บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 274 ปลุกเร้าสายเลือดเสือขา
บทที่ 274 ปลุกเร้าสายเลือดเสือขาว
“แล้วไม่ใช่หรอกหรือ” จูนจิ่วหัวเราะเยาะและมองไปทางฝูงชน น้ำเสียงมุทะลุดูถูก
ถูกจูนจิ่วกระชากหน้ากากออกมาด้วยตัวเอง คนของสำนักเจี้ยนจงและสำนักชางไห่จงพลันมีสีหน้าปั้นยากถึงขีดสุด จูนเสี่ยวเหลยเอ่ยขัดจังหวะ “พวกเจ้าสำนักเจี้ยนจงและสำนักชางไห่จงสู้ไม่ไหวปลุกปั่นเทียนฉิวไม่ได้ ก็มีสร้างปัญหาให้สำนักเทียนอู่จง หน้าด้านหน้าทนไม่รู้จักยางอาย!”
“จูนเสี่ยวเหลยคนทรยศอย่างเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย รอข้าจับตัวเจ้าได้จักต้องบังคับโทษจัดการเจ้าเป็นแน่!” ครั้นผู้อาวุโสชางไห่จงเห็นจูนเสี่ยวเหลย พลันเปลี่ยนประเด็นสนทน้าเบิกตาโพลงร้องตำหนิอย่างพิโรธ
จูนเสี่ยวเหลยมิได้กลัว “ท่านจับข้าให้ได้ก่อนค่อยพูดเถิด!”
“อาจารย์อาท่านรับเข้ามาเร็ว พวกเราตัดสะพานอยู่ฝั่งนี้ก็มีค่าเท่ากัน!” หวางฉี่อ๋างยืนอยู่บนสะพาน ร้องตะโกนไปทางจูนจิ่วอย่างร้อนรน
“จูนจิ่วเลิกคิดหนีเสีย!” มือใหญ่ของผู้อาวุโสเจี้ยนจงโบกสะบัด ฝูงชนพลันกระจายแถวตอนเรียงหนึ่งปิดล้อมจูนจิ่วและเหยียนไห่เอาไว้ เบื้องหน้าคือศัตรูที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อ เบื้องหลังคือหน้าผาสะพานไม้
สายตาเย็นเยียบ ปลายนิ้วของจูนจิ่วลากไล้บนด้ามกระบี่เล็กน้อย นางปริปากอย่างเย็นยะเยือก “จูนเสี่ยวเหลย หวางฉี่อ๋าง ข้าจะถ่วงพวกเขาเอาไว้ พวกเจ้าไปตัดสะพานก่อน”
“ได้!” จูนเสี่ยวเหลยและหวางฉี่อ๋างพลันถอดดาบและเริ่มตัดสะพานทันที
เชือกขึงสะพานมีห้าเส้น ขอเพียงเหลือเส้นสุดท้ายเอาไว้ให้จูนจิ่วเข้ามาก็เพียงพอแล้ว พวกเจี้ยนจงและชางไห่จงค้นพบเจตนาของจูนจิ่ว จากนั้นจึงคิดขัดขวางทันใด
แต่เมื่อย่างออกมาหนึ่งก้าว จูนจิ่วยกมือชี้กระบี่ป๋ายเย่ไปทางพวกเขา “คิดขัดขวาง? ผ่านด่านข้าไปให้ได้เสียก่อน”
“จูนจิ่ว เจ้าเลิกวางโตเสีย! ตัวเท่าเด็กทารกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังกล้าพูดจาวางโตโอ้อวดต่อหน้าพวกข้า ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คอยดูข้าจักสั่งสอนเจ้าเป็นอย่างดีสักตั้ง!” ผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงเอ่ยเสร็จ พลันถอดดาบร่างไหววูบพุ่งไปทางจูนจิ่วทันที
ผู้อาวุโสชางไห่จงเอ่ยปาก “ทุกคนเข้าไปพร้อมกัน!”
หลายสิบคนกรูขึ้นไปพร้อมกัน ในสนามน่าสยดสยอง เหยียนไห่กำด้ามกระบี่เอาไว้แน่น ควบคุมเส้นโค้งที่สั่นระริกตรงข้อมือของตน เขาเดินไปหยุดข้างกายจูนจิ่ว “จูนจิ่ว ข้าจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เจ้าเอง!”
“เหมี่ยว!” เสี่ยวอู่กางกรงเล็บออกพร้อมลุยเต็มที่
จูนจิ่วว่า “งัดพลังทั้งหมดออกมา”
ศิษย์ทั่วไปของสำนักเจี้ยนจงทั้งขบวนรวมพลังสร้างค่ายกลกระบี่ ศิษย์สำนักชางไห่จงช่วยกันปิดผนึกเส้นทางล่าถอยของจูนจิ่ว ผู้อาวุโสเจี้ยนจงและชางไห่จงอยู่ภายใน ลงมือซัดโจมตีจูนจิ่วอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ใครก็ตามที่สามารถเป็นผู้อาวุโสได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นนักจิตชั้นหกขึ้นไป ทว่าคนกลุ่มนี้กลับไม่สามารถจับตัวจูนจิ่วได้ เห็นเพียงแต่เงาร่างของจูนจิ่วปานผีสางเทวดา ทิศทางที่กระบี่ยาวพุ่งออกไปล้วนเป็นภาพลวงตา ความเร็วของจูนจิ่วว่องไวเกินไป!
นางไม่ได้เผชิญกับพวกเขาซึ่งๆ หน้าเลยด้วยซ้ำ ลากถ่วงพวกเขาราวกับแมวแกล้งหนู ขณะที่บางคนในพวกเขาหมายจะพุ่งเข้าไปขัดขวางพวกจูนเสี่ยวเหลยตัดสะพานไม้ ก็ถูกจูนจิ่วเตะขัดขาตกหน้าผาไป หนึ่งครั้งสองครั้ง บรรดาศิษย์ชักเริ่มไม่กล้าพุ่งถลามาอีกแล้ว
“จูนจิ่ว! หากเจ้ายังไม่ยอมแพ้โดยละม่อมอีกละก็ ข้าจักฆ่าเขาเสีย!”
เมื่อได้ยินเสียง จูนจิ่วเงยหน้าขึ้นเห็นเพียงเหยียนไห่ถูกผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงจับตัวเอาไว้ กระบี่คมพาดแนบบนลำคอของเหยียนไห่ ออกแรงไม่เบาเชือดเฉือนผิวหนังจนเลือดสดไหลออกมา
ขู่นาง?
จูนจิ่วไม่ได้ชายแลตาสักนิด กำกระบี่พลางหัวเราะหยัน “ลงมือสิ? ความเป็นความตายของเขา เกี่ยวอันใดกับข้า”
“เจ้า!” ผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงคิดไม่ถึงว่าจูนจิ่วจะถึงขั้นพูดเยี่ยงนี้ เมื่อมองไปที่เหยียนไห่อีกครั้ง มิได้มีสีหน้าผิดหวังตรงข้ามกลับมีท่าทีโล่งอก ผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงโกรธจนแทบกระอักเลือด “คนทรยศข้าไว้ชีวิตเจ้ามีประโยชน์อันใด ไสหัวไป!”
หากฆ่าเหยียนไห่ ก็ดันนึกถึงความสัมพันธ์ของเหยียนไห่และเจ้าสำนักเจี้ยนจง ได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้ เตะเหยียนไห่ฟุบลงไปด้านข้าง ผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จ้องจูนจิ่วด้วยแววอาฆาตมาดร้าย “จุดไฟ! เผาสะพานไม้นั่นเสีย! ข้าจักคอยดูว่านางจะหลีกเร้นอย่างไร”
ซวยแล้ว!
เสี่ยวอู่กระโดดมาหยุดอยู่ข้างกายจูนจิ่ว นัยน์ตาวิฬารฉายแววกังวลใจ ถ้าหากสะพานไม้ถูกเผา เจ้านายยังไม่ทันข้ามไปจะทำอย่างไรดีเล่า? ถึงตอนนั้นไยมิใช่หนูติดจั่นหรอกหรือ
ศิษย์เจี้ยนจงและศิษย์ชางไห่จงพลันจุดไฟทันใด สะพานไม้ทำมาจากท่อนไม้ ซ้ำยังแห้งสนิท เมื่อครั้นจุดไฟลงไปมันก็ลุกไหม้ทันที ไม่ทันได้ขัดขวางเลยสักนิด จูนเสี่ยวเหลยและหวางฉี่อ๋างที่อยู่ตรงข้ามร้อนรนจนแทบคลั่ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้ามาได้
“ฮ่าๆ! จูนจิ่ว ตอนนี้ดูสิว่าเจ้าจะหนีอย่างไร เจ้าไร้หนทางหลบหนีเสียแล้ว”
“ไม่ ยังมีอีกทาง ข้าสังหารพวกเจ้าเสียก่อนก็หนีไปได้แล้ว” ร่างจูนจิ่วไหววูบ ป๋ายเย่คละคลุ้งด้วยไอสังหารเย็นยะเยือกก่อนเฉือนฉับลงไป!
อ้า!
จูนจิ่วซัดโจมตีออกไปเต็มแรง ศิษย์กลุ่มหนึ่งยังไม่ทันตอบสนองก็ถูกตัดชีพใต้กระบี่ในชั่วขณะเสียแล้ว รอกระทั่งผู้อาวุโสสองฝ่ายคืนสติกลับมา จูนจิ่วก็ได้สังหารศิษย์เจ็ดแปดคนต่อเนื่องกันเป็นที่เรียบร้อย นางประดุจภูตผีดุกร้าว สังหารคนโดยไร้เรี่ยวแรงขัดขืน
ผู้อาวุโสรองเจี้ยนจงตกอกตกใจ “รีบขวางนางเอาไว้!”
ฉึก! ปึง! ตู้ม…เสียงดาบกระบี่ซัดปะทะกันต่างๆ นานา เสียงโจมตีดังก้องขึ้นหนึ่งเที่ยว ฟังเพียงเสียงก็สามารถจินตนาการถึงความดุเดือดของสภาพการต่อสู้ได้
เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้น มองเห็นชุดกระโปรงสีม่วงของจูนจิ่วถูกเลือดสดย้อมเป็นสีแดง มีเลือดของเจี้ยนจงและชางไห่จง และมีเลือดของตัวนางเองด้วย ฉึก! ผู้อาวุโสเจี้ยนจงจ้วงกระบี่แทงเข้าที่ไหล่ของจูนจิ่ว กระชากเลือดสดแตกฉานซ่านเซ็นออกมาด้วย
จูนจิ่วหน้าไม่เปลี่ยนสี เตะผู้อาวุโสเจี้ยนจงออกไปอย่างเย็นชาหนึ่งที หมุนกายตั้งป๋ายเย่ขวางไว้เบื้องหลัง ขวางกำบังการซุ่มโจมตีของผู้อาวุโสชางไห่จง แข็งขืนต้านทานนักจิตชั้นสูงกลุ่มหนึ่ง หลังจากบาดเจ็บจนความเร็วลดตัวลงจูนจิ่วก็ไร้ซึ่งข้อได้เปรียบใดๆ
แม่นางจูน…เหลิ่งยวนยืนอยู่บนยอดไม้ หัวคิ้วขมวดมุ่น เขาเตรียมพร้อมลงมือขุดขวางอันตรายฉากนี้ได้ทุกเมื่อ! แต่ก่อนที่จะลงมือ จักต้องเป็นยามที่จูนจิ่วไม่สามารถรับมือได้ด้วยตัวเอง เขาจึงสามารถยื่นมือเข้าแทรกได้
สภาพจิตใจของเหลิ่งยวนแสนซับซ้อน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คนไหนบ้างที่ไม่อยากเพลิดเพลินกับการปกป้องพะเน้าพะนอ ขอเพียงปริปากเอ่ยบัญชาเท่านั้น แต่แม่นางจูนพึ่งพาตัวเองเต็มพิกัด แข็งแรงแกร่งกล้าและมั่นใจในตัวเอง มุทะลุทั้งอหังการ ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ถึงได้เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เป็นจูนจิ่วที่ทำให้เจ้านายของตนก็ลุ่มหลงเช่นกัน
มองไปทางจูนจิ่วที่บาดเจ็บแต่ยังคงโจมตีอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงไม่ลดละตามเดิม เหลิ่งยวนรู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง!
เมื่อเห็นรอยแผลบนร่างกายของจูนจิ่วเพิ่มขึ้นทีละน้อย เสี่ยวอู่พลันร้องตะโกนลั่นอย่างร้อนรน เสียงคล้ายเสือ กึกก้องกำทวนสะเทือนโสต เลือดเดือดพล่าน แสงสีขาวไหววูบบนตัวเสี่ยอู่กลายเป็นแมวยักษ์ที่มีรูปร่างขนาดมหึมา
ถึงบอกว่าเป็นแมว แต่ลักษณะของเสี่ยวเหมือนเสือมากกว่าชัดๆ เพียงแต่ไม่ได้มีลวดลายเสืออยู่บนตัว เสี่ยวอู่พุ่งถลาเข้าไป ตะปบกรงเล็บลงไปคว้าผู้อาวุโสชางไห่จงกลายเป็นเนื้อตุ๋น หางยาวราวกับแส้หวดสะบัด ซัดคนทั้งกลุ่มลอยออกไป
เหลิ่งยวนเบิกตาดว้าง เสี่ยวอู่ปลุกเร้าสายเลือดเสือขาวแล้ว?
จูนจิ่วเห็นดังนี้ จึงเลิกคิ้วด้วยความตระหนก “เสี่ยวอู่?”
“โคร่ง!” ท่ามกลางเสียงร้องอันเปี่ยมพลังสังหาร จูนจิ่วกลับได้ยินถึงความน่ารักที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสี่ยวอู่
เสี่ยวอู่จ้องฝูงชนอย่างเกรี้ยวกราด มันใช้ร่างกายของตนโอบล้อมจูนจิ่วเอาไว้ ดวงตาคู่นั้นมองไปที่บาดแผลบนตัวจูนจิ่วอย่างหยาดน้ำตารื้นชื้น มันอยากโลมเลียให้จูนจิ่ว แต่เมื่อนึกถึงหนามบนลิ้นของตน ก็เกรงว่าพอเลียเข้าไปจะทำให้ผิวหนังของจูนจิ่วลอกก่อนเป็นอย่างแรก
ข่มกลั้นเอาไว้ เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นมองไปทางกลุ่มคนของสำนักเจี้ยนจงและสำนักชางไห่จง ร้องคำรามลอดไรฟัน พวกเขาทำร้ายเจ้านาย เสี่ยวอู่ไม่ประกาศศักดา เจ้าคิดว่าข้าเป็นแมวป่วยหรือไร?
โคร่ง!
เสียงร้องคำรามหนึ่งที เสี่ยวอู่พุ่งถลาออกไปปานประจุอสนี เห็นเพียงแต่เสี่ยวอู่ตัวสีขาวสูงปานกำแพงผันผ่านที่ใด กรงเล็บคม ปากเสือ หางยาวค่อยๆ กลายเป็นอาวุธ เสียงร้องโหยหวนกลัวลานดังก้องขึ้นในกลุ่มคน “นี่มันตัวอะไรกัน? หา! ช่วยด้วย!”
“อย่าเข้ามา! อย่า…ช่วยด้วย!”
“นี่มันสัตว์ประหลาด! ทุกคนรีบหลบเร็ว!”