บุปผาเสน่ห์หา หมอยายอดฝีมือ - บทที่ 435 ขอเพียงไม่ตายข้าก็สามารถรักษาได้
จูนจิ่วเดินเข้าไป ก้มหน้าจ้องมองร่างของสัตว์ทิพย์ตัวใหญ่ที่ล้มอยู่บนพื้น อากาศหนาวอย่างร้ายกาจ ศพได้ถูกความหนาวทำให้เกิดน้ำแข็งชั้นบางๆปกคลุมไปทั้งร่าง แต่ก็ยังมองรูปลักษณ์ของมันได้อย่างชัดเจน จูนจิ่วพูดว่า “นี่คือสัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ดสิงโตจินเหยียน ”
ชื่อนี้ได้จากที่มันมีร่างกายแข็งแกร่งดุจหิน พลังในการป้องกันสูงสุดยากจะโค่นได้ แต่ทำไมสัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ดที่แข็งแกร่ง จึงมาตายอย่างอนาถอยู่ที่นี่
เฮือก
จี้อีหมิงสูดลมหายใจเข้า สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด “เป็นไปไม่ได้ที่สัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ดจะตายเพราะความหนาว มันถูกคนฆ่าตาย”
ซวยแล้ว มีสัตว์ทิพย์ทั้งหมดแค่เก้าคน ตายอยู่ที่นี่หนึ่งตัว นั่นไม่เท่ากับว่าพวกเขายังไม่ทันเริ่มก็มีคนต้องแพ้ไปหนึ่งคนแล้วน่ะสิ ขณะเดียวกันพวกเขาต่างก็สงสัยมาก ใครกันที่ฆ่าสัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ดตัวนี้
จูนจิ่ว “สัตว์ทิพย์ตัวนี้เพิ่งจะถูกฆ่าเมื่อเช้า ดูจากการเกาะตัวของน้ำแข็ง น่าจะเป็นสองชั่วยามก่อน ”
“สองชั่วยามก่อน พวกเราเพิ่งจะออกมาจากลานใจกลางทะเลสาบ ”มู่จิ่งหยวนขมวดคิ้วพูดขึ้น
ฝู้หลินจ้านมองไปทางจูนจิ่ว สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขาถามว่า “หรือพวกเราจะหันหลังกลับ ไปบอกป้าฟางว่ามีสัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ดตายไปหนึ่งตัวแล้ว ให้พวกเขาหามาเติม ไม่อย่างนั้นก็ไม่ยุติธรรม ”
ส่ายหน้า จูนจิ่วยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ย นางพูดว่า “พวกเจ้ายังจะสงสัยอยู่หรือ สัตว์ทิพย์ถูกพวกเขาฆ่านั่นแหละ ”
“อะไรนะ”ทุกคนต่างตกใจ
จูนจิ่วพูดต่อว่า “สัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ด พลังไม่ธรรมดาอีกทั้งยังมีปัญญา เจ้าสิงโตจินเหยียงตัวนี้พลังของมันอย่างน้อยก็เทียบได้กับนักจิตใหญ่ชั้นสี่คนหนึ่ง แต่กลับถูกฆ่าตายภายในสองกระบวนท่า ลงมืออย่างโหดเหี้ยมไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว”จูนจิ่วชี้ไปที่บาดแผลบนร่างของสิงโตจินเหยียนให้พวกเขาดู
คนที่สามารถกระทำการด้วยความเร็วและพลังเช่นนี้ ไม่ใช่เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูก็เป็นป้าฟาง
จูนจิ่วความคิดเฉียบคม แววตาเย็นชาหม่นลง นางสามารถแน่ใจได้ร้อยทั้งร้อยว่า ที่พวกเขาฆ่าสัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ดตัวนี้เพราะต้องการหาเรื่องนาง สัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ดมีแค่เก้าตัว ฆ่าตายก่อนหนึ่งตัวเป็นการแน่ใจว่าจะมีคนแพ้หนึ่งคน ที่พวกเขาเลือกเอาไว้แล้วคือนาง
ในสายตาที่เต็มไปด้วยแววเย็นชากระหายเลือด ค่อยๆปรากฏแววหมดความอดทน พอแล้ว เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่านางเป็นพระอิฐพระปูนไม่รู้จักตอบโต้หรืออย่างไร
จากนั้นก็มองขึ้นไปบนยอดไม้ทันที จูนจิ่วใช้สัญญาณมือ นกสองตัวบนต้นไม้รีบกางปีกบินออกไปทันที เมื่อบินไปถึงจุดหมายพร้อมคำสั่งใหม่
นอกจากชิงหยู่แล้ว พวกเขาไม่มีใครรู้ว่าจูนจิ่วกำลังทำอะไร จิตใจที่หนักอึ้งมีความประหลาดใจเสริมขึ้นมาอีกสองส่วน จูนจิ่วเก็บสายตากลับมา มองไปยังพวกเขาและพูดว่า “เห็นทีพวกเราไม่สมควรแยกกันเคลื่นไหว เดินต่อไปข้างหน้า จับสัตว์ทิพย์ให้ได้ก่อนค่อยอาศัยฝีมือของใครของมันในการปราบพยศมัน ”
“ดี”
“ได้”
“ทำตามที่เจ้าว่า ข้าไม่มีความเห็นอะไร”ทุกคนต่างเห็นด้วย
พวกเขาเดินอ้อมศพของสิงโตจินเหยียนไป เข้าสู่ลานสัตว์ทิพย์บริเวณพื้นที่แอ่งต่อไป
นอกพื้นที่แอ่ง
เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูมองกระจกน้ำที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มอย่างอำมหิตอันตราย ป้าฟางก็ยืนอยู่ข้างเขา เงยหน้ามองกระจกน้ำเห็นการพัฒนาของพวกจูนจิ่วทั้งหมด แน่นอนว่าฉากสิงโตจินเหยียน พวกเขาก็เห็นแล้ว
ยิ้มภายนอกแต่ภายในไม่ยิ้ม เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูหันไปพยักหน้ากับป้าฟาง “ลำบากป้าฟางที่ท่านช่วยจัดการเจ้าสิงโตจินเหยียน ”
“ไม่ต้องขอบคุณ พวกเรามีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นก็คือทำให้จูนจิ่วแพ้และถอยออกไป แต่เจ้าสำนักศึกษาเทียนซู เจ้าซ่อนกระจกน้ำไว้ที่ตัวพวกเขาท่านไม่กลัวจะถูกพบเข้าหรือ ”ป้าฟางหันไปถามเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า”เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูเงยหน้าขึ้นหัวเราะ เขาเอ่ยด้วยแววตาคมกริบว่า “วางใจได้ ทั้งกระจกน้ำและยาดึงดูดต่างก็อยู่ที่คนคนเดียว พวกเขาไม่มีทางพบแน่ อีกอย่าง ถ้าไม่มีกระจกน้ำถ้าเกิดจูนจิ่วเจอกับอันตรายขึ้นมา พวกเราจะไปช่วยนางได้อย่างไร”
คำพูดของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซู มีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ ป้าฟางพยักหน้าไม่ได้คิดถึงคำพูดของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูอีก นางเพียงแต่ขมวดคิ้วเบาๆอย่างเป็นห่วง
เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูจ้องมองนางอย่างประหลาดใจ แล้วถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าข้าจะขอถามป้าฟางได้หรือไม่ ทำไมจึงต้องให้จูนจิ่วแพ้ นางล่วงเกินท่านหรือ จึงสามารถทำให้ป้าฟางต้องถึงกับจับอินทรีหัวเสือดาวสามตามาตัวหนึ่ง ก็เพื่อให้นางแพ้ ”
คิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น ป้าฟางมองเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูอย่างดุๆ นางตำหนิเสียงเย็นว่า “เจ้าสำนักศึกษาเทียนซู ไม่ต้องรู้มากจะดีกว่า ”
“ขอรับ ข้าก้าวล่วงแล้ว”ใบหน้าของเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูยิ้ม แต่ในใจกลับดูแคลนอย่างร้ายกาจ ป้าฟางแค่อยากจะให้จูนจิ่วแพ้ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขานั้นต้องการเอาชีวิตจูนจิ่ว อีกทั้งยาดึงดูดที่ว่านั้นนางก็คิดผิด ถึงตอนนั้นป้าฟางเร่งเข้าไปก็จะเห็นเพียงร่างไร้วิญญาณของชิงหยู่ กับพวกมู่จิ่งหยวนที่ถูกอินทรีเสือดาวสามตาฉีกเป็นชิ้นๆ ส่วนจูนจิ่ว
เจ้าสำนักศึกษาเทียนซูหลุบตาลง ปิดบังรอยยิ้มชั่วร้าย จูนจิ่วคงถูกซิงโล่เฉินจับตัวไว้นานแล้ว รอเพียงให้พวกเขาไปลงทัณฑ์นางให้สาหัส จนได้ของล้ำค่ามาแล้วค่อยเลาะเนื้อดึงเอ็นจูนจิ่ว สับให้เละเป็นหมื่นชิ้น ป้าฟางต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ ว่าถูกพวกเขาหลอกใช้
แต่ว่าเจ้าสำนักศึกษาเทียนซูยังคงสงสัย ทำไมป้าฟางต้องจ้องหาเรื่องจูนจิ่วด้วย สาเหตุไม่แน่ชัด ทำให้คาดเดาไม่ได้
……
สองวันผ่านไป ยากลำบากมากกว่าจะเข้าสู่ลานสัตว์ทิพย์บริเวณพื้นที่แอ่ง ตอนนี้พวกเขากำลังวิ่งสุดชีวิต มุดบ้าง โยกย้ายที่บ้าง กระโดดขึ้นไปบนยอดไม้บ้าง หลีกเลี่ยงแผ่นน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง พลางก็จ้องมองไปยังเป้าหมายเพื่อจะวิ่งตามสัตว์ทิพย์ชั้นเจ็ดตัวหนึ่งให้ได้
นั่นคือลิงกิเลน ทั้งร่างเต็มไปด้วยเกล็ดแข็ง มองไปเหมือนตัวกิเลน เดินเข้าใกล้แล้วจึงพบว่าเป็นลิงตัวหนึ่ง เจ้าเล่ห์และปราดเปรียว ร้องและหัวเราะพวกเขาอย่างสนุกสนานอยู่บนต้นไม้ แต่ก็ยังหันหลังไปพ่นลูกไฟเป็นระยะ
ปัง
จูนจิ่วกระโดดไปด้านข้าง หลบหลีกลูกไฟที่ลิงกิเลนเจ้าเล่ห์พ่นออกมา นางพูดว่า “แยกกันล้อมมันเอาไว้ ข้ากับฝู้หลินซวงเร็วที่สุด พวกเราจะขวางมันเอาไว้พวกเจ้าล้อมรอบมัน จากนั้นก็ลงมือพร้อมกัน ลงมืออย่าได้ลังเล อย่างกลัวจะบาดเจ็บ ขอเพียงไม่ตายข้าก็รักษาได้ ”
น้ำเสียงยิ่งอยู่ก็ยิ่งเย็นเยือก ทำเอาทุกคนต่างตื่นตระหนก นี่เจ้าลิงกิเลนมันยั่วให้จูนจิ่วโมโหแล้ว
สวบสวบสวบ
จูนจิ่วกับฝู้หลินซวงบุกเข้าไปพร้อมกัน เหลือไว้เพียงพวกชิงหยู่ที่มองความเร็วของจูนจิ่ว อดไม่ได้ที่จะเหงื่อแตก พวกเขายังเร็วไม่เท่าจูนจิ่วที่เป็นแค่นักจิตชั้นแปด รีบกัดฟันแล้วไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต จูนจิ่วใช้เท้าเหยียบที่กิ่งไม้ ร่างกายเบาหวิวเหยีบลงบนใบไม่ทำให้สั่นเบาๆเท่านั้น ดีดตัวขึ้นไป
จูนจิ่ว “เสี่ยวอู่”
เสี่ยวอู่นั่งอยู่บนไหล่ของจูนจิ่ว ได้ยินเสียงก็กระโดดออกไป มันกางกรงเล็บออก เล็บแหลมคมของมันดีดออกมา ลิงกิเลนนั้นรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันน่ากลัวบนร่างของแมวขาวตัวเล็กๆ มันส่งเสียงร้องและถอยไปด้านหลัง พลางพ่นลูกไฟใส่เสี่ยวอู่
“เหมียว”เสี่ยวอู่ตีลังกากลางอากาศหลบไป พอเท้าถึงพื้นก็พุ่งเข้าไปกางเล็บข่วนไปยังบั้นท้ายของลิงกิเลน
โฮก
ลิงกิเลนร้องอย่างเจ็บปวด ที่ก้นมีรอยแผลเพิ่มขึ้นมาสามเส้น เนื้อหนังปริแตก มันยังคิดจะหนี พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นจูนจิ่วกับฝู้หลินจ้านประกบอยู่ซ้ายขวาเพื่อปิดทางหนีทีไล่ ด้านนอกยังมีพวกชิงหยู่ล้อมไว้อีกชั้น
ลิงกิเลนทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว ตาสีเขียวจ้องไปยังจี้อีหมิงแล้วก็พุ่งตรงไป มันมีสมอง รู้ว่าจุดอ่อนอยู่ตรงไหน
“เสี่ยวอู่ ”เสียงเย็นๆเรียก
เสี่ยวอู่พุ่งไปอยู่ตรงหน้าจี้อีหมิง โบกกรงเล็บไปทางลิงกิเลน ทำเอาลิงกิเลนร้องเสียงดังขึ้นมาและคิดจะหลบทันที ตอนนี้เองมีเชือกเส้นหนึ่งโยนมารัดคอของลิงกิเลนเอาไว้ ใช้กำลังดึงจนมันหงายหลัง จูนจิ่วเอาเท่าเหยียบที่หัวของลิงกิเลนเอาไว้ไม่ให้มันเคลื่อนไหวได้