บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 421 ต้องเป็นแผนร้ายแน่
มีพรสวรรค์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าร้ายกาจดุจปีศาจ แล้วก็ยังมีความพยายามอีกชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่าวิปริต
จูนจิ่วใช้เวลาสามเดือนในการบรรลุนักจิตชั้นแปด พลังทิพย์บริสุทธิ์ การฝึกฝนมั่นคง ไม่มีความใจร้อนหุนหันพลันแล่นเลยสักนิด และก็ดูไม่ได้ดีใจในความสำเร็จ นางนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นเฟิง สายตามองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไปที่ล้วนถูกย้อมเป็นสีแดงจากใบของต้นเฟิง
ความงดงามที่ยิ่งใหญ่แผ่ขยายกว้าง ลมพัดทำให้จิตใจผ่อนคลายรู้สึกสบาย
คลึงที่ฝ่าเท้าของเสี่ยวอู่ทำการนวดให้มันหนึ่งรอบ จูนจิ่วมองไปทางโม่อู๋เยว่และพูดว่า “รอให้ผ่านเดือนสิบเอ็ดไปแล้ว ข้าจะไปที่สำนักศึกษาเทียนซู ถึงตอนนั้นศิษย์พี่ก็คงเตรียมตัวเสร็จแล้ว”
“เดือนสิบเอ็ด ”โม่อู๋เยว่ยิ้มร้าย เอ่ยอย่างจิตใจเบิกบานว่า “ข้าคิดว่าไม่ต้องรอให้ผ่านเดือนสิบเอ็ด เจ้าก็สามารถไปสำนักศึกษาเทียนซูได้แล้ว
“เอ๋”
จูนจิ่วกำลังสงสัย พอเห็นโม่อู๋เยว่ยิ้มให้นาง ยากจะทนต่อความอยากจะหยอกเย้าเสียจริง โม่อู๋เยว่ลุกขึ้น “ชิงหยู่กับมู่จิ่งหยวนมาแล้ว เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ลองถามพวกเขาก็จะรู้เอง”
ไม่อุบไว้ให้เสียเวลา จูนจิ่วเลิกคิ้วเบ้ปากเบาๆ สามารถไปสำนักศึกษาเทียนซูในไม่ช้า หรือว่าเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูกับเทียงฉิวก็รอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จึงได้ส่งคนมาจับตัวนาง ระหว่างที่จูนจิ่วกำลังคาดเดา ในสายตาก็ปรากฏเงาร่างของชิงหยู่กับหยวนชิงหลิงที่เดินมาด้วยกัน
เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นมองไปทางจูนจิ่ว “เจ้านายจะปิดกั้นการฝึกฝนไว้ก่อนหรือไม่ ”
จูนจิ่ว “สำหรับพวกเขา ไม่จำเป็น ”
ไม่ช้า ทั้งสองก็เดินมา ชิงหยู่เป็นคนส่งยิ้มและทักทายจูนจิ่วก่อน “ศิษย์น้อง”
“โชคดีที่ศิษย์น้องจูนออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะหาเจ้าได้อย่างไร ”ระหว่างที่มู่จิ่งหยวนพูด สายตาที่มองไปยังจูนจิ่วก็เป็นประกายขึ้นมา แผ่นหลังที่ยืนตรงเกิดอาการแข็งค้าง
ไม่อยากจะเชื่อ มู่จิ่งหยวนรักษาท่าทีสง่างามเอาไว้ไม่อยู่ เขาตะโกนเสียงดังว่า “นักจิตชั้นแปด”
“ใช่ ศิษย์น้องของข้าบรรลุนักจิตชั้นแปดแล้ว เป็นอย่างไร ยอดเยี่ยมใช่หรือไม่ ”ชิงหยู่ยิ้มกว้าง สีหน้าราวกับมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างรอคอยที่จะเห็นใบหน้านี้ของมู่จิ่งหยวน เขายังหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับจูนจิ่ว
หัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ
ยอดเยี่ยม
มู่จิ่งหยวนอ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก จูนจิ่วเมื่อสามเดือนก่อน เขาเห็นกับตาว่านางเพิ่งจะบรรลุนักจิตชั้นห้า เวลาสั้นๆเพียงสามเดือน สามเดือนที่คนอื่นแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย จูนจิ่วกลับบรรลุไปถึงนักจิตชั้นแปด นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน
“จริงหรือไม่”มู่จิ่งหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ศิษย์น้องจูนรีบบอกข้ามา เป็นข้าที่ตาลาย ทำไมเจ้า ทำไมจึงได้บรรลุนักจิตชั้นแปดแล้ว นี่ไม่ปกติเอาเลย”
“เฮ้ ศิษย์พี่มู่ ศิษย์น้องข้ามีอะไรไม่ปกติหรือ”ได้ยินคำพูดนี้ ชิงหยู่ก็รู้สึกไม่พอใจ
ในอ้อมแขนอุ้มเสี่ยวอู่เอาไว้ จูนจิ่วมองการโต้ตอบไปมาของชิงหยู่กับมู่จิ่งหยวนอย่างรู้สึกสนุก เห็นมู่จิ่งหยวนถามนาง จูนจิ่วก็เลิกคิ้วบอกว่า “ศิษย์พี่มู่ไม่ได้ตาลาย ข้าได้บรรลุนักจิตชั้นแปดแล้วจริงๆ ”
“เฮือก”
สูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง ดวงตาของมู่จิ่งหยวนจะถลนออกมาแล้ว เขาพูดเสียงหลงว่า “ศิษย์น้องจูนเจ้าเป็นพวกวิปริตใช่หรือไม่ สามเดือนบรรลุสามขั้น น่ากลัวจริงๆ ”
จูนจิ่วยิ้ม ชิงหยู่กุมท้องหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ รู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง
นี่แหละศิษย์น้องของเขา หนึ่งเดียวไม่มีสองในโลกใบนี้ ไม่มีใครเทียบศิษย์น้องของเขาได้ แม้ว่าเขาเองก็ถูกการฝึกฝนที่รวดเร็วทำให้ตกตะลึงเช่นกัน แต่ก็รู้สึกภูมิใจมากกว่า และรู้สึกเป็นเกียรติมากด้วย
เห็นมู่จิ่งหยวนยังตกอยู่ในอาการตะลึงไม่ได้สติ จึงได้ดีดนิ้วเพื่อเรียกสติของเขากลับมา
จูนจิ่วถาม “ศิษย์พี่มู่ ท่านคงไม่ได้มาหาข้าเพื่อจะตะลึงในความเร็วในการฝึกฝนของข้าหรอกกระมัง มีเรื่องอะไรหรือ”
“ออใช่แล้ว ข้าตกใจเกินไป เกือบลืมเรื่องที่จะพูดเสียสนิท ศิษย์น้องจูนเจ้าออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว รีบตามเราไปพบท่านปู่เดี๋ยวนี้เลย สำนักศึกษาเทียนซูมีการเคลื่อนไหวใหญ่แล้ว พวกเราเชื่อว่านี่ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าแน่ ”มู่จิ่งหยวนพูด
“ได้”
พวกเขารีบไปพบเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูทันที เหมือนมู่จิ่งหยวนไม่ผิด เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูพอเห็นการฝึกฝนของนางก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ จึงได้สติกลับมา
ในใจของเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูนั้นตกใจเป็นอย่างมาก แต่ภายนอกนั้นเอาแต่ลูบเคราของตัวเองเพื่อให้อารมณ์สงบลง แต่ตอนที่มองไปทางจูนจิ่ว เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่า เกรงว่าหลังจากนี้ถ้าเปรียบเปรยว่าจูนจิ่วร้ายกาจดุจปีศาจ คงต้องเพิ่มคำว่า ‘เหลือเชื่อ’กับคำว่า‘วิปริต’ไปด้วย
แค่ความเร็วในการฝึกฝน ทั้งสามสำนักศึกษาก็ไม่มีใครสามารถเทียบกับนางได้เลย บวกกับฝีมือการกลั่นยาของจูนจิ่วที่เหลือเชื่อ เกรงว่าพวกโอรสสวรรค์พวกนั้นของตำหนักไท่หวงก็สู้จูนจิ่วไม่ได้
ทันใดนั้น เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะมองเห็นผู้สูงส่งในอนาคตกำลังเกิดขึ้นมา
“เจ้าสำนักศึกษาไท่ชู”จูนจิ่วมองเขาอย่างสงบ
เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูไอแห้งๆหนึ่งเสียงเพื่อปกปิดสติที่หลุดลอยไป เขามีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เปิดปากเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อวานสำนักศึกษาเทียนซูมีข่าวส่งมา ตำหนักไท่หวงมีคำสั่ง ต้องการให้สำนักศึกษาทั้งสามรวบรวมลูกศิษย์ที่เก่งที่สุด เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน ”
ชิงหยู่ได้ยินก็ขมวดคิ้วทันที เขาหันไปมองจูนจิ่ว
จูนจิ่วยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน มือคอยลูบหลังของเสี่ยวอู่อย่างอ่อนโยน จูนจิ่วถามว่า “แล้วยังมีอะไรอีก”
“ลูกศิษย์ฝีมือดีเหล่านี้ต้องผ่านการคัดเลือก ตามขั้นตอน นี่ก็หมายความว่า พวกเจ้าต้องไปเข้าร่วมที่สำนักศึกษาเทียนซู ข้าสามารถพูดได้เลยว่า การแข่งขันนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้นยังไม่แน่ แต่นี่ต้องเป็นแผนร้ายที่ต้องการจับตัวเจ้าแน่ ”เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูพูดและมองจูนจิ่ว
เมื่อก่อนเขาไม่เคยได้ยินเรื่องการแข่งขันมาก่อน จะคัดเลือกคนจากสำนักศึกษาทั้งสาม หรือตำหนักไท่หวงจะไม่มีคนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูใช้ชื่อเสียงของตำหนักไท่หวง ในการวางแผนร้าย พอจูนจิ่วไปที่สำนักศึกษาเทียนซู ผลของเรื่องนี้ยังต้องพูดอีกหรือ
ชิงหยู่ “พวกเราไม่ไปได้หรือไม่ ”
“ไม่ได้ ”มู่จิ่งหยวนขมวดคิ้วตอบ สายตายังคงมองอยู่ที่จูนจิ่ว เขาพูดต่อไปว่า
“ครั้งนี้ได้ชี้ชัดแล้วว่าต้องเป็นคนที่ไปน้ำพุหลิงซูเท่านั้น ศิษย์น้องจูน แล้วก็ศิษย์น้องชิงพวกเจ้าก็มีชื่ออยู่ด้วย ฉะนั้นจึงบอกว่า นี่คือแผนการร้ายที่สร้างขึ้นเพื่อหาเรื่องเจ้าทั้งสองคน ”
ไม่ไป ก็เท่ากับประกาศเป็นศัตรูกับสำนักศึกษาเทียนซู
ไป ก็เท่ากับส่งเนื้อเข้าปากเสือ
แต่จูนจิ่วไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเนื้อ นางมองเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูนิ่งๆ “ออกเดินทางเมื่อไหร่”เจ้าสำนักศึกษาไท่ชูเอ่ยอย่างขอร้อง “เดือนสิบเอ็ด จูนจิ่วเจ้ามีเวลาอีกเพียงเดือนเดียวในการเตรียมตัวเท่านั้น ถ้าหากเจ้าอยากจะไปจากนี่ตั้งแต่ตอนนี้ กลับไปที่สองสำนักสิบแคว้น เจ้ายังมีโอกาสไปได้”
ไม่เช่นนั้นถ้าไปที่สำนักศึกษาเทียนซู ทางหนีทีไล่ก็เท่ากับถูกตัดขาด เช่นนั้นก็ได้แต่สู้ไปข้างหน้ายิบตาเท่านั้น และเจ้าสำนักศึกษาไท่ชูคงไม่เห็นดีเห็นงามกับตัวเลือกที่สองแน่
ริมฝีปากแรงระเรื่อดุจกุหลาบ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยฉายแววกระหายเลือดอย่างเย็นชา จูนจิ่วมองพวกเขา เอ่ยเสียงเย็นว่า “เนื้อเข้าปากเสือ ข้าไม่คิดอย่างนั้น สักวันหนึ่งเทียงฉิวจะเข้าใจ พวกเขานั้นได้เชิญหมาป่าเข้าบ้านแล้ว ”
นางคือหมาป่า เป็นหมาป่าดุร้ายที่ไม่ทำลายเทียงฉิวให้สิ้นซากจะไม่ยอมวางมือ
จูนจิ่วยังพูดอีกว่า “ข้าจะกลับไปเตรียมตัวอย่างดี ไปช้าหรือเร็ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไปสำนักศึกษาเทียนซูสักวัน ”
ความหมายของนางชัดเจนมาก นางไม่ได้มองว่านี่คือหุบเหวอันตรายที่จะไปแล้วไม่ได้กลับมา แต่ถือว่านี่คือโอกาสที่จะสามารถไปสำนักศึกษาเทียนซูได้อย่างสง่าผ่าเผย ถ้าหากจะมีคนเสียใจภายหลัง คนคนนั้นต้องไม่ใช่จูนจิ่วแน่
เก็บข้าวของเตรียมตัว หลังจากนั้นครึ่งเดือน จูนจิ่วกับชิงหยู่ และมู่จิ่งหยวนก็ออกเดินทางไปสำนักศึกษาเทียนซู ที่เดินทางไปด้วยกันยังมีหน่วยกล้าตายของเทียงฉิวอีกกลุ่มหนึ่ง ปากก็บอกว่าจะอารักขาส่งพวกเขาไปที่สำนักศึกษาเทียนซู แต่ที่จริงคือคอยจับตาดู จ้องจูนจิ่วไม่ให้หนีไปได้
มู่จิ่งหยวนมองดูหน่วยกล้าตายของเทียงฉิวที่ล้อมรอบพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา เขามองจูนจิ่วอย่างเป็นกังวล “ศิษย์น้องจูน การเข้าถ้ำเสือครั้งนี้ต้องระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง”