บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 356 งานล่าสัตว์ทิพย์เริ่มขึ้น
บทที่ 356 งานล่าสัตว์ทิพย์เริ่มขึ้น
กติกามีสามข้อ ข้อที่หนึ่ง เป็นหรือตายโชคชะตาฟ้าลิขิต ผู้ชนะเท่านั้นจึงอยู่รอด
ได้ยินก็รู้ความหมาย สัตว์ทิพย์จะฆ่าไม่เลือก และไม่ห้ามที่คนจะฆ่าเพื่อแย่งชิงกันเอง ความเป็นความตายของผู้แพ้อยู่ในกำมือของผู้ชนะ เป็นกติกาที่โหดร้ายมาก งานล่าสัตว์ทิพย์ยังไม่ทันได้เริ่มขึ้นก็ได้กลิ่นคาวเลือดและการปะทะอย่างดุเดือดแล้ว ไม่มีใครกลัว แต่กลับกลอกตามองไปรอบๆราวกับจะคิดแผนร้ายต่อผู้อื่น
กติกาข้อที่สอง ผู้อาวุโสรองพูดว่า “ในป่าตงผิงมีอยู่สามจุด ซ้ายขวาและตรงกลาง สำนักศึกษาไท่ชูของพวกเราเดินไปทางด้านขวาสุดของป่าตงผิง เดินตรงไปเรื่อยๆจนถึงจุดที่ลึกที่สุดที่เป็นจุดสูงสุดของป่าตงผิง เดินข้ามไปยังเส้นเขตแดนสีแดงที่อยู่ตีนเขา ซึ่งถือเป็นวงกลมแห่งชัยชนะ”
“หลังจากเข้าวงกลมแห่งชัยชนะแล้ว ทั้งสามด้านจะมีแท่นเพลิงสามจุด พวกเจ้าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะจุดแท่นไฟทุกคน เมื่อแท่นไฟถูกจุดขึ้น วงกลมแห่งชัยชนะจะเริ่มปิดสนิท ที่สุดผู้ชนะจะถูกคัดเลือกออกมาจากในนั้น ส่วนคนอื่นๆ”ผู้อาวุโสรองกวาดมองไปที่ทุกคน
ลูบเคราแล้วพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “ไม่เข้าสู่วงกลมแห่งชัยชนะถือว่าเป็นผู้แพ้ จะเสียเวลาในการเข้าร่วมงานล่าสัตว์ทิพย์เสียเปล่า ”
ได้ยินเสียงของผู้อาวุโสรองที่แฝงไว้ด้วยความรังเกียจและไม่ชอบใจ ในเหล่าลูกศิษย์ย่อมมีคนที่ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆขึ้นมา โดยเฉพาะลูกศิษย์นอกสำนัก พวกเขามีพลังน้อยที่สุด มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกกีดกันให้อยู่นอกวงกลมแห่งชัยชนะ
งานล่าสัตว์ทิพย์จะไม่แบ่งว่าเป็นลูกศิษย์ภายในหรือภายนอก ทุกคนไม่สนว่าจะมีสถานะหรือฝึกฝนถึงขั้นไหน ต่างปฏิบัติอย่างยุติธรรม และผู้ชนะจะได้รับป้ายหลิงซู จุดนี้ผู้อาวุโสรองไม่ได้พูดขึ้นตอนนี้ เขาพูดต่อไปว่า
ผู้อาวุโสรอง“กติกาข้อที่สาม ในวงกลมแห่งชัยชนะจะเลือกเพียงหนึ่ง จะเป็นสนามรบที่ฆ่าฟันกันอย่างดุเดือด มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นจึงจะมีที่ยืน แต่ว่าพวกเจ้าวางใจได้ คนที่สามารถเข้าสู่วงกลมแห่งชัยชนะสีเลือดได้ล้วนเป็นคนมีฝีมือในสำนัก ถึงเวลาจะมีการแจกจ่ายยาสำหรับช่วยชีวิตพวกเจ้า ”
ได้ยินดังนี้ จูนจิ่วก็ขมวดคิ้วสงสัย
แจกจ่ายยาช่วยชีวิต ไม่ นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการผลักเข้าสู่มือของเทพแห่งความตาย แต่พอได้ยินว่ามียาช่วยชีวิต ลูกศิษย์ต่างก็คงจะทุ่มเททั้งหมดเพื่อให้ได้เข้าสู่วงกลมแห่งชัยชนะสีเลือดอย่างไร้ข้อกังขา ไม่ชนะไม่รามือ กระทั่งจะมีคนฆ่ากันเองเพราะยาช่วยชีวิต แย่งชิงกันเอง
แต่ว่านี่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง จูนจิ่วยิ้นเย็น เลือดสาดก็ดี โหดร้ายก็ดี เพราะสุดท้ายผู้ชนะต้องเป็นนาง จุดจบของผู้แพ้นางไม่ต้องไปคำนึงถึง
กติกาสามข้อ แต่ละข้อโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ ผู้อาวุโสรองพูดจบแล้ว สะบัดมือหนึ่งครั้งเสียงพลุดังขึ้นไปบนฟ้า เปิดปาก เอ่ยด้วยเสียงดังไปทั่วสี่ทิศ “งานล่าสัตว์ทิพย์เริ่มแล้ว ทุกคนเข้าสู่ป่าตงผิงได้”
มู่จิ่งหยวน “พวกเราไปกันเถอะ”
“ช้าก่อน”หยุนหนีตะโกนขึ้นกะทันหัน นางก้าวเท้าใหญ่ๆเข้ามาจ้องมองจูนจิ่ว สีหน้าไม่พอใจ ทั้งโมโห ทั้งแค้นใจ แต่หยุนหนีก็ยังคงมีรอยยิ้มที่ชวนหลงใหลอยู่บนใบหน้า พูดกับจูนจิ่วอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้องจูน หากว่าเจ้าพบเจอกับอันตรายในป่าตงผิง เจ้าสามารถใช้เกาทัณฑ์สัญญาณนี้ขอความช่วยเหลือจากข้าได้”
เลิกคิ้วขึ้น จูนจิ่วมองเกาทัณฑ์ที่หยุนหนีส่งมาให้
นางยังไม่ได้ตอบกลับ มู่จิ่งหยวนก็พูดขึ้นก่อนว่า “ศิษย์น้องหยุนหนี นี่เจ้าสงสัยในความสามารถของข้าหรือ มีข้าอยู่ ศิษย์น้องจูนจะมีอันตรายได้อย่างไร”
“กันไว้ดีกว่าแก้ก็เท่านั้น ศิษย์พี่มู่คงไม่โกรธกระมัง ”หยุนหนียิ้มให้กับมู่จิ่งหยวน ในใจกลับแค้นมู่จิ่งหยวนนัก หากว่ามู่จิ่งหยวนไม่กลับมา ไม่ไปหาพวกมู่จิ่งหยวน ตอนนี้จูนจิ่วก็คงจะเป็นกลุ่มเดียวกับนาง จะมีประโยชน์ต่อแผนของนางอย่างมาก
น่าโมโห ทั้งหมดถูกมู่จิ่งหยวนทำวุ่นวายไปหมด จึงทำให้หยุนหนีอดไม่ได้ที่จะแค้นเคืองศิษย์พี่ที่ก่อนหน้านี้นางเคยทั้งเลื่อมใสและชื่นชมมาก่อน เมื่อมีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า จะนับประสาอะไรกับแค่การชื่นชม
จูนจิ่วยื่นมือออกไปรับเกาทัณฑ์สัญญาณเอาไว้ นางพยักหน้าเบาๆให้กับหยุนหนี ยิ้มด้วยความเย็นชาห่างเหิน “ขอบคุณศิษย์พี่หยุนหนี”
หยุนหนี “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเป็นศิษย์พี่ สมควรต้องช่วยเหลือปกป้องเจ้าจึงจะถูก ใช่หรือไม่ ”
หยุนหนีพูด ยื่นมือมาตบที่บ่าของจูนจิ่วแสดงความชิดเชื้อ จากนั้นก็ยกมือขึ้นยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็สบเข้ากับสายตาของเสี่ยวอู่ที่จ้องตาขวาง จ้องนางด้วยแววเย็นชากรงเล็บค่อยๆขยับ หยุนหนีได้แต่ชักมือกลับอย่างทำตัวไม่ถูก
ในใจพูดว่าทำไมแมวหน้าตายตัวนี้จึงได้ดุนัก หยุนหนียิ้มและพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะออกเดินทางก่อนล่ะ ศิษย์พี่มู่พวกท่านสู้ๆนะ ขอให้พวกท่านทำผลงานได้ดี”
“ไม่ต้องอวยพรแล้ว ที่หนึ่งต้องเป็นของเราอยู่แล้ว ”ชิงหยู่หัวเราะเสียงเย็น ทำให้สีหน้าของหยุนหนีแข็งทื่อไป นางอยากจะโต้ตอบก็เป็นไปไม่ได้ แต่เห็นมู่จิ่งหยวนอยู่ที่นี่ด้วยจึงทำได้เพียงเค้นยิ้ม หมุนตัวเดินจากไป
จูนจิ่วหมุนตัว “พวกเราไปเถอะ”
“ดี ”ชิงหยู่ไม่พูดมากเดินตามไปทันที เหลือเพียงมู่จิ่งหยวนที่มองเงาหลังของหยุนหนี แล้วก็มองจูนจิ่ว แววตาที่สดใสและฉลาดมีแววสงสัยวาบผ่าน ทำไมเขาจึงรู้สึกว่า ระหว่างหยุนหนีกับจูนจิ่วนั้นภายนอกดูเป็นมิตร แต่ที่จริงแล้วมีพายุฝนซ่อนอยู่ภายใน
เขายังอยากจะถามจูนจิ่วว่าจะใช้เกาทัณฑ์สัญญาณที่หยุนหนีให้จริงหรือ แต่หลังจากที่จูนจิ่วเข้าสู่ป่าตงผิง ก็เห็นจูนจิ่วโยนมันทิ้งทันที
มุมปากยกขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ มู่จิ่งหยวนเดินเข้าไปจงใจถามขึ้น“จูนจิ่วทำไมเจ้าถึงได้โยนเกาทัณฑ์สัญญาณที่หยุนหนีให้เจ้าทิ้งไปล่ะ ”
เท้าชะงักลง จูนจิ่วเหลือบมองเขาเอ่ยเสียงเย็น “ศิษย์พี่มู่จะใช้หรือ เช่นนั้นท่านก็เก็บไว้เถอะ ข้าไม่ต้องการ”น้ำเสียงเย็นชา ไม่ลดความถือตัวลงเลยสักนิด แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าจูนจิ่วหยิ่งทะนงเกินไป เหมือนกับว่านางควรที่จะเปล่งแสงเช่นนี้อยู่แล้ว แสงเปล่งประกายจนยากจะละสายตา
มู่จิ่งหยวนโบกไม้โบกมือ บอกว่าเขาเพียงแค่ถามดู จากนั้นก็เดินนำหน้าเพื่อนำทาง ตลอดทางสงบมากไม่มีใครพูดอะไร ในป่ามีเพียงเสียงนกร้องและก็มีเสียงสัตว์ทิพย์ที่ส่งมาจากที่ไกลๆ
มู่จิ่งหยวนไม่คุ้นเคยกับความเงียบแบบนี้ แต่ตอนที่เขาหันไปมองจูนจิ่วกับชิงหยู่ คนหนึ่งก็เอาแต่เล่นกับแมวที่เดินอยู่ข้างๆ อีกคนก็คอยสังเกตการณ์ปกป้องศิษย์น้องตัวเอง มู่จิ่งหยวนถอนหายใจ เห็นทีเวลาหนึ่งเดือนถัดจากนี้หรือมากกว่านั้น เขาคงต้องคุ้นชินกับมันสักหน่อยแล้ว
ตอนที่เจอเข้ากับสัตว์ทิพย์ตัวแรก มู่จิ่งหยวนอดไม่ได้ที่จะดีใจ
เขาเอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจว่า “ลิงปากนกอินทรีหางเสือดาวชั้นสาม พวกเราใครจะเป็นคนจัดการมันดี”
ไม่รอให้จูนจิ่วกับชิงหยู่เปิดปากพูด มู่จิ่งหยวนได้ยินเพียงเสียงร้องเหมียวๆขออาสาอย่างแข็งขัน เขานิ่งอึ้งไปสักพัก หันกลับไปมองก็เห็นเสี่ยวอู่ยืดอก สายตาเย็นเหยียบจ้องมองลิงปากนกอินทรีหางเสือดาวพร้อมลับคมเล็บ เห็นทีท่าแล้ว คงต้องให้เสี่ยวอู่จัดการแล้ว
มู่จิ่งหยวนตะลึง “เสี่ยวอู่มัน”
“ให้เสี่ยวอู่ไปเถอะ เสี่ยวอู่ไป สู้ไม่ไหวให้เรียกข้า”
“เหมียว”เสี่ยวอู่ขานรับอย่างยินดี พุ่งตัวออกไปราวสายฟ้าเงยหน้าปะทะเข้ากับลิงปากนกอินทรีหางเสือดาว เสียงลิงร้อง ต่อด้วยเสียงเหมียวๆ ยังมีเสียงกรงเล็บแหลมคมที่ข่วนเข้าไปในเนื้อกับเสียงชนกัน
มู่จิ่งหยวนอ้าปาก น้ำเสียงแหบแห้ง “ศิษย์น้องจูน เจ้าให้เสี่ยวอู่ไปหรือ นั่นมันลิงปากนกอินทรีหางเสือดาว”สัตว์ทิพย์ชั้นสาม ไม่ใช่หมาข้างถนน และไม่ใช่กระต่ายป่า นั่นมันสัตว์ทิพย์ชั้นสาม สำหรับเสี่ยวอู่แล้วมันคงไม่มีทางเอาชนะได้
มู่จิ่งหยวนรู้ว่าจูนจิ่วใส่ใจเสี่ยวอู่มาก หากเสี่ยวอู่เกิดเรื่องขึ้นมา จูนจิ่วอาจจะร้องไห้ก็ได้
จูนจิ่วยิ้มอย่างลำพองใจ นางพูดว่า “ศิษย์พี่มู่รอดูเอาเถอะ เสี่ยวอู่อาจจะไม่แพ้ก็ได้”
มู่จิ่งหยวน ??เขาเกรงว่าเสี่ยวอู่จะถูกโจมตีจนตาย แพ้ไม่แพ้อะไรกัน หรือว่าจูนจิ่วจะไม่รู้เลยว่าแมวของตัวเองมีกึ๋นแค่ไหนกัน