บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 434 ปิดประตูปล่อยโม่อู๋เยว่
การประเมินด่านแรก นอกจากจูนจิ่วที่ถูกกลั่นแกล้งโดยจงใจ คนอื่นๆอย่างพวกชิงหยู่หลังจากแบ่งกลุ่มก็ผ่านด่านสำเร็จ สามารถนำมาเปรียบเทียบได้เลยว่า พวกเขาผ่านด่านอย่างสบายๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วทำไมป้าฟางต้องจ้องหาเรื่องจูนจิ่วด้วย ก่อนจะไปน้ำพุหลิงซูพวกเขาก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน จะเป็นศัตรูกันได้อย่างไร
วันนี้ พวกเขาต่างได้รับข่าวของป้าฟาง จากลานใจกลางทะเลสาบเดินทางมาถึงบริเวณที่เป็นแอ่งหลังเขาสำนักศึกษาเทียนซู ขบวนแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือพวกหงยิงที่สีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก กับอีกฝั่งที่เป็นพวกจูนจิ่ว
ฝู้หลินจ้านมองไปยังพวกเขาแล้วขมวดคิ้ว หันกลับมามองไปทางจูนจิ่ว“จูนจิ่ว ครั้งนี้เจ้ามากับพวกเรา ป้าฟางคงไม่หาเรื่องเจ้าอีกนะ”
“ป้าฟางคนนี้ช่างเลวจริงๆ ในจดหมายของท่านปู่ข้ายังบอกว่านางเป็นคนดีคนหนึ่ง ดีที่ไหนกัน ”จี้อีหมิงพูดอย่างโมโห
เอาแต่หาเรื่องพี่สาว ยังจงใจออกแบบทดสอบที่ยากมาก คนดีหรือ ท่านปู่ของเขาคงถูกหลอกแล้ว
ชิงหยู่กับฝู้หลินจ้านต่างพยักหน้าเห็นด้วย มู่จิ่งหยวนเห็นอย่างนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังจูนจิ่ว
“ศิษย์น้องจูน ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเราจะสู้ด้วยกัน ”
จูนจิ่วยิ้มเรียบๆ พยักหน้าพูดว่าดี
เงยหน้าขึ้นมองไปยังพื้นที่ที่เป็นแอ่ง ตอนนี้พวกเขายืนอยู่บริเวณปากของแอ่ง มองไปจะเห็นภูเขาเรียงเป็นคลื่น ป่ารกถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ บนพื้นมีเกล็ดหิมะ แต่ว่าป่าในบริเวณที่เป็นแอ่ง ล้วนปลอดโปร่งราบเรียบ จูนจิ่วเดาว่า การประเมินด่านที่สอง ต้องเกี่ยวข้องกับบริเวณที่เป็นแอ่งแห่งนี้แน่
แต่จะประเมินอะไร ป้าฟางจะคิดลูกไม้อะไรมาหาเรื่องนางอีก จูนจิ่วยังคิดไม่ออก
ระหว่างที่คิด จี้อีหมิงก็ร้องขึ้น “มาแล้ว”
จูนจิ่วเงยหน้าขึ้น เห็นป้าฟางกับเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูเดินตามกันมา พวกเขาต่างกำลังมองมาที่นาง แต่ว่าคนข้างหน้านั้นมองด้วยจิตใจหนักอึ้ง คนข้างหลังจ้องนางอย่างโหดเหี้ยมราวจะฆ่านางเสียให้ได้ จูนจิ่วคิด หากไม่ใช่เพราะกุญแจเวลาซึ่งเป็นของล้ำค่าที่อยู่ในมือนางเป็นที่ดึงดูด พวกเขาคงลงมือไล่ฆ่านางไม่รู้กี่ร้อยหนแล้ว
หลุบตาลงแววตาเป็นประกาย มีอุ้งเท้าข้างหนึ่งวางไว้บนหลังมือนาง
เสี่ยวอู่กะพริบตาให้กับจูนจิ่ว พูดกับนางในใจว่า “เจ้านายอย่ากังวล ถ้าพวกเขากล้าเข้ามาพวกเราก็ตีพวกมันให้ตาย ถ้าสู้ไม่ได้ ก็ปิดประตูปล่อยโม่อู๋เยว่ออกมา ”
“ฟู่ ”จูนจิ่วสำลัก
ปิดประตูปล่อยโม่อู๋เยว่ นี่มันบ้าอะไร
ข้างหูพลันคิดถึงน้ำเสียงทุ้มต่ำหยอกเย้าของโม่อู๋เยว่ เขาพูดว่า “เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ต้องการข้า แค่โบกมือ หรือส่งสายตา แตะที่กระดิ่ง หรือเรียกข้า ข้าอยู่เสมอ ”
รอยยิ้มที่มุมปากลึกขึ้นทันที จูนจิ่วตอบกลับในใจ “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
นางไม่รู้ตัวเลยว่า รอยยิ้มตอนนี้ของนางในสายตาคนรอบข้างนั้นมันหวานหยดขนาดไหน ดึงดูดสายตาผู้คนได้มากเท่าใด
เงยหน้าขึ้นมองเห็นปฏิกิริยาของทุกคน จูนจิ่วก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที แววตาเย็นชาน่ากลัวทำเอาทุกคนต่างหันหน้าหนีทันที
จากนั้นจูนจิ่วก็มองไปทางป้าฟางกับเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู นางอยากจะรู้ว่า การประเมินด่านที่สองคืออะไร
ป้าฟางให้สัญญาณมือ ให้พวกเขาเดินเข้ามารวมตัวข้างหน้า จากนั้นก็ยืนขึ้น และก็แบ่งออกจากพวกซิงโล่เฉินอย่างชัดเจน เห็นอย่างนี้ ป้าฟางก็ไม่พูดอะไร
นางประกาศการประเมินด่านที่สองต่อ ป้าฟางพูดว่า “การประเมินด่านที่หนึ่ง เพื่อประเมินพรสวรรค์ของพวกเจ้า เพื่อแสดงว่าพวกเจ้ามีพรสวรรค์พอที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันของตำหนักไท่หวง ตอนนี้คือการประเมินด่านที่สอง จะประเมินสมองและความแข็งแกร่งของพวกเจ้า ”
“พูดเถอะ ป้าฟางท่านไม่เห็นหรืออย่างไรว่าพวกเขาต่างก็ร้อนใจกันแล้ว”ยิ้มอย่างชั่วร้าย ซิงโล่เฉินกวาดมองไปยังพวกจูนจิ่ว
สายตาของเขา ทำให้พวกชิงหยู่หัวใจกระตุก มีลางสังหรณ์ไม่ดีเท่าไหร่
ป้าฟางจ้องซิงโล่เฉินอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก แล้วจึงพูดต่อว่า “การประเมินในด่านนี้ พวกเจ้าต้องเข้าไปในลานสัตว์ทิพย์ นั่นก็คือบริเวณพื้นที่แอ่งหลังพวกเจ้า ในบริเวณแอ่งนี้มีลานสัตว์ทิพย์ เป็นสถานที่ที่ใช้ประเมินพวกเจ้า ”
“ก่อนจะทำภารกิจสำเร็จ ห้ามใครก็ตามออกไปจากลานสัตว์ทิพย์เด็ดขาด ถ้าพบเห็น จะถูกตัดสิทธิ์ทันที โยนออกจากสำนักศึกษาเทียนซูไป เข้าใจหรือยัง ”
ทุกคนต่างขานรับว่าเข้าใจพร้อมกัน ต่อไปจะเป็นภารกิจ
ป้าฟาง “ภารกิจของพวกเจ้า ก็คือการจับสัตว์ทิพย์หนึ่งตัวที่อยู่ในลานสัตว์ทิพย์บริเวณแอ่งนั้น ทำให้มันเชื่องและนำกลับมา”
“พวกเราต้องจับสัตว์ทิพย์อะไร ”มู่จิ่งหยวนถาม
“สัตว์ทิพย์ระดับเจ็ดคนละหนึ่งตัว ”คนที่พูดคือเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู คำพูดของเขาพูดออกไป ทุกคนต่างก็สูดหายใจเฮือกใหญ่
มองไปทางพวกซิงโล่เฉิน ราวกับไม่แปลกใจเลยสักนิด เห็นทีจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาไม่ได้ถาม การประเมินนี้เดิมทีก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว คนที่อยู่สำนักศึกษาเทียนซู พวกเขาล้วนเป็นทางลัดของพวกซิงโล่เฉิน ขอเพียงไม่น่าเกลียดเกินไป ก็คงไม่มีคนสนใจ
ป้าฟางรับช่วงต่อ พูดอีกว่า “จำเอาไว้ สัตว์ทิพย์ระดับเจ็ดมีอยู่ทั้งหมดเก้าตัว พอดีกับพวกเจ้าคนละหนึ่งตัว หากฆ่าสัตว์ทิพย์ตาย ก็ต้องตกรอบหนึ่งคน จะทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าไม่เท่ากัน เวลาคือหนึ่งเดือนน่าจะมากพอแล้ว ”
พวกเขาต่างขมวดคิ้วไม่ได้ตอบอะไร
สัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ด พลังใกล้เคียงกับนักจิตใหญ่ระดับสาม ถ้าหากเป็นพันธุ์พิเศษ พลังจะแข็งแกร่งขึ้น เวลาหนึ่งเดือน ไม่ได้มากพอเลย เพียงแค่ให้เวลาพวกเขาไปหาเท่านั้น จากนั้นยังต้องจับมันอีก
เห็นทีอย่างนี้ พวกเขาก็สามารถรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันได้แล้ว มู่จิ่งหยวนมองพวกจูนจิ่วอย่างเงียบๆ คนยิ่งมาก บางทีอาจทำให้สัตว์ทิพย์แตกตื่นหรือเป็นการให้สัญญาณแก่พวกมัน อีกทั้งถ้าจับได้แล้ว จะแบ่งกันอย่างไร พวกเขาไม่ได้เปรียบอะไรเลย ป้าฟางมองไปทางจูนจิ่ว “ออกเดินทางเถอะ วันนี้ไม่นับ จะเริ่มนับเวลาตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ถ้าหากพวกเจ้ามีคนจะถอยออกจากการแข่งขัน สามารถปล่อยพลุสัญญาณได้ จะมีคนพาพวกเจ้าออกไปเอง ”
พูดจนถึงสุดท้ายแล้ว เห็นได้ชัดว่าป้าฟางจงใจพูดกับจูนจิ่ว ทุกคนฟังแล้วต่างก็เข้าใจทันที สีหน้าต่างก็ไม่เหมือนกัน
พวกเขาหมุนตัว ออกเดินทางไปยังลานสัตว์ทิพย์บริเวณพื้นที่แอ่ง
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในช่วงฤดูหนาว บนพื้นมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะตัว แม้แต่ใบหญ้ายังถูกแช่แข็ง เดินลำบาก บวกกับอากาศหนาว จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆ การเคลื่อนไหวก็ยิ่งยากลำบากขึ้น พวกเขาเดินเป็นครึ่งวันแล้ว ก็ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่
เห็นดังนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
“พื้นที่เช่นนี้ อากาศ แล้วก็เวลาอีกแค่หนึ่งเดือน พวกเราจะจับสัตว์ทิพย์ได้อย่างไร ”
ฝู้หลินจ้านบ่น
จูนจิ่วมองพวกเขาแวบหนึ่ง นางอุ้มเสี่ยวอู๋พูดอย่างเย็นชาว่า “ทางที่ดีพวกเราแยกกันไป เพราะถ้าไปด้วยกันทั้งหมด ก็จะจับสัตว์ทิพย์ได้พอทั้งเจ็ดตัว ”
นั่นมันสัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ด ไม่ใช่ผักกาดขาวตามตลาด แม้จะบอกว่ามีเก้าตัวพอดี พอสำหรับพวกเขาคนละหนึ่งตัว แต่จะหาจนเจอนั้น ยากมาก
“แต่ว่าศิษย์น้อง พื้นที่กับอากาศเช่นนี้ พวกเราแยกกันจะอันตรายมาก ”ชิงหยู่ไม่เห็นด้วย น้อยมากที่เขาจะไม่เห็นด้วยกับจูนจิ่ว แต่ถ้าได้พูดแน่นอนว่าต้องรู้สึกมีปัญหา ไม่เพียงแต่เรื่องของสถานที่ ยังเป็นเพราะเทียงฉิวด้วย
ชิงหยู่เป็นห่วงมาก เทียงฉิวอาจลงมือจับตัวจูนจิ่ว ถ้าพวกเขาได้ของล้ำค่าไป ศิษย์น้องคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้นฝู้หลินซวงก็หยุดฝีเท้าลง ดวงตาของเขาค่อยๆเบิกกว้างขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าดู นั่นมันอะไร”
ทุกคนต่างมองไปพร้อมกัน ต่างก็นิ่งอึ้ง แต่ไม่ช้าจี้อีหมิงก็ได้สติและถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ก็แค่สัตว์ทิพย์ตัวหนึ่งที่ถูกทำให้หนาวตาย ทำไมหรือ”
ทำไมน่ะหรือ นี่มันไม่ใช่สัตว์ทิพย์ธรรมดา
จูนจิ่วขมวดคิ้วแน่น สถานการณ์ไม่ดีแล้ว