้องเตรียมตัวออกเดินทางแล้ว” เสี่ยวอู่กระโดดลงจากอ้อมกอดของจูนจิ่ว จูนจิ่วลุกขึ้นยืนจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเตรียมออกเดินทาง แม้นว่าที่นี่จะอยู่ใกล้ศูนย์กลางเทียนอู่ ก็จริง ทว่ายังคงต้องเดินทางอีกยาวไกล
ระหว่างทางนอกจากจะต้องรีบเดินทางแล้ว ยังต้องฆ่าฟันสัตว์ทิพย์ถึงจะสามารถยกระดับหยกทิพย์ของตัวเองได้
หลังจากที่ฆ่าสัตว์ทิพย์ชั้นสี่ตายไปสองตัว จูนจิ่วสามารถยกระดับหยกทิพย์จากสีเขียวชั้นสี่ถึงสีครามได้แล้ว ท่ามกลางกลุ่มของสำนักหุ้นหยวน คนที่ระดับสูงที่สุดคือกู่ซงอยู่ที่ระดับสีเขียวชั้นสี่ คนอื่นๆเป็นสีเหลืองทั้งหมด ขณะที่กู่ซงทะลุทะลวงถึงสีครามและหยูนเฉียวทะลุทะลวงถึงสีเขียว ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงศูนย์กลางเขตลับเทียนอู่
จนถึงตอนนี้ พวกเขาเข้ามาในเขตลับเทียนอู่เป็นวันที่ห้าแล้ว
ศูนย์กลางของเขตลับเทียนอู่เป็นหุบเขากว้างขวางแห่งหนึ่ง ท่ามกลางหุบเขามีสิ่งก่อสร้างโบราณ บริเวณด้านนอกสิ่งก่อสร้าง มีป้ายหินแกะสลักที่บ่งบอกความเป็นมาของวิชาฝึกกายเทียนอู่จง แบบคัดย่อ และลำดับขั้นตอนของวิชากำลังภายในขั้นสุดท้าย
กู่ซงเอามือกอดอกไว้ ที่ปากคาบใบหญ้าไว้หนึ่งก้าน พูดอย่างประหลาดใจว่า “เขตลับเทียนอู่เอาวิชากำลังภายในวางไว้ที่นี่เลยเหรอ ไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นแอบร่ำเรียนวิชาหรือ?”
“ไม่มีวิชาจิต มีแต่วิทยายุทธเรียนวิชาฝึกกายไม่สำเร็จหรอก” จูนจิ่วตอบกู่ซงจากจุดที่ห่างออกไปไกล นางเดินไปตามป้ายหินสลักที่เรียงรายกันเป็นแถวๆ สุดท้ายหยุดอยู่ที่ป้ายหินแกะสลักที่บันทึกวิชาฝึกกายชั้นสาม ในใจเริ่มท่องบทวิชาจิตอย่างเงียบๆ จูนจิ่วลองศึกษาวิชาฝึกกายชั้นสามดูหนึ่งรอบ
วิชาฝึกกายแบ่งออกเป็นห้าชั้น เทียง(ฟ้า)ตี้(ดิน)สวง(ดำ)หวง(เหลือง)เหริน(คน)
ตอนนี้จูนจิ่วฝึกฝนอยู่ที่สวงชั้นสาม จากการฝึกกายลึกเข้าไปถึงการฝึกกระดูก และนี่คือวิธีการที่ยุ่งยากซับและต้องใช้เวลานาน ซึ่งนางก็เพิ่งจะก้าวเข้าสู่การฝึกกายที่ลึกลับอัศจรรย์นี่เป็นก้าวแรก
สายตาเป็นประกายวาว จูนจิ่วเดินเข้าไปที่ดงป้ายหินแกะสลักและได้พบเห็นป้ายหินสลักที่ได้จาลึกวิชาฝึกกายชั้นสี่ไว้ ทว่าป้ายหินสลักที่จารึกวิชากำลังภายในไว้ไม่สมบูรณ์มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น จูนจิ่วนึกถึงคำพูดที่ชิงหยู่เคยพูดกับนาง วิชาฝึกกายของสำนักเทียนอู่จงเคยถูกพวกกบฏทำลายทิ้ง จนถึงตอนนี้วิชาฝึกกายชั้นสี่และห้าได้สูญหายไป
ตัวชิงหยู่เองก็จำได้แค่บางส่วน ฉะนั้นตอนนี้จึงหยุดอยู่แค่ชั้นสามไม่สามารถก้าวเพิ่มระดับได้ ทว่าเขาเองได้พยายามศึกษาและฝึกกายชั้นสามอย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง ทำให้พละกำลังแข็งแกร่งจนคาดการณ์ไม่ได้
จุดที่ห่างออกไปมีเสียงพูดคุยส่งผ่านมา ต่อด้วยเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาหา จูนจิ่วแหงนหน้ามองไปทางหยูนเฉียว เขายิ้มและพูดว่า “แม่นางจูน ศิษย์สำนักเทียนอู่จงมากันแล้ว”
“อาเจ็กเสี่ยวช่วย” พวกหวางฉี่อ๋างพอได้ยินว่าจูนจิ่วอยู่ที่นี่ จึงรีบตามหลังหยูนเฉียวมาหาจูนจิ่วทันที ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่โอบล้อมตัวจูนจิ่วไว้ คนที่ไม่รู้เรื่องอาจเข้าใจว่ากำลังจะรุมกระทืบจูนจิ่วเสียอีก ทว่าคำพูดของพวกเขากลับทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
ศิษย์คนที่หนึ่งพูด “อาเจ็กเสี่ยวช่วยทำไมท่านจากไปไม่ลากันสักคำ พวกข้าตกใจมากเลยนะ? เดินหาท่านไปทั่วแต่ก็หาไม่เจอ จึงเร่งเดินทางมายังศูนย์กลางเทียนอู่นี่แหละ”
“อาเจ็กเสี่ยวช่วย ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ทำไมถึงมาพร้อมกับสำนักหุ้นหยวนล่ะ?” ศิษย์คนที่สองถามด้วยความกังวลใจ
ศิษย์คนที่สามสี่ห้า ถามคนละคำสองคำ พร้อมแหงนหน้ามองจูนจิ่วด้วยสายตาละห้อย ทำราวกับว่าเป็นกลุ่มหมาน้อยผู้น่าสงสารที่ถูกนางทอดทิ้งไปอย่างนั้น จึงถามจูนจิ่วด้วยท่าทีตัดพ้อเสียความรู้สึก หากเทียบกับความคิดในตอนแรกมันช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้พวกลูกศิษย์สำนักหุ้นหยวนตกตะลึงตาค้างไปตามๆกัน
ตอนที่จูนจิ่วเดินทางร่วมกับพวกเขา พวกศิษย์สำนักหุ้นหยวนแสดงความเป็นมิตรที่ดี เพียงแค่พินิจพิจารณาจูนจิ่วเป็นพักๆ โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นจูนจิ่วสามารถฆ่าสัตว์ทิพย์ชั้นสี่สองตัวตายด้วยตัวลำพัง ยิ่งทำให้มีกลุ่มแฟนคลับเป็นกลุ่มใหญ่เลย
ทุกคนต่างเลื่อมใสศรัทธาและรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก คิดไม่ถึงว่าอาเจ็กเสี่ยวช่วยของสำนักเทียนอู่จงจะเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้
มิน่าล่ะถึงได้พูดว่าสำนักเทียนอู่จงล้วนเป็นพวกบ้ากำลัง ห้ามไปล่วงเกินเด็ดขาด ทว่าวันนี้กลับได้เห็นท่าทีอารมณ์แบบนี้ของกลุ่มชายฉกรรจ์บ้าบิ่นสำนักเทียนอู่จง มันสะเทือนความรู้สึกของพวกเขายิ่งนัก ที่แท้ชายฉกรรจ์บ้าบิ่นก็มีจิตใจที่อ่อนโยนได้? เห็นแบบนี้แล้ว พวกเขาเข้าใจสำนักเทียนอู่จงผิดไปแล้ว
ทว่าจูนจิ่วที่ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าสำนักเทียนอู่จงที่มาพร้อมสายตาตัดเพ้อ จึงเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาหนึ่งประโยคว่า “หยกทิพย์ของพวกเจ้าถึงสีอะไรแล้ว?” ทันใดนั้นเหล่าลูกศิษย์ไม่เค้นถามคำอธิบายจากจูนจิ่วแล้ว รีบนำหยกทิพย์ของตัวเองออกมาส่งมอบให้กับจูนจิ่ว
ลูกศิษย์เทียนอู่จงทำได้ไม่เลว มีบางส่วนที่ทะลุทะลวงถึงสีเขียวแล้ว บางส่วนเป็นสีเหลืองเข้ม
พอหันหน้ามองไปยังตรงกลางของสิ่งก่อสร้าง เห็นหินทิพย์ก้อนใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น แอ่งช่องว่างตรงกลางของหินทิพย์ สามารถวางหยกทิพย์ได้พอดี อีกอย่างหากวางหยกทิพย์เข้าไปแล้ว คะแนนจะถูกบันทึกและไม่สามารถแก้ไขได้อีก จูนจิ่วหรี่ตาลงต่ำ นางก้าวเท้าเดินไปยังหินทิพย์……
“จูนจิ่วจะบันทึกผลคะแนนเร็วเช่นนี้เลยเหรอ ไม่รอให้พวกเจี้ยนจงมาถึงก่อนหรือ?”
“สำนักเจี้ยนจง สำนักตันจงและสำนักชางไห่จง ยังอยู่ในระยะที่ห่างออกไปอีกมาก มาถึงที่นี่เกรงว่าต้องรออีกหนึ่งวัน พวกเจ้าเห็นหยกทิพย์ของจูนจิ่วหรือยัง? นั้นมันสีครามเชียวนะ ที่หนึ่งชัวร์ๆ ”
ชิงหยู่ได้ยินคำชื่นชมและเสียงถอนหายใจของทุกคน รู้สึกพึงพอใจมาก ทันใดนั้น ปลายหางตาของเขาปะทะเข้ากับอะไรบางอย่าง จึงแหงนหูแอบฟัง ได้ยินเสียงทุ้มต่ำมาก โจ๋วชิวรองเจ้าสำนักเจี้ยนจงบอกกับเหอซ่านว่า “มีคนสวมชุดคลุมสีดำจำนวนไม่น้อยได้บุกเข้าไปในเขตลับเทียนอู่”
เทียงฉิว สีหน้าชิงหยู่เปลี่ยนไปทันที