บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 278 มาสองคนฆ่าทั้งคู่
บทที่ 278 มาสองคนฆ่าทั้งคู่
โม่อู๋เยว่ต้องการนาง? มุมปากของจูนจิ่วขยับเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้ยิ้มก็หุบลงเสียก่อน สีหน้าท่าทางกลับสู่อาการราบเรียบเย็นชาตามเดิม จูนจิ่เอ่ยว่า “ข้าจักเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยกลับไป”
รุ่งอรุณโผล่พ้น และตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ จูนจิ่วต้องการเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บทันที มิเช่นนั้นหากยังเดินทางต่อไปรังแต่จะบาดเจ็บทวีคูณยิ่งขึ้น จูนจิ่วก็ร้อนรนอยากตรวจสอบสถานการณ์ของเสี่ยวอู่ให้ละเอียดด้วยเช่นกัน เหลิ่งยวนหาพื้นหญ้าอันสงบปลอดผู้คนแห่งหนึ่ง ให้จูนจิ่วนั่งสามธิรักษาอาการบาดเจ็บ โดยมีเขาคอยดูแลอารักขาอยู่ข้างๆ
เห็นจูนจิ่วกำลังจะหลับตา เหลิ่งยวนจึงชิงเอ่ยปากพูดเสียก่อน “แม่นางจูน ต้องการให้ข้าช่วยโจ๋วชิวและคนอื่นๆ ด้วยหรือไม่”
“ช่วย? ไม่ต้อง เจ้าสำนักเจี้ยนจงตายไปแล้ว ผู้อาวุโสทั้งกลุ่มก็ล้มตายบาดเจ็บไปไม่น้อย ถ้าเป็นเช่นนี้โจ๋วชิวยังไม่สามารถควบคุมจัดการสำนักเจี้ยนจงได้ ข้าจะเก็บเขาไว้ทำไมกัน” น้ำเสียงจูนจิ่วเย็นชา ปราศจากความรู้สึกแม้เพียงเสี้ยวเดียว
กล่าวจบ จูนจิ่วก็หลับตานั่งสมาธิ นางปรับสภาพเส้นลมปราณ ซ่อมแซมฟื้นบำรุงอาการเจ็บทีละน้อย หลังจากเข้าญาณทิพย์ วิชาฝึกตน และชุบหลอมน้ำหยกทิพย์หล่อหลอมร้อยครั้งพันครั้ง กายาพยพของจูนจิ่วนั้นเหนือกว่าคนธรรมดาเป็นอักโข! จุดที่โดดเด่นมากที่สุดก็คือความเร็วในการสมานแผลของนางนั้นว่องไวอย่างถึงขีดสุด
ปากแผลสมานเกรอะกรัง พลังทิพย์แล่นผ่านปากแผล ภายใต้พลังอันชุ่มชื้น รอยสะเก็ดค่อยๆ หลุดลอกออกไปช้าๆ จนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นสีชมพูอ่อนบนผิวหนัง
รีบตรวจสอบอาการบาดเจ็บแล้วทำการรักษาอย่างง่าย จากนั้นจูนจิ่วก็เพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่เสี่ยวอู่ พลังแห่งจิตของนางจมเข้าไปในกำไลข้อมือโดยมองข้ามข้าวของต่างๆ นานาที่กองพะเนินอยู่ด้านใน จูนจิ่วมองเห็นเสี่ยวอู่นอนขดตัวกลมอยู่บนเบาะกำมะหยี่นุ่มนิ่ม
ร่างกายของมันเปล่งลำแสงดาราพราวระยับ กลายร่างเป็นแมวน้อยที่ขดตัวเป็นลูกบอลตัวหนึ่ง
พลังแห่งจิตแผ่ออกมาแผ่วเบา ราวกับกลายร่างเป็นมือของจูนจิ่วลูบไล้บนศีรษะของเสี่ยวอู่เบาๆ คล้ายจะรู้สึกถึงความใกล้ชิดของจูนจิ่ว เสี่ยวอู่ขยับหัวคลอเคลียกลางฝ่ามือของนางเบาๆ เห็นดังนี้ หัวใจทั้งดวงของจูนจิ่วพลันอ่อนยวบ
จูนจิ่วว่า “พักผ่อนให้ดี เจ้านายจะช่วยเจ้าถ่ายพลังทิพย์ให้เจ้าอย่างเพียงพอเอง เป็นเช่นนี้หากเจ้าออกมาครั้งหน้าก็จะอยู่ข้างนอกได้นานขึ้น”
เสี่ยวอู่ไม่ได้ลืมตา แต่หางน้อยๆ ของมันกวัดแกว่งแสดงให้เห็นถึงความชอบใจของตัวเอง จูนจิ่วลูบจากส่วนหัวไล้งมาจรดปลายหางหนึ่งรอบ ก่อนจะถอยออกมาจากพื้นที่กำไลข้อมือ และรักษาอาการบาดเจ็บต่อไป
ตอนที่ถอยพลังแห่งจิตกลับมา เหลิ่งยวนดูเหมือนจะสังเกตเห็น เขาเงยหน้ามองจูนจิ่ว ยื่นมือลูบปลายคาง กล่าวในใจว่านี่คือสติของแม่นางจูนจิ่วหรอกหรือ? ช่างแข็งแกร่งจนผู้คนประหลาดใจนัก นี่มันเกินกว่าพลังที่ร่างกายในสภาพบาดเจ็บของนางในตอนนี้จะทนรับไหว
กายเนื้ออิดโดรย แต่สติกลับแข็งแกร่งจนน่ากลัว ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
สายตาโปรยตกไปบนกำไลข้อมือ กระดิ่งสีเงินและพื้นที่กำไลข้อมือส่องแสงสะท้อนผสานรวมกัน และมีแหวนอีกด้วย กระดิ่งและแหวนเป็นของที่เจ้านายมอบให้ ส่วนกำไลข้อมมืออันนั้น…เหลิ่งยวนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเสี่ยวอู่จากกำไลข้อมือ ไม่ต้องคิดลึกซึ่งก็ทราบได้ว่าเสี่ยวอู่หายตัวถอยกลับเข้าไปอยู่ด้านในนั้นนั่นเอง
ก่อนมองไปที่จูนจิ่วอีกครั้ง เหลิ่งยวนไม่ได้สำรวจและจดจ่อสมาธิไปกับกลยุทธ์ปกป้องจูนจิ่วอกต่อไป แต่ว่าควันหลงของกลยุทธ์ปกป้องทำให้เขาดึงสติออกมาได้หนึ่งเสี้ยว ค่อยๆ มุ่งความสนใจไปยังสำนักเจี้ยนจง เหลิ่งยวนสงสัยใคร่รู้นึกอยากดูเสียหน่อย จูนจิ่วจัดการขนาดนี้แล้วสามารถควบคุมสำนักเจี้ยนจงที่แข็งแกร่งที่สุดในห้าสำนักไว้ในกำมือได้จริงหรือไม่?
เวลาเพียงหนึ่งวัน สำนักเจี้ยนจงได้เปลี่ยนศักราชใหม่ทั้งสิ้น
เจ้าสำนักเจี้ยนจงตายไปโดยไม่เหลือซากศพ ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ที่นำโดยผู้อาวุโสรองบาดเจ็บล้มตายกันเกือบครึ่ง คนที่รอดชีวิตก็เจ็บหนักยังไม่ได้สติ หลังจากโจ๋วชิวได้รับข่าวสารที่เหยียนไห่นำมาแจ้งแล้ว พลันออกบัญชาเรียกระดมพลศิษย์สำนักเจี้ยนจงทั้งหมดในทันที
ฝูงมังกรไร้ผู้นำ เขาผู้เป็นรองเจ้าสำนักรับหน้าที่ต่อย่อมเป็นเรื่องสมมาพาควร
ส่วนพวกที่ไม่เชื่อฟัง ก็ชี้หน้าด่าทอเขาว่าเป็นผู้นำของกองทัพเย่สิง เป็นคนทรยศต่อสำนักเจี้ยนจง กลับถูกโจ๋วชิวออกคำสั่งอย่างเย็นชาว่าให้ฆ่าทิ้งเสีย! แรกรเมยังมีคนยืนกรานไม่กลัวตาย ทว่าต่อมาค่อยๆ เห็นว่าโจ๋วชิวไม่อิดออดแต่อย่างใด อยากฆ่าก็สั่งฆ่า กระทั่งไม่กลัวว่าศิษย์สำนักเจี้ยนจงจะถูกฆ่าตายจนเกลี้ยง พวกเขาจึงเริ่มกริ่งเกรง และยอมจำนน
ก่อนค่ำวันรุ่งขึ้น สำนักเจี้ยนจงตกอยู่ในเงื้อมมือของโจ๋วชิวอย่างสมบูรณ์แบบ การตายของเจ้าสำนักเจี้ยนจงคนก่อนรวมถึงบรรดาศิษย์ผู้อาวุโสชางไห่จงถูกฆ่าตาย ข่าวทั้งหมดถูกระงับปิดผนึกเอาไว้ภายในสำนักเจี้ยนจง ตอนนี้ข่าวสารยังไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้!
ข่าวสารสามารถปกปิดสำนักตันจงและสี่สำนักอื่นได้ แต่กลับไม่สามารถปกปิดสมุนของหงยิง…ทหารหน่วยกล้าตายเทียนฉิวได้!
แต่ว่าเหลิ่งยวนสังเกตเห็นแล้ว ปลายนิ้วคีบใบไม้อ่อนที่เพิ่งเด็ดออกจากต้นมา เลือกออกมาทีละใบ เหลิ่งยวนทำท่าประสานมือเจว๋พลางหัวเราะเสียงต่ำ “ปล่อยให้แม่นางจูนพักผ่อนเต็มที่สักหน่อย ใครก็อย่าได้คิดมาก่อเรื่อง” ใบไม้ปลิวลอยออกมา ไม่สนใจระยะห่างเป็นพันลี่หมื่นลี้ มันข้ามห้วงอากาศไปสังหารคน
ศพล้มลงพร้อมกับเสียงดังโครม ตรวจหาสาเหตุการตายก็พบเพียงว่าพวกเขาทุกคนล้วนถูกโลหิตผนึกคอ อาวุธสังหารก็คือใบไม้อ่อนที่ตกอยู่ข้างศพ รอกระทั่งตอนที่หงยิงค้นพบ สมุนของนางไม่ได้กลับมารายงานข่าวมานานแสนนานแล้ว จึงส่งคนมาอีก ที่นี่เป็นอีกฉากหนึ่งเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยอาการบาดเจ็บของแม่นางจูนก็น่าจะหายดีแล้ว เจ้านายของเขาก็น่าจะกลับมาแล้วเช่นกัน เหลิ่งยวนครุ่นคิด
คนแรกที่รู้ว่าสำนักเจี้ยนจงเปลี่ยนแกนนำแล้วก็คือสำนักเทียนอู่จง
ภายในห้องโถงใหญ่ ชิงหยู่ เหอซ่านและคนอื่นๆ ทอดมองไปที่จูนจิ่วด้วยอารามตกใจไม่อยากเชื่อ ในห้องโถงใหญ่เงียบสงัดอย่างแปลกประหลาด ชิงหยู่อ้าปากเอ่ยวาจา “ศิษย์น้องเมื่อครู่เจ้าพูดอะไรนะ?”
เวลาผ่านไปเพียงครึ่งเดือน พวกจูนจิ่วไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย ขณะที่สำนักเทียนอู่จงกำลังร้อนรนกระวนกระวาย จูนจิ่วก็กลับมา ยังไม่ทันลากจูนจิ่วมาเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบอย่างมีความสุข คนทั้งกลุ่มก็ถูกถ้อยคำของจูนจิ่วทำเอาตกตะลึงอึ้งค้างไปเสียแล้ว
เหอซ่านเอ่ย “นายน้อย ที่พูดมาเป็นความจริงหรือ? เจ้าสนักเจี้ยนจงตายแล้ว? ตอนนี้สำนักเจี้ยนจงมีโจ๋วชิวคอยกำกับดูแลอยู่ เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงไม่เปรยอะไรเลยสักคำ”
“ข้าเป็นคนสั่งห้ามเขาแพร่งพรายออกไปเอง ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น สำนักเจี้ยนจงตกอยู่ในมือของข้า สำนักทั้งสามขาดสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดไป เหลือแต่ตันจงและชางไห่จงก็ง่ายขึ้นมาแล้ว” จูนจิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ อิริยาบถแสนเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้า แต่น้ำเสียงที่นางเอ่ยวาจากลับเย็นชาและถือดี
สำนักทั้งห้าอันสูงส่งสง่างาม ในสายตาของนางก็ไม่พ้นเป็นเพียงปัญหาที่จำเป็นต้องจัดการทีละแห่งเท่านั้น นับเป็นปัญหาใหญ่ไม่ได้ด้วยซ้ำ!
บ้าระห่ำสามหาวเพียงใด หยิ่งผยองอวดดีแค่ไหน มุทะลุถือดีเสียจนทำให้ผู้คนยากจะสรรหาคำมาบรรยายจูนจิ่วได้ มีเพียงคำเดียวเท่านั้น ยอม! ยอมนางที่กำจัดเจี้ยนจงได้ ยอมนางที่สามารถทำในเรื่องที่คนอื่นไม่กล้าคิดจะทำเลยด้วยซ้ำ
จูนจิ่วมองไปทางชิงหยู่ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ตอนนี้สำนักเจี้ยนจงกับพวกเราลอบร่วมมือกันอย่างลับๆ อย่าเพิ่งเปิดเผยข่าวชั่วคราวไปก่อน ต่อไปพวกเราก็พุ่งเป้าไปที่สำนักชางไห่จง”
“ชางไห่จง? ศิษย์น้องเจ้าวางแผนเอาไว้แล้ว” ชิงหยู่ประหลาดใจ
พยักหน้า จูนจิ่วเอามือยันปลายคาง แพขนตาที่ปรือต่ำเหมือนแปรงน้อยๆ ไหวระริก น้ำเสียงของจูนจิ่วโหดเหี้ยมอำมหิต “ข้าได้ให้กองทัพเย่สิงส่งร่างของชางไห่จงกลับไปแล้ว ซ้ำบอกว่าคนอื่นๆ นั้นข้าสังหารไปหมดแล้ว”
“แล้วอย่างไรต่อ?”
“สำนักเทียนอู่จง สำนักเจี้ยนจงปิดล้อมสำนักชางไห่จงเอาไว้ ครั้นมีคนลงจากเขา มาคนเดียวก็ฆ่าคนเดียว มาสองคนฆ่าทั้งคู่ เป็นศัตรูกับข้า เป็นศัตรูกับสำนักเทียนอู่จง เช่นนั้นข้าก็จะส่งพวกเขาไปพบยมบาล!” น้ำเสียงเย็นชาเจือแววชั่วร้าย พลังเด็ดเดี่ยวเหี้ยมเกรียม
จูนจิ่วมองชิงหยู่อีกครั้ง น้ำเสียงค่อยๆ อ่อนลง นางกระตุกยิ้มมุมปากพลางกล่าวต่อ “ส่วนคนที่ส่งไปสำนักชางไห่จง ให้เจี้ยนจงออกโรง พวกเราเทียนอู่จงแค่รับผิดชอบสังเกตการณ์ก็พอแล้ว ศิษย์พี่คิดว่าอย่างไรบ้าง เจ๋งหรือไม่?”