บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 422 หญิงจิตใจชั่วร้ายหงยิง
ใครๆต่างก็รู้ถึงบุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูกับจูนจิ่ว ก่อนหน้านี้ก็ตอนที่แข่งขันทั้งห้าสำนัก จากนั้นก็แผนการต่างๆนานา ตีรันฟันแทง คิดอยากจะอยู่อย่างสงบ จูนจิ่วกับเจ้าสำนักเทียนซูต้องเหลือรอดเพียงหนึ่งเท่านั้น
ในสายตาของพวกเจ้าสำนักเทียนซู ขอเพียงจูนจิ่วมาก็ต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัย ฉะนั้นตลอดทางจึงไม่ได้มีลูกไม้อะไร เพราะเกรงจะทำให้จูนจิ่วหนีไปเสียก่อน
เดินทางอย่างราบรื่นจนเข้าสู่เขตแดนของสำนักศึกษาเทียนซู พวกจูนจิ่วพบเข้ากับพวกฝู้หลินจ้านกับฝู้หลินซวงเสียก่อน ยังมีจี้อีหมิง ทั้งสามคนพอเห็นพลังแท้จริงของจูนจิ่ว สีหน้าท่าทางเหมือนกับมู่จิ่งหยวนราวกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด
ทั้งสามคนคิด จูนจิ่วต้องวิปริตแน่
จี้อีหมิงพูดอย่างเป็นห่วงว่า “พี่สาว ถ้าเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูเห็นว่าท่านบรรลุได้ร้ายกาจขนาดนี้ ต้องจ้องท่านไม่ปล่อยแน่ พี่สาวน่าจะปิดบังไว้หน่อยเพื่อความปลอดภัย”
“ข้ากับเทียงฉิวเป็นศัตรูคู่อาฆาต ไม่ว่าจะมีตัวแปรอะไรพวกเขาก็ไม่ยอมปล่อยข้าไปแน่ ตามสบายก็พอ ”จูนจิ่วพูด
ฝู้หลินซวงพยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดของจูนจิ่ว
ต่อหน่าศัตรูไม่จำเป็นต้องแสร้งทำ ยิ่งจูนจิ่วมีพลังของนักจิตชั้นแปดแล้ว ต่อหน้าสำนักศึกษาเทียนซูที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่ได้ถือว่าน่าดูอะไร จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเลยสักนิด
ไม่สู้เปิดเผยออกมา ความเร็วในการบรรลุที่วิปริตร้ายกาจดุจปีศาจ ยังพอสามารถทำให้เทียงฉิวอกสั่นขวัญแขวนได้บ้าง
ตลอดทางเดินพวกเขาเดินอย่างไม่เร็วและไม่ช้า เพิ่งจะเข้าสู่เดือนสิบเอ็ดตอนที่พวกเขามาถึงด้านล่างของภูเขาสำนักศึกษาเทียนซู อากาศหนาวเย็น มีหิมะโปรยปรายลงมาจากฟ้า ทำให้ภูเขาสูงตระหง่านตรงหน้าเปลี่ยนเป็นทิวทัศน์สวยงามของเหมันตฤดู ขาวโพลนไปด้วยหิมะ
ทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นชุดที่หนาขึ้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นจูนจิ่วยังคงสวมชุดกระโปรงสีแดงบางเบา ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือมีเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก ใครเห็นก็ต้องรู้สึกหนาว
ฝู้หลินจ้านจ้องมองนาง “จูนจิ่ว เจ้าไม่หนาวหรือ”
“ไม่หนาว”จูนจิ่วยิ้ม ในอ้อมอกของนางอุ้มเสี่ยวอู่ที่ขดเป็นก้อนเป็นที่อุ่นมือสำหรับนาง และจูนจิ่วก็ไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด
นางกำลังฝึกฝนวิชาฝึกตนชั้นที่สี่อยู่ วิชาจิตกำลังวิ่งพล่านอยู่ตลอดเวลา พลังทิพย์ไหลเวียนเข้าสู่เส้นปราณ เป็นเครื่องปรับอากาศในฤดูหนาวให้อุ่นปรับอากาศในฤดูร้อนให้เย็นที่มาจากธรรมชาติ อากาศภายนอกไม่อาจจะมีผลกระทบต่อนาง ชิงหยู่รู้สาเหตุ
เขามองจูนจิ่วด้วยสายตาที่อิจฉา
เขาเองก็กำลังฝึกฝนวิชาฝึกตนชั้นที่สี่อยู่ แต่ว่าผ่านไปสามเดือนแล้วกลับไม่มีความก้าวหน้าเลยสักนิด แม้จูนจิ่วจะอธิบายให้เขาฟัง แต่ก็ยังก้าวหน้าได้ช้ามากอยู่ดี
เห้อ ทำไมเขาที่เป็นถึงนักจิตใหญ่ถึงได้เรียนรู้ได้ช้ากว่าศิษย์น้องนะ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาโง่ แต่เป็นเพราะศิษย์น้องร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อเกินไป
เพิ่งจะเข้าสู่ประตูภูเขาสำนักศึกษาเทียนซู ก็เห็นเงาสีแดงสายหนึ่ง นางสวมชุดกระโปรงสีแดงเหมือนกับจูนจิ่ว จูนจิ่วนั้นราวกับกุหลาบที่สวยสง่า ราวกับไฟที่ร้อนแรง งดงามล่มเมือง แต่นาง กระโปรงสีแดงเมื่อเทียบกับจูนจิ่วแล้ว ดูไร้รสนิยมและจัดจ้านเกินไป
อากาศในเดือนสิบเอ็ด หงยิงหลับเผยให้เห็นนวลเนื้อผืนใหญ่บริเวณหน้าอก ชายกระโปรงที่ผ่าออกเผยให้เห็นขาขาวเนียนสองข้างที่ช่างดึงดูดสายตา คนที่ไม่รู้จักคงคิดว่าเป็นสาวงามดุจปีศาจจำแลง ทำให้เกิดความหื่นกระหายจนน้ำลายไหล
จากนั้นพอรู้ว่าเป็นหงยิง ถ้าไม่ตกใจจนเข่าอ่อน ก็ต้องตกใจจนตาย
เพชฌฆาตหญิงผู้มีชื่อเสียงของเทียงฉิว ฝีมือร้ายกาจโหดเหี้ยม คนในเทียนซูต่างก็หวาดกลัวนางมาก
แต่ถ้าหงยิงคิดจะแสดงท่าทีน่าเกรงขามต่อหน้าพวกเขา ก็คงต้องผิดหวังแน่
หงยิงจ้องจูนจิ่วเขม็ง แต่พอนางเห็นว่าจูนจิ่วได้บรรลุนักจิตชั้นแปดแล้ว ก็ตกใจจนไม่อยากจะเชื่อ แววตาของหงยิงมีแววอิจฉา โหดเหี้ยมและดุร้ายปะปนกัน นางจับเส้ที่เหน็บอยู่ตรงเอว เส้เดิมของนางถูกจูนจิ่วทำลายไปแล้ว แต่ว่าเส้เส้นใหม่นี้ลมกว่าและหนามแหลมก็มีพิษยิ่งกว่า นางเกือบจะอดทนไม่ได้ที่จะฟาดมันลงบนร่างของจูนจิ่วจนเลือดสาด
ควบคุมจิตใจที่ต้องการสังหารเอาไว้ หงยิงยิ้มร้ายและค่อยๆเงยหน้าขึ้น เดินเข้ามาตรงหน้าจูนจิ่ว หงยิงเอ่ยขึ้นว่า “จูนจิ่ว เจ้ายังจะกล้ามาเทียนซูหรือ”
“ทำไมจะไม่กล้า หรือว่าข้ายังจะต้องกลัวหมาแค่ไม่กี่ตัวนั่นด้วย ”จูนจิ่วโต้กลับเสียงเย็น
หงยิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่งดงามบิดเบี้ยวทันที กัดฟันกรอด รอบตัวของหงยิงมีไอสังหารพวยพุ่ง เห็นดังนี้ พวกชิงหยู่ก็รีบเดินมายืนเป็นแถวเรียงหนึ่งข้างจูนจิ่วจ้องหงยิงด้วยสายตาเย็นชา หงยิงกล้าลงมือ พวกเขาก็จะไม่เกรงใจ
หงยิงเห็นดังนี้ก็ยิ่งโมโห นางเอ่ยปากพูดด้วยคำพูดชั่วร้าย “จูนจิ่ว เจ้าคิดว่ามีพวกผู้ชายพวกนี้อยู่ก็จะสามารถปกป้องเจ้าได้อย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า ไร้เดียงสาสิ้นดี เวลาตายของเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว สำนักศึกษาเทียนซูจะเป็นที่ฝังศพของเจ้า ”
“คำพูดนี้ข้าขอคืนให้เจ้าโดยไม่ขาดแม้แต่คำเดียว ”จูนจิ่วยิ้ม แววขาเยือกเย็นชวนหวาดกลัว
หงยิงถูกนางมองจนใจเต้นระส่ำ พอได้สติก็ยิ่งรู้สึกอับอายจนกลายเป็นโมโห คิดอยากจะลงมือทันที แต่สีหน้ายังคงดุร้ายเปลี่ยนไปมา สุดท้ายหงยิงก็เลือกจะอดทนเอาไว้
ฮึเสียงเย็น หงยิงจ้องมองนางอย่างเลือดเย็น พูดว่า “จูนจิ่วเจ้าทำปากดีไปเถอะ รอให้เจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้ว ข้าจะตัดลิ้นเจ้าทอดให้หมากิน ข้ายังจะยัดหนอนพิษให้เต็มปากเจ้า จากนั้นก็เย็บปิดมัน ควักลูกตาเจ้าออกมา แล่หนังของเจ้าด้วย ”
ชิ
ได้ยินคำพูดที่ชั่วร้ายน่ากลัวจากปากหงยิง ต่างก็ได้แต่สูดลมหายใจ ขนลุกขนชันไปหมด ช่างเป็นหญิงที่จิตใจชั่วร้ายโหดเหี้ยมเสียไม่มี
จูนจิ่วขวางพวกชิงหยู่ที่กำลังเกรี้ยวกราดเอาไว้ นางมองหงยิงด้วยสายตาเย็นชา จูนจิ่วไม่พูดอะไรสักคำ นางเพียงแต่มองหงยิงด้วยสายตาเย็นชาพิฆาต ทันใดนั้นนางก็เดินออกไปหนึ่งก้าว ประสานสายตากับจูนจิ่ว หงยิงมีความรู้สึกราวกับว่าถูกเทพแห่งความตายจ้องเข้าให้แล้ว ขนลุกชัน รู้สึกหนาวไปทั้งร่าง
พอเห็นจูนจิ่วก็ก้าวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว หงยิงก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว แต่ว่ายืนได้ไม่มั่นคง สะดุดจนเกือบจะล้มคะมำไป แล้วก็ยืนขึ้นด้วยความอนาถและโมโห หงยิงจ้องกลับ “เจ้าจะทำอะไร”จูนจิ่วยิ้มเย็น “ก็แค่จะดูว่าหมาที่มันฝันกลางวันจะกล้าสักแค่ไหน ตอนนี้ข้ารู้แล้ว สัตว์เดรัจฉานก็คือสัตว์เดรัจฉานอยู่วันยังค่ำ แม้จะฝันกลางวันได้แต่มันก็แค่หมาตัวหนึ่ง จะกลายเป็นคนได้อย่างไร ”
นี่เท่ากับด่านางอย่างเปิดเผยว่าเป็นหมา ไม่ใช่คน
หงยิงโกรธจนอยากจะด่ากลับไป แต่พอปะทะเข้ากับสายตาของจูนจิ่ว มีไอเย็นสายหนึ่งพุ่งตรงมาจากใต้ฝ่าเท้าทะลุไปยันศีรษะ หงยิงร่างแข็งทื่อไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ทำไมจึงได้รู้สึกว่าจูนจิ่วมีทรงพลังจนน่ากลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ยิ่งกว่าอาจารย์ของนาง ยิ่งกว่าศิษย์พี่ซิงของนางด้วย รู้สึกสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ ไม่กล้าโต้ตอบจูนจิ่ว ในใจของหงยิงโมโหจนแทบคลั่ง แต่ก็ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกประหลาดของร่างกายได้
นางได้ยินจูนจิ่วหัวเราะเยาะเย้ยว่า “ขี้ขลาดจริง”
ฮึ จูนจิ่วเจ้ารอก่อน ข้าต้องฆ่าเจ้าแน่ หงยิงโมโหจนจะกระอักเลือด เห็นได้ชัดว่ามนต์ปีศาจของจูนจิ่วควบคุมนางเอาไว้
จูนจิ่วมองไปทางพวกชิงหยู่ “ไปเถอะ รีบไปถึงที่พักจะได้พักผ่อนดีๆ พรุ่งนี้พวกเราจะไปเที่ยวชมสำนักศึกษาเทียนซูด้วยกัน พวกท่านมีใครรู้ทางบ้าง ”
“ข้า ”จี้อีหมิงยกมือ “พี่สาวข้ารู้ทาง พรุ่งนี้มอบให้ข้าเป็นคนนำทางก็ได้”
“ดี”
พวกเขาพูดคุยหัวเราะกันเดินผ่านหงยิงไป ไม่มีใครสนใจนาง แต่ว่าพวกเขารู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของจูนจิ่วสักเท่าไหร่ ฝู้หลินจ้านพูดว่า “จูนจิ่ว ด่านางว่าหมาเท่ากับดูถูกหมานะ ”
“มีเหตุผล แต่ว่านางก็เป็นหมาของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู ก็ถือว่าพูดไม่ผิด”
ฟู่
หงยินได้ยินจากที่ไกลๆ ก็โมโหจนกระอักเลือดพุ่งออกมา ในที่สุดนางก็ขยับตัวได้แล้ว จึงได้คว้าแส้ออกมาฟาดลงบนร่างของหน่วยกล้าตายเทียงฉิวคนหนึ่ง เส้แล้วเส้เล่า ฟาดจนหน่วยกล้าตายของเทียงฉิวคนนั้นเลือดสาดกระเด็นไม่ทั่ว หงยิงโมโหจนหอบหายใจแรง สีหน้าโหดเหี้ยม
“จูนจิ่ว ถ้าไม่ใช่คำสั่งของศิษย์พี่ซิง เมื่อครู่ข้าต้องฆ่าเจ้าแน่ คอยดูเถอะ เจ้าคงอยู่รอดได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น