บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 403 เสแสร้งต่อหน้านาง
เพิ่งก้าวออกจากลานบ้านไปไม่ทันไร น้ำเสียงเย็นพิฆาตของโม่อู๋เยว่ก็ส่งผ่านมา “ฆ่าเขาเลยเป็นอย่างไร ข้าว่าก็ไม่เลวนะ”
“ไม่ต้อง”จูนจิ่วส่ายหน้า มุมปากยิ้มเย็นมีเลศนัย “คนแบบนี้ ตบหน้าเข้าด้วยการพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า สำหรับเขาจึงจะเป็นการลงทัณฑ์ที่โหดเหี้ยม ยังไม่ต้องฆ่าเขา ข้าก็อยากจะดูเหมือนกันว่าเขาจะจับข้าอย่างไร ”
หนึ่งชั่วยาม ช่างหยิ่งยโสได้ใจจริงๆ ทั้งวิปริตแล้วยังหลงตัวเองอีก ทำให้จูนจิ่วคันมือยิบๆ อยากจะตบหน้าเขาให้บวมไปเลย
จูนจิ่วเดินไม่เร็วและก็ไม่ช้ามาก ราวกับไม่มีคนข้างหลังกำลังไล่ติดตามอยู่ นางเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังจากเข้าห้องไปแล้วก็บอกกับเถ้าแก่ว่าไม่ให้ใครมารบกวน
โม่อู๋เยว่อุ้มเสี่ยวอู่เดินออกมาจากที่มืด เขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้านแล้วก็หรี่ตาลง มองจูนจิ่วที่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากฉากกั้น กระโปรงสีชมพู ยิ่งเพิ่มความน่ารักขึ้นหลายส่วน จากนั้นจูนจิ่วก็ปล่อยผม หวีให้เป็นผมเปียหลวมปล่อยยาวไว้กลางหลัง อีกทั้งยังแต่งผมด้วยกลีบดอกท้อ ใช้สีสันแต่งแต้มใบหน้า ด้วยเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งก้านธูป จูนจิ่วก็หันไปทางโม่อู๋เยว่แล้วหมุนตัวครึ่งรอบ “เป็นอย่างไรบ้าง”
“โอ้”โม่อู๋เยว่ขรึมลงทันที แววตาสั่นระริกมองไปทางจูนจิ่ว
เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป จากหญิงงามเลอโฉมเปลี่ยนเป็นสาวน้อยอ้อนแอ้นแสนน่ารัก ดูฉลาดและเชื่อฟัง ทำให้คนที่พบเจอรู้สึกคันมืออยากจะลูบหัว
ในความเป็นจริง โม่อู๋เยว่ก็ทำเช่นนี้
ยิ้ม น้ำเสียงตามใจ “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์น่ารักมาก สวยมาก ”
“แน่นอน ข้าไม่ชอบให้ตัวเองแต่งเป็นคนอัปลักษณ์ ตอนที่อยู่เทียนอู่จงครั้งนั้นเพราะข้าไม่ได้เตรียมการไว้ ขาดทั้งเสื้อผ้าเครื่องประดับ”ที่จริงนางไม่ได้ขาด เพียงแต่ในช่องว่างของกำไลข้อมือมีแต่ชุดเสื้อผ้าของฮัวเซี่ยนับร้อยชุด จะสวมใส่ที่นี่คงไม่เหมาะ
จูนจิ่วหมุนตัวหันไปมองที่กระจกอีกครั้ง ยื่นนิ้วมือเรียวออกไป หยิบเอาชาดทาปากขึ้นมา สีปากของนางสดเกินไป ไม่เหมาะกับรูปลักษณ์ที่น่ารักของนาง เพิ่งจะเผยอปากขึ้น โม่อู๋เยว่ก็ยื่นมือมาคว้าไป
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์นั่งลง ข้าจะทำให้เอง ”
“เอ๋”สายตามีแววประหลาดใจ นิ้วมือของโม่อู๋เยว่ได้แตะลงที่ชาดทาปาก บรรจงทาที่ริมฝีปากนางเบาๆ ท่าทีอ่อนโยน แววตาที่ลึกล้ำของเขามองแต่ริมฝีปากของนาง นิ้วมือแตะลงไปก็ย้อมไปทั้งริมฝีปาก
สีปากดูอ่อนลง จากดอกกุหลาบที่สีสันสดใสกลายเป็นริมฝีปากสีดอกท้อที่ดึงดูดคน
ยิ้มมุมปาก สายตาของโม่อู๋เยว่มีแววพึงพอใจ “เสร็จแล้ว”
“ไหนข้าดูซิ”จูนจิ่วหมุนตัวเอากระจกขึ้นมา ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีข้อบกพร่อง สำเร็จโดยง่าย
จูนจิ่วสามารถแน่ใจได้ว่า แม้จะต้องเผชิญหน้ากับซิงโล่เฉินอีกครั้ง เขาก็คงจำนางไม่ได้ อย่าว่าแต่ซิงโล่เฉิงเลย เปลี่ยนเป็นชิงหยู่ก็จำนางไม่ได้เช่นกัน แต่ยังเหลืออีกหนึ่งสิ่ง จูนจิ่วหยิบเอายาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วบีบจนแหลกทาไปที่คอเสื้อ นางมองไปทางโม่อู๋เยว่แล้วอธิบายว่า “ซิงโล่เฉินคิดว่าข้าคงไม่รู้ แต่ข้าเป็นถึงหมอเทวดาจูนจิ่ว ซ่อนกลิ่น ซ่อนไม่พ้นจมูกข้าหรอก”
ที่แท้ตอนที่ซิงโล่เฉินทำทีเป็นอยากจะจับผมนาง ที่จริงคือได้โรยผงซ่อนกลิ่นที่ทำขึ้นเป็นพิเศษไว้บนตัวนาง เครื่องหอมประเภทนี้ดูก็รู้ว่าใช้ในการสะกดรอยตาม ไร้สีไร้กลิ่น อาศัยแค่จมูกดมนั้นไม่ได้กลิ่นแน่นอน
แต่ในนี้ไม่รวมหมอเทวดาจูนจิ่ว ยาปกปิดกลิ่นหนึ่งเม็ด สามารถปกปิดซ่อนกลิ่นได้อย่างง่ายดาย
จูนจิ่ว “ตอนนี้ใบหน้าข้าก็เปลี่ยนไปมากแล้ว ซ่อนกลิ่นก็ถูกปกปิดแล้ว รอเพียงซิงโล่เฉินคนนั้นมาหาข้า”
จูนจิ่วยิ้มอย่างอวดดีมีเลศนัย เห็นจูนจิ่วเปลี่ยนโฉมตัวเองด้วยใบหน้านี้แล้ว ใบหน้าที่น่ารักเกินทน โม่อู๋เยว่ขยับนิ้ว โดยที่เขาเองยังไม่ทันสังเกตตัวเอง ว่ารอยยิ้มของเขาตอนนี้หลงและเอ็นดูขนาดไหน ในสายตาเต็มไปด้วยจูนจิ่ว
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ของเขาน่ารักขนาดไหน แม้ตอนที่วางแผนอยู่ ก็ยังน่ารักคนเขาเก็บอาการไม่อยู่ คิดอยากจะซ่อนเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เอาไว้ มีเพียงเขาที่มองนาง อยู่กับนาง
ด้วยความปรารถนาที่แรงกล้า ด้วยความเผด็จการที่มีในสายเลือดได้เร่งเร้าให้เขาพาจูนจิ่วไป กลับไปที่ตำหนักในหุบเหวลึกของเขา อย่างนี้ระหว่างฟ้าดินก็มีเพียงเขากับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์สองคน ไม่มีใครมารบกวนได้อีก แต่ว่าโม่อู๋เยว่ก็เสียดาย
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หยิ่งผยอง อวดดีมีเลศนัย รอยยิ้มที่มุมปากนาง ทำให้เขาเสียดายหากจะทำลายมันแม้แต่นิดเดียว อยากจะแย่งชิงแต่ก็เสียดาย ได้แต่ยิ้มอย่างหลงใหล โดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วกดทับความหวังที่แรงกล้าของตัวเองให้จมลงไป
โม่อู๋เยว่เปิดปากเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแหบพร่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จะไปหาซิงโล่เฉินหรือ”
“ไม่ ซิงโล่เฉินไปถึงที่บ้านนั้นได้ ก็แสดงว่าข้าถูกสะกดรอยอยู่ จูเก๋อหุนไม่ได้ทรยศ มีเพียงเทียงฉิวที่ได้ปิดล้อมสังเกตการณ์สำนักศึกษาไท่ชูอย่างหนัก จึงได้สังเกตพบข้า”
จูนจิ่วพูดต่อไปว่า “เทียงฉิว และเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูรู้แล้วว่าตอนนี้ข้าต้องการพบเจ้าสำนักศึกษาไท่ชู พวกเขาต้องขัดขวางแน่ ข้าจะเสี่ยงอีกก็ไม่คุ้ม ได้แต่คิดหาวิธีอื่น ไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ อยู่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ”
ที่นางแปลงโฉมก็เพื่อสลัดซิงโล่เฉิน ต้อนรับขับสู้กับเขาหรือ ไม่จำเป็น ขอเพียงซิงโล่เฉินหานางไม่เจอ ตบหน้าฉาดสองฉาด ชายที่ทั้งวิปริตทั้งหลงตัวเองก็คงโกรธจนทนแทบไม่ไหว
ตอนนี้ในเมืองไท่ชูมีการป้องกันแน่นหนา ทุกคนต่างกำลังตามหาพวกนาง จูนจิ่วคิด นางจำเป็นต้องพาคนป่วยอย่างมู่จิ่งหยวน ไปไกลจากเมืองไท่ชู
จูนจิ่วไม่ได้เดินออกทางประตู นางกระโดดลงจากชั้นสอง เดินไปที่ตลาดซื้อร่มมาคันหนึ่งกางขึ้น สาวน้อยแสนงดงามคนหนึ่งออกโรงแล้ว คนที่เห็นนาง คงคิดเพียงว่าเป็นสาวน้อยสกุลไหนที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีกันนะ
ด้วยความระมัดระวัง จูนจิ่วไม่ได้เดินตรงไปที่ประตูเมือง แต่กลับเดินเที่ยวเล่นในเมืองไท่ชู สืบหาข้อมูลให้มากหน่อย
ไม่คิดว่าพอเดินไป เหนือความคาดคิดจูนจิ่วพบเข้ากับฝู้หลินจ้านและฝู้หลินซวง เงยหน้ามองไป ฝู้หลินจ้านกับฝู้หลินซวงยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง ขมวดคิ้วปรึกษาอะไรกันอยู่ จูนจิ่วใช้พลังจิต ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
ฝู้หลินจ้านขมวดคิ้ว สีหน้าร้อนใจอยู่หลายส่วน “ข้าเห็นหน่วยกล้าตายในเมืองไท่ชู จูนจิ่วคงไม่ได้อยู่ที่นี่กระมัง”
“นางต้องการล้างมลทิน จำเป็นต้องกลับมา ”ฝู้หลินซวงเอ่ยเสียงเย็น
ฝู้หลินจ้าน “แต่หลินซวง จูนจิ่วนางไม่ได้โง่นะ กลับมาตอนนี้ก็เท่ากับส่งตัวเองให้กับเทียงฉิว พวกเราอยู่ที่นี่ก็หานางไม่พบ ไม่สู้เรากลับไปที่จุดเกิดเหตุหาเบาะแสกัน ดูสิว่าจะโชคดีได้ข่าวอะไรหรือไม่ ”
ฝู้หลินซวงไม่ตอบ เขายังคงสีหน้าท่าทีเย็นชา มีเพียงตอนที่มองเข้าไปในตาของเขา จึงจะเห็นความกังวลของเขา กังวลห่วงความปลอดภัยของพวกจูนจิ่ว
ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากข้างหลัง “พวกเจ้ากำลังหาข้าหรือ”ฝู้หลินจ้านกับฝู้หลินซวงหันไปอย่างระแวง ตอนที่เห็นจูนจิ่ว ทั้งสองขมวดคิ้ว ฝู้หลินจ้านเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นใคร พวกเราไม่รู้จักเจ้า ”หานาง ไม่รู้จักจะหานางทำไม
จูนจิ่วเลิกคิ้ว เปิดปากที่ไร้เสียงบอกกับทั้งสองคน “จูนจิ่ว”
พอเจอทั้งสองคนต่างก็มีปฏิกิริยาอย่างที่คิดไว้ ฝู้หลินจ้านก้าวเท้าก้าวใหญ่ๆเข้ามา น้ำเสียงกดต่ำรีบถามขึ้นว่า “เจ้ารู้ว่าจูนจิ่วอยู่ไหนหรือ เจ้ารู้จักนาง”
จูนจิ่ว ……
เห็นที่การแปลงโฉมของนางจะได้ผลจริงๆ เปิดเผยสถานะของตัวเองแล้วยังไม่มีใครจำได้ จนใจเบาๆ จูนจิ่วใช้ร่มบังสายตาของคนข้างหลังที่อยู่ในตลาด นางเอ่ยอย่างจนใจ “ข้าคือจูนจิ่ว”
“น้องสาวเจ้ากำลังล้อเล่นหรือ”ฝู้หลินจ้านพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก