บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 399 ไม่มีใครเหนือกว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์
เสี่ยวหยิ่งหวนนึกถึงตัวเองตอนแรก เป็นถึงชายที่รูปงามที่สุดในชั้นต่ำสามชั้น ไม่ว่าจะชายหญิงเด็กหรือคนแก่ต่างก็ชื่นชม หมื่นบุฟผารายล้อมมิอาจแปดเปื้อนแม้กลีบเดียว
แต่ปรากฏว่าถูกฝังไว้ในสุสานนานนับร้อยปี พอเจอหน้ากันก็ถูกความงามของจูนจิ่วสะกด อีกทั้งยังถูกรังเกียจ ตอนนี้ยังพบเข้ากับปีศาจอีกตน เสี่ยวหยิ่งเจ็บปวดใจยิ่งนัก ไม่ง่ายที่จะหนีจากความกดดันของโม่อู๋เยว่เลย พอหนีออกมาได้ก็วิ่งอย่างรวดเร็ว
โม่อู๋เยว่มองไปยังทิศทางที่เสี่ยวหยิ่งจากไปอย่างดูแคลน เปิดปากสั่งการว่า “เหลิ่งยวนไปจับตาเขาเอาไว้ อีกอย่างรวบรวมข่าวสารมาเปรียบเทียบด้วย”
“ขอรับ”เหลิ่งยวนรับบัญชาตามเสี่ยวหยิ่งไป พลางวิ่งตาม พลางคิดว่ามังกรที่มีคู่วิญญาณล้วนเผด็จการเป็นพิเศษ ความต้องการที่จะครอบครองสูงมาก
แม้แต่เจ้านายที่เคยไร้หัวใจไร้ความรู้สึกยังเปลี่ยนไปได้ ไม่รู้ว่ายินหันที่เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งแกะสลักถ้าพบกับคู่วิญญาณแล้วจะเป็นอย่างไร เหลิ่งยวนรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาตะหงิดๆ
……
พวกเขาไม่ได้ไปไกลนัก จูนจิ่วเคยคิดว่าจะกลับไปที่ป้าฟาง แต่พอฆ่าผู้อาวุโสใหญ่แล้วนางก็เปลี่ยนความคิด ตอนนี้ที่ปลอดภัยที่สุด ก็คือไม่ไปไหนทั้งสิ้น
เพราะอาการบาดเจ็บของมู่จิ่งหยวนจะรอช้าไม่ได้ พวกเขาได้แต่หาที่ในป่าลึกเพื่อทำการรักษา ยังดีที่ช่องว่างทั้งสองของนาง ทั้งกำไลข้อมือและแหวนที่โม่อู๋เยว่มอบไว้ให้มียาทุกชนิดอยู่เต็มไปหมด ยังมียาที่นางกลั่นไว้เรียบร้อยแล้ว มากพอที่จะจัดการกับบาดแผลของมู่จิ่งหยวนได้
ห่างไปไม่ไกลนัก คนที่ไล่ล่าหาที่นี่เจอได้ง่ายมาก แต่พวกเขาไม่มีใครหาที่นี่เจอเลย อีกทั้งยังไม่มีใครออกไปจากป่านี้ได้ด้วย
ทุกคนที่เข้าไปในป่า ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสที่เดินทางมาเมื่อได้ข่าวจากสำนักศึกษาทั้งสามหรือว่าเหล่าลูกศิษย์ เข้าไปหนึ่งคนก็ตายหนึ่งคน ตายอย่างไร้ที่ฝัง แม้แต่กระดูกก็หาไม่พบ ชั่วขณะหนึ่งทุกคนต่างรอคอยอยู่นอกป่า ไม่กล้าเข้าไปอีก
เจ้าสำนักเทียนซูได้ข่าวก็มาอย่างรวดเร็ว สีหน้าไม่น่าดู ผู้อาวูโสคนหนึ่งรายงานอย่างระวัง“เจ้าสำนัก หรือว่าที่นี่จะมีผู้แข็งแกร่งหลบโลกภายนอกอาศัยอยู่ พวกเราไปรบกวนเขาเข้า จึงทำให้เขาโกรธ”
“ผู้แข็งแกร่ง ”เจ้าสำนักเทียนซูอยากจะยิ้มอย่างไม่ชอบใจ แต่ยังไม่ทันยิ้มออกก็นิ่งขรึมลงไป สำนักศึกษาทั้งสาม มีผู้แข็งแกร่งที่ไม่ยอมเข้าร่วมแล้วหนีโลกภายนอกมาอยู่ที่นี่จริงๆ เช่นป้าฟางแห่งตำหนักไท่หวง ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เจ้าสำนักเทียนซูคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ปล่อยโอกาสไปเพื่อไม่ให้เสียคนไปมากกว่านี้ในป่าแปลกๆแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่ได้สลายคนทั้งหมดไป ยังคงเหลือหน่วยกล้าตายของเทียนฉิวปิดล้อมทางเข้าออกเอาไว้ เขาพูดว่า“หากเป็นผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวอยู่ในนี้ พวกเราจะไม่ไปกระทบเขา แต่ถ้าหากเป็นจูนจิ่วที่เล่นไม่ซื่อ ไม่ช้าก็ต้องออกมา”
ขอเพียงจูนจิ่วออกมา หน่วยกล้าตายของเทียงฉิวก็จะจับตัวนางได้ หากไม่ใช่ ไม่ช้าข่าวจะแพร่ออกไปทั่งทั้งสามสำนักศึกษาแล้ว คนที่เขาส่งออกไปก็ไปถึงสองสำนักสิบแคว้นแล้ว ไม่ช้าก็จะสามารถบีบให้จูนจิ่วปรากฏตัวได้
คิดแล้ว เจ้าสำนักเทียนซูก็หัวเราะฮ่าฮ่าอย่างชั่วร้าย “จูนจิ่ว ตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นลูกไก่ในกำมือของข้าแล้ว”
เสี่ยวหยิ่งได้ยินคำนี้ ก็ชะงักฝีเท้า เขาจ้องมองเจ้าสำนักเทียนซู สุดท้ายก็ตัดสินใจจะถามเจ้าเฒ่าคนนี้ไป ในเมื่อเขาจะจับตัวจูนจิ่ว เช่นนั้นก็ต้องมีเบาะแสแน่
ขณะเดียวกัน จูนจิ่วก็อยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญมาก
เขาใช้เข็มเงินสกัดจุด เพื่อให้เลือดในร่างกายของมู่จิ่งหยวนไหลช้าที่สุด มู่จิ่งหยวนได้เสียเลือดไปมากแล้ว ที่เหลืออยู่จะให้เสียไปอีกไม่ได้ จูนจิ่วรวบรวมพลังทิพย์ไว้ที่ดวงตา ทำให้การมองเห็นของตัวเองชัดเจนละเอียดขึ้น
และยังเคลื่อนพลังจิตมาใช้ด้วย มากพอที่นางจะมองเห็นเส้นเลือดที่แม้จะเล็กกว่าเส้นผมก็ตามได้อย่างชัดเจน อุดเส้นเลือดทุกเส้นชั่วคราว แข่งกับเวลา จูนจิ่วให้ชิงหยู่ดึงมีดสั้นออกมาอย่างเร็วที่สุด แล้วนางก็ใช้นิ้วมือที่คล่องแคล่วว่องไว ใช้ด้ายเส้นเล็กๆเย็บหลอดเลือดทุกเส้นเชื่อมต่อกัน
ด้ายนี้ เป็นด้ายที่ใช้ทำหัตถกรรมของหัวเซี่ยโดยนางใช้น้ำหยกทิพย์ในการกลั่นขึ้นมา ใช้เฉพาะกับบาดแผลที่สาหัสหนัก และงานละเอียดอย่างการเย็บเส้นเลือดอย่างนี้ เห็นเพียงเส้นเลือดที่นางเชื่อมอยู่ตรงหน้า ส่วนด้ายด้านหนึ่งละเอียดจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับหลอดเลือดไปแล้ว เย็บจุดที่ขาดจากกันทั้งหมดให้กลับไปเป็นเช่นเดิม
ตอนนี้เอง จูนจิ่วอดไม่ได้ที่จะอุทานในใจว่าพลังทิพย์ของโลกนี้ช่างดีจริงๆ รักษาคน ร่นระยะเวลาในการรักษาคนได้มากกว่าชาติที่แล้วจริงๆ
“เสร็จแล้ว”
ศีรษะของจูนจิ่วเต็มไปด้วยเหงื่อ สูดหายใจเบาๆให้ตัวเองกลับมามีลมหายใจที่ปกติ นางจำเป็นต้องเร็ว เพราะยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็ดีแต่แผลของมู่จิ่งหยวนมากเท่านั้น ตอนนี้บาดแผลถูกเย็บติดกันทีละชั้นทีละชั้น รวมระยะเวลาทั้งหมดแล้วไม่เกินหนึ่งก้านธูป สามารถพูดได้ว่าจูนจิ่วได้ใช้พลังจิตจนถึงขีดสุดแล้ว พลังทิพย์ในกายก็ใช้ไปเกือบจะหมด รู้สึกอ่อนแอลงเล็กน้อย
ชิงหยู่ประคองจูนจิ่วอยู่ด้านหลัง เอ่ยอย่างปวดใจว่า “ศิษย์น้องเจ้าพักก่อนเถอะ ที่เหลือมอบให้ข้าจัดการเอง”
“ไม่ได้ ยังเหลือขั้นตอนสุดท้าย ”จูนจิ่วหยิบเอาหินทิพย์ระดับสองออกมาหนึ่งเม็ด นางกำไว้ในมือ ด้วยความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อพลังของหินทิพย์ระดับสองถูกจูนจิ่วดูดซับจนหมด สุดท้ายพลังหมดลงก็แตกสลายเป็นผุยผง
ได้พลังทิพย์กลับคืนมาบ้างแล้ว จูนจิ่วยื่นมือออกไปใช้นิ้วจี้ไปตรงกลางระหว่างคิ้วของมู่จิ่งหยวน
นางพูดว่า “บาดแผลของมู่จิ่งหยวนมีผลถึงแก่ชีวิต แม้ว่าข้าจะเย็บแผลเรียบร้อยแล้ว แต่เขาเสียเลือดไปมาก ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บขนานใหญ่ ตอนนี้จำเป็นต้องให้เลือดในกายของเขามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ต้องสร้างเลือดให้เขา”
“สร้างเลือดมียานี่นา ศิษย์น้องเจ้าจะทำอะไร”
“ตรวจดู ”รักษาเสร็จแล้ว การตรวจอาการเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้
จูนจิ่วพูดจบก็หลับตาลง พลังทิพย์แล่นเข้าสู่ร่างกายของมู่จิ่งหยวน แล่นไปทั่วร่างตามเส้นลมปราณ จูนจิ่วตรวจไปทีละจุด สุดท้ายตรวจสอบเสร็จ ก็เป็นเวลาหลังหนึ่งชั่วยามไปแล้ว
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ชิงหยู่เห็นดังนี้ก็จะยื่นมือออกไปประคองจูนจิ่ว แต่ปรากฏว่ามีคนมาถึงก่อน
โม่อู๋เยว่รับตัวจูนจิ่วไว้ด้วยความอ่อนโยน เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วปรากฏตั่งอ่อนนุ่มวางอยู่ในถ้ำ อุ้มจูนจิ่วไปนั่งพักบนนั้น ฝ่ามือของโม่อู๋เยว่แนบไปกับฝ่ามือของจูนจิ่ว สิบนิ้วประสานกัน พลังอบอุ่นแล่นเข้าสู่ร่างกายจูนจิ่ว
ค่อยๆสลายความเหนื่อยล้า ความรู้สึกเมื่อยล้าและแห้งผากที่ตาก็ดีขึ้นมาก จูนจิ่วขยับตัวอย่างผ่อนคลายอยู่ในอ้อมอกของโม่อู๋เยว่ “เหนื่อยจังเลย”
ชิงหยู่ เขาเป็นส่วนเกินหรือเปล่า
“เหนื่อยก็พักผ่อนดีๆ เรื่องอื่นมอบให้ข้า”โม่อู๋เยว่มองมู่จิ่งหยวนแวบหนึ่ง ก็รู้แล้วว่าเขาได้พ้นขีดอันตรายแล้ว เขายิ้ม “ด้วยพลังของนักจิตระดับห้า สามารถแย่งคนคืนมาจากยมบาลได้ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์สมกับเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้าจริงๆ”
“ถึงข้าไม่ใช่นักจิต ก็จะแย่งคนกับยมบาลเหมือนกัน ข้ายังไม่เคยเจอ คนที่ข้าช่วยไว้ไม่ได้ ”มุมปากของจูนจิ่วโค้งขึ้น แววตาอวดดี สีหน้าได้ใจ
เห็นท่าทีหยิ่งยโสของจูนจิ่ว รอยยิ้มที่มุมปากของโม่อู๋เยว่ก็ลึกขึ้นหลายส่วน เขาบรรจงจูบไปที่ระหว่างคิ้วของจูนจิ่ว “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ไม่มีใครเทียบได้”
“พวกเจ้า”ในที่สุดชิงหยู่ก็หาเสียงของตัวเองเจอในตอนนี้
เข้าอ้าปากตาค้าง มองจูนจิ่วกับโม่อู๋เยว่อย่างไม่อยากเชื่อ ร่างกายสั่นเทา
ชิงหยู่ตะโกน “พวกเจ้าเป็นศิษย์อาจารย์กันไม่ใช่หรือ”
“ใช่”
“ไม่ใช่”
คนที่พูดว่าใช่คือจูนจิ่ว คนที่พูดว่าไม่ใช่คือโม่อู๋เยว่ โม่อู๋เยว่ชะงักไป เชยคางของจูนจิ่วขึ้นยิ้มอย่างชั่วร้าย “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พูดถูก พวกเราเป็นอาจารย์กับศิษย์ แต่ไม่ใช่อาจารย์กับศิษย์ธรรมดา ”
ชิงหยู่ !!
เขาดูออก มีอย่างที่ไหนอาจารย์จูบลูกศิษย์ตัวเอง