บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 348 ถามเขาว่าจะแต่งหรือไม่
บทที่ 348 ถามเขาว่าจะแต่งหรือไม่
ท่าทีของเจ้าสำนักไท่ชูอยู่เหนือการคาดเดาของจูนจิ่วกับชิงหยู่ ใจดีเป็นมิตร ไม่เหมือนกับเป็นเจ้าสำนักศึกษาไท่ชู แต่เหมือนกับผู้อาวุโสทั่วไปที่ดูแลใส่ใจผู้น้อย ทำให้จูนจิ่วกับชิงหยู่รู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างที่พูดถึงเทียนอู่จง เจ้าสำนักไท่ชูก็ได้บอกกับพวกเขาอย่างเป็นมิตรว่าอย่ากังวลไปเลย เรื่องราวได้ถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว สำนักตันจงนั้นรนหาที่ตายเอง ไม่เกี่ยวข้องกับเทียนอู่จง มีเจ้าสำนักไท่ชูออกปากพูดเอง พวกเขาค่อยวางใจว่าหลังจากนี้ไปสำนักเทียนอู่จงจะไม่เดือดร้อนอีก
แต่ว่าจูนจิ่วยังคงสงสัย ที่เจ้สำนักไท่ชูเชิญพวกเขากินข้าวในวันนี้เพราะต้องการพูดเรื่องนี้เท่านั้นหรือ
หลังจากกลับมาจากกินข้าว มู่จิ่งหยวนส่งพวกเขามาครึ่งทาง ยิ้มอย่างสง่างาม เขาพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคงรู้สึกประหลาดใจไม่หาย ที่จริงข้าเห็นท่านปู่เชิญพกวเจ้ามากินข้าวข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน แต่ดูแล้วท่านปู่จะชอบพวกเจ้ามาก ฉะนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องตื่นเต้นมากไป”
เลิกคิ้ว จูนจิ่วเงยหน้ามองมู่จิ่งหยวนแต่ไม่พูดอะไร
ชิงหยู่นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่มู่ ในเมื่อเรื่องของสำนักเทียนอู่จงได้ตรวจสอบชัดเจนแล้ว คืนความบริสุทธิ์ให้ข้าแล้ว หลังจากนี้เราจะกลับไปได้หรือไม่ ”
“ย่อมได้ แต่ว่าตอนนี้เจ้ากับจูนจิ่วก็เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาไท่ชูแล้ว หากจะกลับไปยังสองสำนักสิบแคว้นต้องได้รับอนุญาตจากคนที่มีตำแหน่งผู้อาวุโสขึ้นไปจึงจะได้ ทำไม พวกเจ้าอยากกลับไปหรือ”มู่จิ่งหยวนเม้มปากมองไปยังสองคน รู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน
“สำนักเทียนอู่จงเป็นบ้านของข้า แน่นอนว่าต้องอยากกลับไป แต่ว่าเรายังไปตอนนี้ไม่ได้ ศิษย์พี่มู่ส่งเราถึงตรงนี้ก็พอ ลาก่อน”จูนจิ่วมองมู่จิ่งหยวนแล้วพูดขึ้น
ฝีเท้าหยุดลง มู่จิ่งหยวนยืนมองส่งจูนจิ่วกับชิงหยู่จนลับสายตาไป เขารีบกลับไปอย่างอดรนทนไม่ได้เพื่อจะถามว่าเหตุใดเจ้าสำนักไท่ชูจึงได้เชิญพวกจูนจิ่วมากินข้าว มองมู่จิ่งหยวนยิ้มๆ เจ้าสำนักไท่ชูตอบกลับไปว่า
เขาพูดว่า “ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าคนที่สามารถทำลายสำนักตันจง สำนักเจี้ยนจงกับสำนักชังไห่นั้นจะไม่ธรรมดาแค่ไหน อีกอย่างเจ้าเองก็ชื่นชมนางหนักหนา”
“แล้วท่านปู่คิดว่าอย่างไร”
“นิ่งเงียบ ฉลาด เด็ดขาด เจ้าเล่ห์ ”เจ้าเมืองไท่ชูพูดสิ่งที่ตนประเมินได้ เขาหยุดไปชั่วครู่แล้วเสริมขึ้นว่า “พลังสติแข็งแกร่ง จูนจิ่วคนนี้ไม่ใช่คนนิ่งเฉย ภายหน้าคงประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่อาจคาดคิดได้ ยังมีเจ้าสำนักเทียนอู่จงชิงหยู่ แม้ว่าจะดูเสเพลไปบ้างแต่ก็ดูไม่เลวเลย สองคนนี้หากเป็นเพื่อนกับเจ้า ข้าก็คงวางใจได้ไม่น้อย”
“ใช่ พวกเขาดีมาก”มู่จิ่งหยวนพยักหน้า ยืดอกแล้วยิ้มอย่างสง่างาม
……
ราตรีเงียบสงัด ไร้ลมก็ไร้เสียงใบไม้เคลื่อนไหว แต่มีแมลงที่ไม่รู้ชื่อชนิดหนึ่งร้องไม่หยุด
กลบเสียงอื่นๆไปจนหมด จูนจิ่วใช้มือเท้าคางนิ่งคิด ทันใดนั้นหูก็ขยับ
จูนจิ่วลืมตาเหลือบมองห้องที่จู่ๆก็มีคนคนหนึ่งโผล่ออกมา นางชินแล้วกับการไปมาของโม่อู๋เยว่ที่เป็นเทพก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง อีกอย่างคนที่สามารถเข้ามาในห้องของนางได้อย่างนี้ก็มีแต่โม่อู๋เยว่เท่านั้น
แววตาสีทองแพรวพราว ตอนที่มองไปยังจูนจิ่วด้วยสายตาเอ่อล้นด้วยเสน่ห์แทบจะลากคนเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งดวงดาวสีทอง ไม่สามารถถอนตัวได้เลย
โม่อู๋เยว่พูดว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หาเบาะแสของวิชาฝึกตนชั้นสี่ไม่พบหรือ”
“อืม วันนี้ถูกเจ้าสำนักไท่ชูขัดจังหวะเสียก่อน แต่ว่าเขาได้ให้โอกาสข้ากับศิษย์พี่อีกครั้งในการเข้าไปลองค้นหา ห้องสมุดเป็นที่ที่เก็บรวบรวมหนังสือข้อมูลมากที่สุดในสำนักศึกษาไท่ชู หากที่นั่นไม่มี ก็คงต้องเดาว่าอยู่ในมือของคนอื่น”จูนจิ่วพูด
“แล้วถ้าหากวิชาฝึกตนชั้นที่สี่ไม่ได้อยู่ที่สำนักศึกษาไท่ชูเล่า”
จูนจิ่วนั่งตัวตรงจ้องมองโม่อู๋เยว่ เสี่ยวอู่หมอบอยู่ที่ข้างเท้ากำลังนอนหลับอย่างสบายใจ
จูนจิ่วพูดว่า “แม้ว่าจะไม่อยู่ที่นี่ แต่ต้องมีเบาะแสแน่นอน ”
ตอนแรกที่ผางชิงเยว่เอาวิชาฝึกตนชั้นที่สี่หนีมาพึ่งสำนักศึกษาทั้งสาม จุดแรกคือที่สำนักศึกษาไท่ชู แม้ว่าท้ายที่สุดผางชิงเยว่จะไปพึ่งพาเทียงฉิวที่สำนักศึกษาเทียนซู แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปได้ของสำนักศึกษาไท่ชู อีกอย่างจูนจิ่วยังไม่เคยพูด ว่าสัญชาตญาณของนางได้บอกกับนางว่าวิชาฝึกตนชั้นที่สี่อยู่ที่นี่
หากในห้องสมุดไม่มี เช่นนั้นก็คงต้องอยู่กับบุคคลใดคนหนึ่ง จูนจิ่วเชื่อสัญชาตญาณของตัวนางเอง เพราะไม่เคยผิดพลาดทำให้นางผิดหวังมาก่อน
ลูบคางพลางครุ่นคิด จูนจิ่วพูดต่อว่า “แม้จะมาที่สำนักศึกษาไท่ชูได้ไม่นาน แต่ที่นี่มีจุดน่าสงสัยมากมายนัก เช่นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเทียงฉิวนั่นก็คือผู้อาวุโสใหญ่ กับหยุนหนี ยังมีคนที่ทำดีกับเราอย่างไร้สาเหตุอย่างมู่จิ่งหยวน แล้วก็เจ้าสำนักไท่ชู”
นี่เป็นครั้งแรกที่จูนจิ่วมาถึงโลกนี้ แล้วรู้สึกความน่าสงสัยมากมาย แต่ละข้อต่อเนื่องกันราวกับไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ก็ดันเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิงไปหมด มีความสัมพันธ์ร่วมกัน
ขณะกำลังรู้สึกสับสน จูนจิ่วก็เกิดประกายความมุ่งมั่น นางมองไปยังโม่อู๋เยว่ หรี่ตายิ้มด้วยความเย่อหยิ่งและอวดดี นางพูดว่า “ข้าต้องทำให้กระจ่างให้ได้”
“อืม เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ทำได้แน่ ข้าเชื่อเจ้า”
ได้ยินคำพูดของโม่อู๋เยว่ จูนจิ่วยิ่งเพิ่มองศาของรอยยิ้มเพิ่มมากขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ตอนที่นางนอนลงบนเตียง ในสมองคิดแต่เรื่องของโม่อู๋เยว่ ตั้งแต่ชาติก่อนจนบัดนี้ จูนจิ่วก็เจอแค่โม่อู๋เยว่คนเดียวเท่านั้นที่ทำให้นางสบายใจได้ เป็นบุรุษที่ยุ่งอยู่ยิ่งเข้าใจในตัวนางโดยไม่ต้องพูด
ไม่ต้องพูดยืดยาว แค่คำเดียวโม่อู๋เยว่ก็เข้าใจ ไม่เคยล้ำเส้น แต่ช่วยนางในทุกๆเรื่อง แม้จะมีความใคร่จะเอาชนะมากแค่ไหน แต่กลับกดเอาไว้ให้สัใช้เพียงเสน่ห์เย้ายวนหยอกล้อนาง
ผู้ชายเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องถลำลึกแน่ หรือบางที นางได้ถลำลึกลงไปแล้ว
จูนจิ่วหันไปคว้าผ้าห่มคลุมศีรษะ นางสูดหายใจลึกแล้วถอนหายใจยาว จูนจิ่วคิดในใจแต่ไม่พูด รออีกสักหน่อย หากแน่ใจแล้วว่าชอบโม่อู่เยว่จริงๆ ก็จะถามเขาว่าจะแต่งงานกับเธอได้ไหม
ฝันดีคืนหนึ่ง วันที่สองจูนจิ่วกับชิงหยู่ไปยังห้องสมุดอีกครั้ง ลูกศิษย์ไม่น้อยที่เก็นพวกเขาเข้าไปในห้องสมุดชั้นในเป็นครั้งที่สอง ตาเกือบถลนออกมาแล้ว อิจฉาตาร้อนกัดฟันกรอดๆ ริษยาจนคิดแค้นในใจ ต้องมีคนที่ทนไม่ได้มาหาเรื่องสักวัน
จูนจิ่วใช้เวลาไปหนึ่งวัน พลังจิตแอบย่องขึ้นยังชั้นบนของห้องสมุด นอกจากชั้นสุดท้ายที่มีค่ายกลปกป้องอยู่นางเข้าไปไม่ได้ ชั้นอื่นๆดูหมดแล้ว ไม่มีวิชาฝึกตนชั้นที่สี่
จูนจิ่วถอนหายใจนวดหัวคิ้ว “แม้ว่าวิชาฝึกตนชั้นที่สี่จะไม่เลว แต่ก็ไม่ได้ล้ำค่าในสายตาของสำนักศึกไท่ชูจนขนาดว่าต้องเก็บรักษาไว้บนชั้นสูงสุดและสร้างค่ายกลคุ้มกันไว้ เพราะเหตุนี้เราสามารถแน่ใจได้ว่า ที่ห้องสมุดไม่มีวิชาฝึกตนชั้นที่สี่ ”
ชิงหยู่ “ถ้าเป็นไปอย่างที่ศิษย์น้องคาดเดา วิชาฝึกตนชั้นที่สี่คงอยู่ในมือคนใดคนหนึ่งสินะ”
“อืม ลองตรวจสอบแบบเงียบๆกันก่อน ลองดูสิว่าเคยมีใครติดต่อกับฝางชิงเยว่ศิษย์ทรยศหรือไม่ ”ระหว่างที่พูด จูนจิ่วก็ใช้นิ้วเรียวลูบขนที่อ่อนนุ่มบนตัวเสี่ยวอู่เพื่อให้ตัวเองสงบลง เสียแรงเปล่าแต่กลับหาไม่เจอ ในใจย่อมรู้สึกอารมณ์เสียอยู่บ้าง
อารมณ์ไม่ดี ระหว่างทางยังถูกหลานจูพาคนมาขวางทางเอาไว้ แววตาของจูนจิ่วเย็นขรึมลง
สบเข้ากับแววตาของจูนจิ่ว หลานจูก็ต้องตัวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้และหลบตารของจูนจิ่ว เมื่อได้สติกลับมา หลานจูก็มองจูนจิ่วด้วยความโมโหอีกครั้ง นางยื่นมือขึ้นชี้ไปยังจูนจิ่วคำรามว่า “จูนจิ่ว เจ้าพบศิษย์พี่ยังไม่คำนับอีก”
“คำนับ สมองเจ้าถูกประตูหนีบหรืออย่างไร ข้าเป็นศิษย์ของสาขาที่สอง สูงกว่าสาขาที่สามของเจ้า ใครควรเรียกใครว่าศิษย์พี่กันแน่ ”ไม่คิดมาก่อนว่าจูนจิ่วจะปากคอเราะรายได้ขนาดนี้ หลานจูโมโหจนพูดไม่ออก ใบหน้ามีสีเขียวสลับม่วง
กลับกันให้นางเรียกจูนจิ่วว่าศิษย์พี่ เป็นไปไม่ได้